WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

'ปิยสวัสดิ์' วางเป้าหมาย PTT กำหนดแผนระยะยาวถึงปี 2571 เน้นปตท. เป็นธุรกิจด้านนวัตกรรมใหม่ มีเทคโนโลยีของตัวเอง ลุยลงทุนตปท.เพิ่ม

      นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.ปตท.(PTT) เปิดเผยวานนี้ (28 ก.ค.) ว่า คณะกรรมการบริษัทได้หารือกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท.หลังจากที่บรรลุวิสัยทัศน์เดิมที่ตั้งไว้เนื่องในโอกาสที่บริษัทจะครบรอบ 50 ปีในปี 2571 จึงถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ภายใต้กระแสโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและต่อเนื่องทั้งในด้านสังคมการเมือง รวมถึงด้านเทคโนโลยีที่จะพลิกโลกเศรษฐกิจและธุรกิจ ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานมีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้นและมุ่งไปสู่พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยปีหน้า ปตท.จะลงมือจัดทำแผนระยะยาวไปถึงปี 71 อย่างละเอียด เน้นให้ ปตท.เป็นธุรกิจด้านนวัตกรรมใหม่และมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง

     "ปัจจุบัน ปตท.ตั้งงบสำหรับงานวิจัยและพัฒนา(R&D)ปีละไม่ต่ำกว่า 3% ของกำไรสุทธิ ยกตัวอย่าง TOTAL จากฝรั่งเศสที่ไม่ได้มีทรัพยากรมาก แต่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้ TOTAL เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ได้" นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

     นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท.จะเน้นการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพราะปัจจุบันแหล่งปิโตรเลียมในประเทศลดน้อยลง ทำให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมลดลงทุกปี โดยจะเห็นว่า บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เริ่มขยายการลงทุนเข้าไปในทวีปอเมริกาใต้ (บราซิล) และทวีปแอฟริกา (โมซัมบิก) เพื่อค้นหาแหล่งปิโตรเลียมที่ส่วนใหญ่อยู่ในแหล่งทะเลน้ำลึกมากขึ้น เพราะฉะนั้นในระยะยาว ปตท.ต้องเป็นองค์กรที่มีเทคโนโลยี ไม่พึ่งพาทรัพยากรในประเทศ และเรื่องการพัฒนาคนและเทคโนโลยีเป็นเรื่องสำคัญ

      เขากล่าวว่า ปตท.ยังเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน โดยได้แยกบริษัทที่ดำเนินธุรกิจไฟฟ้า คือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (GPSC) และมองว่ารถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้ากำลังจะมา

      นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า ปตท.มีความสามารถทำกำไรต่ำลง โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ทำกำไรสุทธิได้ในระดับ 90,000 - 100,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นกำไรที่ค่อนข้างนิ่ง อัตราการเติบโตต่ำ แม้ว่าจะมีการลงทุนมหาศาล โดยอัตรากำไร(Margin)ปรับลดลงมาโดยตลอด จนปี 2556 มาอยู่ที่ 2.7% จากเดิมอยู่ที่ 3% ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROIC) อยู่ที่ 9% ณ สิ้นปี 56  จากเดิมที่เป็นตัวเลข 2 หลัก และต่ำกว่าบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเฉลี่ยที่ 16%

      "ปตท.ต้องแบกรับภาระการขาดทุนจากธุรกิจก๊าซ NGV และก๊าซ LPG รวมกันปีละประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการทำกำไรของบริษัท เนื่องจากต้องขายในราคาต่ำกว่าต้นทุนที่ ปตท.ซื้อมาจากราคาในตลาดโลก เป็นผลจากนโยบายรัฐบาลที่อุดหนุนราคาก๊าซเอ็นจีวีและก๊าซแอลพีจีในประเทศ ส่งผลให้กำไรของ ปตท.ลดลง โดยมีกำไรเพียง 3%ของยอดขาย" นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

      ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทได้หารือนัดพิเศษเพื่อกำหนดทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท.ในช่วง 5 ปีข้างหน้าเพื่อใช้ประกอบการจัดทำแผนวิสาหกิจและงบประมาณประจำปี 2558-2562 ที่มีวิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทพลังงานไทยข้ามชาติชั้นนำที่มีเป้าหมายใน 3 ด้านคือ 1) BIG เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยจะต้องสามารถรักษาอันดับ 1 ใน 100 ของบริษัทที่มียอดขายสูงสุดของโลกตามการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune 100

     2) LONG เป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยจะต้องเป็นบริษัทที่บรรลุเป้าหมายดัชนีด้านความยั่งยืนของกิจการของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI)       

     3)STRONG เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีและมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีผลประกอบการอยู่ในระดับชั้นนำของโลก (Top Quartile Performance) และในปี 57 กลุ่มปตท.ได้กำหนดกลยุทธ์จะให้มีการฝังราก TAGNOC(Technologically Advanced and Green National Oil Company) ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร

 สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!