WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KPBศิริพร2

เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง ชี้โอกาสลงทุนในกลุ่มเฮลท์แคร์ ผ่าน K-GHEALTH

กองทุนหุ้นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ยังโตต่อ แม้ในภาวะผันผวน

          KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ชี้โอกาสลงทุนในกลุ่มเฮลท์แคร์ที่ผลการดำเนินงานดี แม้ในภาวะที่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ผ่านกองทุน K-GHEALTH ที่เน้นธีมการลงทุนระยะยาวจากนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวกระโดด เพื่อตอบรับเทรนด์การดูแลสุขภาพจากทั่วโลก ในงานสัมมนาหัวข้อ “Healthcare as important as ever” โดยมี .นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชฯ ร่วมเสวนา เผยโควิด 19 ช่วยให้คนตระหนักความสำคัญของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่ช่วยดูแลสุขภาพผู้คนให้ดีขึ้น มอง 8 นวัตกรรมที่จะเป็นเทรนด์แห่งอนาคต พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจาก JP Morgan Asset Management International Equity Group ประเมินกลุ่มเฮลท์แคร์ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้แม้ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง โดยเลือกกลุ่มที่จะเข้าลงทุนให้เหมาะสม

          นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director – Financial Advisory Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ในวันนี้เราได้ตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งนวัตกรรมหรือความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้เราสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ KBank Private Banking ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน จึงมองหาความเชื่อมโยงของการดูแลรักษาสุขภาพไปสู่โอกาสการลงทุน และพบว่า Healthcare Investment หรือ การลงทุนในกลุ่มเฮลท์แคร์ ผ่านกองทุน K-GHEALTH เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีในระยะยาวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ตลาดลงทุนอยู่ภายใต้ความผันผวน

          กองทุน K-GHEALTH เน้นลงทุนในหุ้นทางการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

          1. Pharma – ยา ที่มีการพัฒนาให้สามารถรักษาได้อย่างตรงจุดหรือที่เรียกว่า Precision Medicine รวมไปถึงพัฒนาให้ใช้งานได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เช่น ในปัจจุบันมีการพัฒนาให้อินซูลินอยู่ในรูปแบบเม็ด

          2. Biotechการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาไปจนถึงระดับพันธุกรรม เช่น การรักษาโรคมะเร็งและโรคหัวใจ การพัฒนายาที่ป้องกันการเกิดหัวใจล้มเหลว ด้วยการเข้าไปสร้างกล้ามเนื้อหัวใจเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ด้วยการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

          3. Medical Techเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด การใช้ AI ช่วยประมวลผลข้อมูลทางการแพทย์ที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมาใช้ในการวินิจฉัย เพิ่มความรวดเร็วและรักษาโรคได้อย่างทันท่วงที

          4. Healthcare Servicesการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขในราคาที่เหมาะสม เช่น ระบบประกันสุขภาพที่มีบริษัทในเครือข่ายมาก ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น

51056 Siriraj ศจนพ มานพ          ศาสตราจารย์ นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า โควิด 19 ช่วยพิสูจน์ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์และการดูแลรักษาสุขภาพ ทำให้เราสามารถต่อสู้กับโรคระบาดได้ ตั้งแต่การวินิจฉัย การพยายามในการหาวิธีในการรักษา การป้องกัน รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานในห่วงโซ่อุปทานของระบบการดูแลสุขภาพทั้งหมด นอกจากนี้ โควิด 19 ยังเป็นตัวเร่งที่ทำให้เราต้องใช้เทคโนโลยี จากนี้ไปผู้คนจะเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จะช่วยดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นถึง 8 นวัตกรรมทางการแพทย์ที่จะเป็นเทรนด์แห่งอนาคต คือ

          1. Telemedicine ที่เร่งตัวขึ้นจากโควิด 19 ช่วยให้คนไข้ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องมารอพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ปัจจุบันสามารถส่งต่อข้อมูลจากอุปกรณ์อย่าง สมาร์ท วอชที่บอกข้อมูลสุขภาพให้แพทย์พิจารณาและปรับการรักษาได้ ในปี 2563 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 7.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 27 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 3.96 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 135 ล้านล้านบาท ในปี 2570

          2. AI, Machine Learning และ Big Data ปัจจุบันข้อมูลทางการแพทย์อยู่ในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น สามารถใช้ AI ช่วยวินิจฉัย คัดกรอง รวมถึงช่วยแพทย์ตัดสินใจในการรักษาได้ดีขึ้น เช่น นำ AI มาใช้ในการวินิจฉัยคนไข้ที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งช่วยร่นเวลาในการวินิจฉัยจากที่ใช้เวลา 15-30 นาที ให้เหลือเพียง 3 นาทีเท่านั้น

          3. Internet of ‘Medical’ Things – AR / VR และ sensors อุปกรณ์สวมใส่และอุปกรณ์เชื่อมต่อทางการแพทย์ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ดูแลรักษาสุขภาพ เช่น ใช้ AR / VR เฝ้าสังเกตอาการคนไข้ และทำการรักษาแบบ on-site ไม่ต้องมาที่โรงพยาบาล เซ็นเซอร์ติดแขนที่วัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ตลอด 24 ชม. หรือ เซ็นเซอร์ติดที่ยา ทำให้รู้ว่าคนไข้ทานยาครบและตรงตามเวลาที่กำหนดหรือไม่ ในปี 2563 หรือ 30% ของตลาด IoT มาจากผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลสุขภาพ และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 211 ล้านล้านบาท

          4. Medical Automation and Robotics การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดอวัยวะขนาดเล็กที่มีความละเอียดอ่อน เช่น มือ หู ตา หรือ สมอง การนำหุ่นยนต์มาใช้งานหลังบ้าน ช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ โดยคาดว่าในปี 2569 จะมีมูลค่าตลาดที่ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 13.6 ล้านล้านบาท

 

aia 720 x100

QIC 720x100

 

          5. 3D Bio-Printing การนำเทคโนโลยี 3D Printing มาใช้ในการพิมพ์โครงสร้างของกระดูกเพื่อให้เซลล์กระดูกสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นกระดูกได้จริงๆ โดยสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะได้ โดยคาดว่าในปี 2570 จะมีมูลค่าตลาดที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 6.2 หมื่นล้านบาท

          6. Gene Editing ด้วยเทคโนโลยี CRISPR จากโรคที่เราไม่คิดว่าจะรักษาได้ สามารถตัดต่อยีนโดยการนำส่งระบบ CRISPR เข้าไปเพื่อแก้ไขความผิดปกติในตัวคนไข้ได้ เช่น ในคนไข้ที่มีไขมันในเลือดสูงมากและยาก็ไม่สามารถรักษาได้ จึงรักษาด้วยการใช้การนำส่งระบบ CRISPR เข้าไปเพื่อแก้ไขความผิดปกติของยีน เพื่อลดระดับคอเลสเตอรอล คาดว่าในปี 2569 จะมีมูลค่าตลาดที่ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 13.6 ล้านล้านบาท

          7. Predictive and Preventive Medicine องค์ความรู้ด้านการถอดรหัสพันธุกรรมทำได้รวดเร็วมากขึ้นและราคาถูกลงอย่างมหาศาล จึงแทรกซึมอยู่ในทุกภาคส่วนของการดูแลรักษาสุขภาพ ในอนาคตอันใกล้ มีความเป็นไปได้ว่าเด็กทุกคนที่เกิดใหม่จะมีข้อมูลรหัสพันธุกรรม ทำให้เราเข้าใจ ความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดโรค และหาวิธีป้องกันได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการช่วยลดต้นทุนการดูแลสุขภาพลง

          8. Genomic / Precision Medicine การแพทย์แม่นยำที่นำองค์ความรู้ด้านการถอดรหัสพันธุกรรมมาใช้ในการรักษาโรค เพื่อที่จะได้รู้ว่าความผิดปกติเกิดขึ้นจากตรงไหน ควรใช้วิธีการรักษาอย่างไร เพื่อให้ผลการรักษาได้ผลดีที่สุด ปัจจุบันการแพทย์แม่นยำขยายตัวอย่างมากในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

JP Morgan Tomas Bradley Flannagan          ด้าน นายโทมัส แบรดลี่ย์-ฟลานนาแกน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน จาก JP Morgan Asset Management International Equity Group เปิดเผยว่า ปี 2565 นับเป็นปีแห่งความผันผวน จากทั้งเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงความกังวลในเรื่องคอขวดห่วงโซ่อุปทานต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นในหลายภูมิภาคและ หลายๆ อุตสาหกรรม กลุ่มเฮลท์แคร์เองก็หนีไม่พ้น ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไปในอดีต ในช่วงที่เงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นแรงๆ จะพบว่ากลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด ในขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์มีผลการดำเนินการดีตามมาเป็นอันดับ 2 เราจึงมองว่ากลุ่มเฮลท์แคร์ยังเป็นกลุ่มที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ แม้ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง อย่างไรก็ดี เรามองว่าไม่ใช่ว่าทุกหมวดในกลุ่มเฮลท์แคร์จะมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยเราได้ปรับกลยุทธ์ลงทุน และเลือกกลุ่มที่จะเข้าลงทุนให้เหมาะสม โดยมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับดัชนี MSCI World Healthcare ดังนี้

          Overweight ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น ดังนี้

               กลุ่ม Biotech ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง ทำให้มูลค่าหุ้นมีความน่าสนใจ ให้เน้นบริษัทที่มีนวัตกรรม โดดเด่น มีคุณภาพ และโอกาสเติบโตในระยะยาว

               กลุ่ม Healthcare Services เน้นลงทุนในกลุ่มประกันสุขภาพมากกว่าโรงพยาบาล

          Underweight รักษาระดับหรือลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นดังนี้

               กลุ่ม Pharma ไม่ได้มีการปรับลด โดยยังคงสัดส่วนที่มากที่สุดในพอร์ต เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มั่นคง ไม่ผันผวนไปตามสภาพเศรษฐกิจ

               กลุ่ม Medical tech มีการปรับลด หุ้นขนาดใหญ่ในบางบริษัท ที่มูลค่าหุ้นสูง

          นางสาวศิริพร กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ถ้ามองลึกลงไปในหมวดหมู่ของการดูแลรักษาสุขภาพ เรามองว่ามีอีกหลายหมวดหมู่ย่อยที่มีความแข็งแกร่งและราคายังไม่สูงมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็น บริษัทยาที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ บริษัทไบโอเทคโนโลยีที่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการควบรวมหรือการเข้าซื้อกิจการ สุดท้ายนี้ มองว่าเฮลท์แคร์ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอัตราที่ดี และยังคงมีนวัตกรรมที่จะปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ยังคงน่าสนใจและเป็นโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวต่อไปได้

          สำหรับผู้ที่สนใจรับชมงานสัมมนา “Healthcare as important as ever” ย้อนหลัง โดยสามารถคลิกรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=GbNYrvq30Rg

 

 

คำเตือน

1) K-GHEALTH ระดับความเสี่ยงกองทุน: ระดับ 6 / ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน

2) โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า/เงื่อนไขผลตอบแทน/ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

3) ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

4) ผลการดำเนินงานในอดีต/ ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

 

A51056

 Click Donate Support Web 

EXIM One 720x90 C J

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

GC 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100

ais 720x100

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!