WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

NIDAโพลนิด้าโพล เผยประชาชนเชื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ช่วยให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล

     ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง '4 คำถามกับทิศทางอนาคตของประเทศไทย' ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญชวนประชาชนร่วมตอบคำถามเพื่อรับทราบความเห็นนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป

       สำหรับ ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลภายหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปนั้น ประชาชนร้อยละ 15.68 ระบุว่า มีความเป็นไปได้มากที่จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ร้อยละ 24.40 ระบุว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ร้อยละ 34.48 ระบุว่า มีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ร้อยละ 9.28 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ร้อยละ 5.12 ระบุว่า มีโอกาสเท่าๆ กัน และร้อยละ 11.04 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

       โดยในจำนวนประชาชนที่ระบุว่ามีความเป็นไปได้มาก–ค่อนข้างมาก ให้เหตุผลว่า คสช.ได้วางกรอบและแนวทางในการทำงานไว้แล้ว และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ได้มีการแก้ไขเพื่อคัดกรองและลดช่องโหว่ในการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง รวมไปถึงประชาชนมีความเข้าใจในประชาธิปไตยมากขึ้น และสามารถเลือกผู้ที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองได้ด้วยตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาประเทศได้ผ่านบทเรียนทางการเมืองมาพอสมควร ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจึงน่าจะทำให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลมากขึ้นกว่าเดิม

       และในจำนวนประชาชนที่ระบุว่ามีความเป็นไปได้น้อย–เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ให้เหตุผลว่านักการเมืองมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่รวมกัน และโกงกินเป็นเรื่องปกติ อยู่ที่ว่าจะโกงมากน้อยเพียงใด เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก กฎหมายและการบังคับใช้ไม่เด็ดขาด แม้แต่รัฐบาล คสช.ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และยังมองไม่เห็นตัวแทนจากประชาชนที่มีศักยภาพและความเหมาะสมที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ต่อให้มีการเลือกตั้ง ประชาชนก็จะเลือกคนเดิม ๆ เข้ามา และก็จะนำไปสู่วังวนปัญหาเดิม ๆ

      ส่วนความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไข หากภายหลังการเลือกตั้ง ประเทศได้รัฐบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาล หรือได้กลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเข้ามาบริหารงาน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 37.76 ระบุว่า ควรดำเนินตามข้อกฎหมาย มีบทลงโทษที่จริงจัง และเข้มงวด เช่น ให้ลาออก ถอดถอนจากตำแหน่ง ตัดสิทธิทางการเมือง นอกจากนี้จะใช้วิธีการชุมนุม คัดค้าน ลงรายชื่อ ถอดถอนตำแหน่งทางการเมือง หากมีความผิดมากก็ควรยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ รองลงมาร้อยละ 27.36 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจว่าจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร ร้อยละ 11.28 ระบุว่า รัฐบาล หน่วยงาน หรือผู้ที่มีอำนาจควรรีบเข้ามาจัดการแก้ไขด้วยการปฏิรูปประเทศ แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน หรือแก้ไขให้ตรงจุด หากไม่เป็นผลหรือมีบานปลายก็ควรใช้วิธีการยึดอำนาจ ร้อยละ 9.76 ระบุว่า ประชาชนทุกฝ่ายต้องคัดเลือกคนดีเข้ามา รวมไปถึงควรมีหน่วยงานหรือองค์กรช่วยกันตรวจสอบการทำงานของนักการเมือง ร้อยละ 6.56 ระบุว่า เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก ร้อยละ 3.68 ระบุว่า ควรยอมรับและให้อยู่บริหารงานจนครบวาระแล้วรอการเลือกตั้งใหม่ และร้อยละ 3.60 ระบุว่า ควรให้โอกาสในการทำงาน หรือดูผลงานก่อน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึก การแก้ไขปรับปรุงของนักการเมืองและสถานการณ์

       ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อความที่ว่า "การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่น ๆ เช่น ยุทธศาสตร์ของชาติ หรือการปฏิรูป" พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 73.52 ระบุว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกหรือสิ่งที่สำคัญที่สุด อนาคตของประเทศชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบหลายประการ ต้องทำอย่างอื่น เช่น การปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้านควบคู่กันไป โดยคำนึงถึงอนาคตและผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ควรปรับทัศนคติและความเข้าใจของคนไทยบางคนใหม่ เกี่ยวกับการบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย ควรเน้นไปที่ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้า ซึ่งที่ผ่านมาก็ปรากฏให้เห็นอยู่แล้วว่า หากเลือกคนไม่ดีเข้ามาทำงาน ปัญหาเดิม ๆ ก็จะตามมา ขณะที่ร้อยละ 14.96 ระบุว่า เป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะควรเคารพสิทธิและเสียงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ต้องเลือกผู้นำเข้ามาก่อน แล้วค่อยมาแก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งประชาชนต้องคิดและไตร่ตรองในการเลือกคนที่ดีที่สุดเข้ามาบริหารประเทศอยู่แล้ว การเลือกตั้งและการทำแผนยุทธศาสตร์ หรือการปฏิรูปอื่น ๆ อยู่คนละส่วนกัน หากไม่เลือกตั้งก่อน ประเทศอาจจะแย่ลง และที่ผ่านมา ยังเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ ยังไม่เกิดการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม อนาคตประเทศน่าจะดีกว่านี้ถ้าหากมีการเลือกตั้ง และร้อยละ 11.52 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

       ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการให้โอกาสกับกลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณีกลับเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีก พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 69.28 ระบุว่า ไม่ควร เพราะนักการเมืองที่ไม่ดี หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ควรได้รับอำนาจให้กลับเข้ามาทำงานอีก หากใช้อำนาจในทางที่ไม่ดี ก็จะก่อให้เกิดผลเสียกับประเทศ และความวุ่นวายตามมา ประเทศชาติก็จะไม่ก้าวหน้า คนที่ไม่ดีอย่างไรก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ควรเอาผิดให้ถึงที่สุด ควรให้โอกาสนักการเมืองหน้าใหม่ ๆ เข้ามาบริหารประเทศบ้าง รองลงมาร้อยละ 11.12 ระบุว่า ควร เพราะ ทุกคนย่อมได้รับโอกาสในการปรับปรุงตัว และอาจจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งนักการเมืองที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะดีไปหมดเสียทุกคน บางคนก็ยังไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง นักการเมืองบางคนอาจมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมแต่อาจจะไม่มีความผิด และประชาชนแต่ละคนก็ชอบนักการเมืองไม่เหมือนกัน หากทำงานดี ก็อยากได้กลับเข้ามา บริหารบ้านเมืองอีกครั้ง ทั้งนี้ ควรให้ระยะเวลานักการเมืองในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วย ร้อยละ 17.52 ระบุว่า ควรดูเป็นรายกรณีไป และร้อยละ 2.08 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ

       ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผู้ที่ควรจะเป็นคนแก้ไข หากกลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ได้มีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้ง แล้วเกิดปัญหาซ้ำอีก พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 27.28 ระบุว่าเป็นประชาชน รองลงมาร้อยละ 27.04 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจว่าจะเป็นใคร ร้อยละ 13.68 ระบุว่าเป็นรัฐบาล ร้อยละ 11.28 ระบุว่าเป็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน หรือเป็นใครก็ได้ที่มีอำนาจ ร้อยละ 11.04 ระบุว่าเป็นทหาร ร้อยละ 3.92 ระบุว่าเป็นองค์กรอิสระ คณะกรรมการกลาง หรือฝ่ายตรวจสอบต่าง ๆ เช่น ฝ่ายตุลาการ กกต. ปปส. ร้อยละ 2.08 ระบุว่าเป็นนักการเมือง/พรรคการเมือง และร้อยละ 3.68 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก อยู่ที่จิตสำนึกของนักการเมือง และควรปล่อยให้เป็นตามกลไกการเมือง

       ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไข หากกลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ได้มีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้ง แล้วเกิดปัญหาซ้ำอีก พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 36.48 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจว่าจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร รองลงมาร้อยละ 31.04 ระบุว่าควรดำเนินการตามขั้นตอน ภายใต้รัฐธรรมนูญและบังคับใช้บทลงโทษอย่างเคร่งครัด เช่น ให้ลาออก การปลดหรือการถอดถอนออกจากตำแหน่ง การยึดทรัพย์ ตัดสิทธิทางการเมืองไม่ให้กลับเข้ามาสมัครรับเลือกตั้งอีก ร้อยละ 8.40 ระบุว่าให้ยึดอำนาจโดยทำการรัฐประหาร ร้อยละ 7.68 ระบุว่าประชาชนและทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันคัดกรอง ตรวจสอบความโปร่งใส ประวัติของนักการเมืองก่อนที่จะเข้ามาสู่การเลือกตั้ง และเลือกคนดีเข้ามาทำงาน ร้อยละ 6.40 ระบุว่าจะใช้สิทธิและเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ เช่น  การชุมนุม การประท้วง การลงชื่อถอดถอน การกดดันให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ทั้งนี้ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น รวมถึงรับฟังเสียงข้างมากของประชาชนด้วย ร้อยละ 5.60 ระบุว่าทุกฝ่ายควรร่วมมือกันแก้ไขปัญหาประเทศ เร่งปฏิรูปประเทศ พัฒนาชาติให้ก้าวไปข้างหน้า สร้างความรู้ความเข้าใจในหลักประชาธิปไตย และการเมือง สร้างค่านิยมและจิตสำนึกการทุจริต ซื้อสิทธิขายเสียง และหน้าที่ของคนไทย ร้อยละ 1.44 ระบุว่าเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากหรือแก้ไขไม่ได้เลย ร้อยละ 1.28 ระบุว่า ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกทางการเมือง เพราะประชาชนเป็นผู้เลือกเข้ามาแล้ว ต้องยอมรับให้ได้ เมื่อถึงวาระก็เปลี่ยนรัฐบาล และเลือกตั้งใหม่ และร้อยละ 1.68 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ต้องใช้ระบบถ่วงดุลอำนาจ ทบทวนรัฐธรรมนูญและการใช้ระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศ และอาจใช้วิธีการเจรจา

        ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับการเมืองไทยตามระบอบประชาธิปไตย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 31.68 ระบุว่าเป็นหลักธรรมาภิบาล มีคุณธรรม และความโปร่งใส เน้นการมีส่วนร่วม รองลงมาร้อยละ 23.12 ระบุว่าเป็นสิทธิ เสรีภาพ ตามกฎหมาย และหน้าที่ของพลเมืองที่ดี ร้อยละ 12.72 ระบุว่าเป็นการเลือกตั้ง ร้อยละ 12.64 ระบุว่าเป็นรัฐธรรมนูญ กฎระเบียบ ข้อบังคับของบ้านเมือง ร้อยละ 10.40 ระบุว่าเป็นการปฏิรูปประเทศ ร้อยละ 2.48 ระบุว่าเป็นยุทธศาสตร์ชาติ ร้อยละ 2.24 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ การสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับประชาธิปไตย การพัฒนาการศึกษา ความสามัคคี ความปรองดองของคนในชาติ และทุกข้อที่กล่าวมา และร้อยละ 4.72 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจฃ      

     ทั้งนี้ นิด้าโพล ได้ความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง "4 คำถามกับทิศทางอนาคตของประเทศไทย" ระหว่างวันที่ 1–2 มิถุนายน 2560 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไปทั่วประเทศ กระจายทุกภูมิภาค  ระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง

          อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!