WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1Thailand Smart Money

‘สนั่น’ประธานสภาหอการค้า มั่นใจปีหน้า จีดีพีโตต่อได้ 3-3.5 เปอร์เซ็นต์ อุปสรรคค่าไฟฟ้าแพง ค่าจ้างจะขึ้น 600 บาท จะเสียเปรียบเพื่อนบ้าน

      นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานในพิธีเปิดงาน Thailand Smart Money Bangkok 2022 ครั้งที่ 13 และนายรัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ประธานในเครือหนังสือพิมพ์ดอกเบี้ยธุรกิจและประธานจัดงาน ณ ชั้น 5 BCC Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว โดย ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษกับนโยบายเศรษฐกิจการเงิน การคลังปี 2565-2566 ว่า เศรษฐกิจของประเทศไทย ฟังจากนักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากว่า ปีหน้า 2566 เศรษฐกิจของโลก อยู่ในภาวะเปราะบางมาก

     จากข้อเท็จจริง เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเห็นว่า ประเทศมหาอํานาจยังมีความขัดแย้งกัน ขณะเดียวกัน ก็ยังโชคดีที่ไทยได้มีการจัดการประชุมผู้นำภาคธุรกิจ APEC ปรากฏว่า ผลออกมาดีมาก แม้ว่าประเทศต่างๆที่ใหญ่ๆได้มีการหันหน้ามาเจรจาพูดคุยกันว่า จะทําอย่างไร???ถึงทําให้ความยั่งยืนของโลกใบนี้ และอยู่ได้อย่างมีความสุข และลดความขัดแย้งในระหว่างประเทศต่างๆ

     ขณะเดียวกัน การประชุมผู้นำภาคธุรกิจ APEC ได้มีการทําปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เรียกว่า เป้าหมายของกรุงเทพที่ออกมาทุกประเทศจะต้องมุ่งสู่ในการที่จะขับเคลื่อนเรื่อง BCG MODEL ซึ่งบีซีจีโมเดล เป็นสิ่งที่มีความสําคัญมาก และหอการค้าเอง กําลังขับเคลื่อนให้หอการค้าทุกจังหวัดจะต้องมีการทํากิจกรรมแล้วเข้าไปลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อจะขับเคลื่อน BCG MODELก็คือ ไบโอ กรีน อีโคโนมี่ ที่ทําในลักษณะเป็นรูปธรรมให้ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่สําคัญ

 

      สำหรับ เรื่องเศรษฐกิจที่ไทยได้มีการตกลงกันใน 11 ประเทศเขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก คือจะทําอย่างไรถึงจะให้มีการเจรจาเรื่องการตกลงกันเป็นในลักษณะเกิดการค้าเสรี ไทยเลือกทําเอฟทีเอในเขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่สําคัญมาก แต่สิ่งที่สําคัญที่ประเทศไทยได้เห็นทันที คือภาพลักษณ์ที่ออกไปสู่ชาวโลก  การประชุมผู้นำภาคธุรกิจ APEC ครั้งนี้ มิได้มีเพียงแต่สิบเอ็ดเศรษฐกิจแค่นั้นเอง แต่ปรากฏว่า ยังมีประเทศซาอุดิอาระเบีย ท่านมกุฎราชกุมารเสด็จมาด้วยตนเอง ทั้งข้าราชการคนติดตามที่เข้ามาตามเสด็จฯจะตกประมาณแปดร้อยคนเข้ามาท่องเที่ยวชมประเทศไทย 

      ทั้งนี้ ท่านแอมานุแอล ฌ็อง-มีแชล เฟรเดริก มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้เดินทางมาร่วมงานการประชุมผู้นำภาคธุรกิจ APEC (APEC CEO Summit 2022) ที่ประเทศไทย และเป็นตัวแทนกลุ่มประเทศยุโรป แล้วก็เป็นคนที่มีอิทธิพลมากเกี่ยวกับเรื่องประเทศอียู ซึ่งขณะนี้ประเทศไทย ยังไม่สามารถจะตกลงกันทําเรื่องเอฟทีเอกับอียูได้ ซึ่งท่าน มาครง ตอบรับหนุนที่จะรื้อฟื้นการเจรจา FTA ไทย – EU ให้ไทยขอรับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสในฐานะสมาชิก G7 และ G20 ในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของไทย

     ขณะเดียวกัน ที่เวียดนาม เขาได้ทํา FTA สําเร็จ ฉะนั้น ไทยก็จะเสียเปรียบ ไม่มีแต้มต่อ จึงเสียเปรียบมาก ซึ่งส่วนนี้ มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส บอกว่า กลับไปจะพยายามช่วยไทย ในการที่จะไปเจรจรเรียกร้องประเทศสมาชิกในกลุ่มอียูมาทําการตกลงเรื่อง FTA ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีทั้งนั้น ฉะนั้น มีความเชื่อมั่นว่า ในโอกาสที่ประเทศไทย FTA สําเร็จ คงจะได้เห็นว่า เศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมา และช่วงที่ท่านบอกเดือนมีนาคม คงได้จะเกิดในทางบวกจริงๆ ก็ไม่ต้องไปตื่นตระหนก และไม่ต้องกังวลจนมากเกินไป

1กรอบประมาณการ

     อย่างไรก็ตาม เพราะเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย มีสามตัวแค่นั้นเอง 1. เกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยว เรื่องการท่องเที่ยวปีนี้คงจะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ มาแล้วประมาณสักสิบล้านคน ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศมันฟื้นกันหมดแล้วเหมือนปี 2562 เพราะการท่องเที่ยวตัวนี้เป็นเครื่องยนต์ที่มีความสําคัญ ปี 2566 คาดว่าไม่ต่ํากว่ายี่สิบล้านคนแน่ๆ เพราะจากที่การจัด(APEC CEO Summit 2022) สิ่งดีๆ เรื่อง Soft Power เรื่องดีๆอะไรต่างๆ ถูกสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ทุกคนเห็นภาพลักษณ์ จะแห่กันเข้ามาในเที่ยวประเทศไทย

     โดยเฉพาะประเทศจีนที่ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ท่านเดินทางกลับไปแล้ว แต่สื่อจีนได้มีการออกเผยแพร่ข่าวสารสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ให้ชาวโลกทุกคนรู้จักประเทศไทยอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะมาดามสี จิ้นผิง ผู้ที่มีความสําคัญของชาวจีน ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของไทยไปสู่คนจีน และสู่ชาวโลกด้วย ฉะนั้น ประมาณการนักท่องเที่ยวจะเพิ่มมาที่ 20 ล้านคนในปีหน้า ยังไม่รวมคนจีนจะเข้ามา เพราะตอนนี้ จีนยังมีเรื่องซีโร่โควิดอยู่ แต่ถ้าจัดการได้จบแล้ว เข้าใจว่า น่าจะไม่เกินในไตรมาส ที่ 2 ปี 2566 นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเริ่มเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ถ้าได้ถึงประมาณสัก 25 ล้านคน คิดว่า ช่วยเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างมาก และในช่วงมีนาคม 2566 อาจหลังตรุษจีน อาจจะเห็นว่า ดาวเด่นการท่องเที่ยวของประเทศไทยมาถึงแล้ว นักท่องเที่ยวเข้ามาจะเป็นสิ่งที่ดี

     ด้านเครื่องยนต์ ตัวที่ 2 เรื่องการส่งออก ปี 2565 นี้ ยังดีอยู่ แม้ว่า เดือนตุลาคม ส่งออกติดลบไปถึงสี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการติดลบที่มากที่สุดในรอบยี่สิบเดือนที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกัน ยังมีความเชื่อว่า ปี 2566 หน้ายังไม่ติดลบ โดยรวมปีนี้ยอดการส่งออกคงจะบวกได้ประมาณ 7.25 เปอร์เซ็นต์ ทั้งปี 2565 ซึ่งต้นปีตั้งเป้าไว้เพียง 4 เปอร์เซ็นต์แค่นั้นเองเกินกว่าเป้าหมาย แต่ปีหน้า คาดว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกนี่ไม่ค่อยดี แล้วสถาการณ์โควิดยังมีอยู่ และเป็นปัจจัยเป็นลักษณะนี้ คิดว่า ปีหน้าการส่งออกคงจะโตได้ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ และถ้าไม่ติดลบเป็นสิ่งที่ดี         

      แต่ตัวที่สําคัญที่สุด เครื่องยนต์ที่ 3 ที่ช่วยทําให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวเร็ว คือเรื่องการลงทุนของภาครัฐ จะเห็นว่า มีการลงทุนยังคงจะเดินหน้าต่อไป ประมาณการคงหลายแสนล้านบาท อย่างเช่น นายกรัฐมนตรีของไทย ได้พูดคุยกับทางประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ว่า จะมีการผลักดันการก่อสร้างเกี่ยวกับเรื่องรถไฟความเร็วสูงจากทางจีน-ลาว แล้วมาสู่ประเทศไทย แล้วเสร็จภายในห้าปีข้างหน้า โครงการนี้คิดเป็นแสนกว่าล้านบาท

     ขณะเดียวกัน ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีความสนใจที่จะทำคลังเก็บน้ำมัน โดยเอามาเก็บไว้ที่เมืองไทย อย่างนี้เป็นต้นประมาณอีกแสนกว่าล้านบาท ซึ่งคิดว่าการลงทุนของภาครัฐเห็นได้ชัดเจน ขณะเดียวกัน ทางหอการค้าไทยเอง ต้องการที่จะไปดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ จากประเทศต่างๆเข้ามาลงทุนให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะในการพัฒนา EEC ของไทยมีความพร้อมที่จะรองรับเกี่ยวกับการลงทุน ถ้าการลงทุนเมกกะโปรเจคนี้ประสบความสําเร็จ จะทําให้เศรษฐกิจ โดยทั่วไปจะดี

       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้มีการทําวิจัยร่วมกับทางประเทศบางประเทศ มีสิ่งที่ไทยเสียเปรียบ คือ เรื่องของค่าไฟฟ้าสูงกว่าชาวบ้านถ้าเทียบกับเวียดนาม อินโดนีเซีย มากกว่า อีกเรื่องหนึ่ง คือ ค่าจ้างแรงงานของไทยสูงเกินไป ถ้าเทียบกับประเทศเวียดนาม-ไทยสูงกว่าประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ อินโดนีเซีย-ไทยก็สูงกว่า แม้แต่ประเทศใกล้เคียง พูดถึงค่าจ้างแรงงานประเทศกัมพูชา ฟิลิปปินส์ ไทยสูงกว่าเขาทั้งนั้น อันนี้ ก็ยังเป็นข้อเสียเปรียบ

      ประการสำคัญ ในสองสามวันนี้ จะเห็นกระแสข่าวการหาเสียงกับประชาชน จนมีข่าวที่ผมได้รับการสัมภาษณ์อยู่ตลอดเวลา คือ ว่า การหาเสียงปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละหกร้อยบาทที่จะเกิดขึ้น กับเมืองไทยจริงหรือไม่??? อีกประการหนึ่ง คือ คนจบปริญญาตรี จะได้เงินเดือนสองหมื่นห้าพันบาท อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นที่สร้างความกังวล ให้กับชาวต่างชาติที่จะตัดสินใจ ที่กําลังจะมาลงทุน อย่างนี้ อาจจะเป็นจังหวะที่เหมาะสม หรือไม่อย่างไร??? หรือแนวทางเป็นการที่จะมาเป็นกําหนดเกี่ยวกับเรื่องกฎเกณฑ์อนาคตของประเทศ แม้การหาเสียงที่ออกมานี่เป็นเพียงเป้าหมาย หรือเป็นนโยบาย

    จุดนี้ สําคัญมาก ถ้าเป็นเป้าหมาย คือว่า ถ้ามีเป้าหมาย ว่า ค่าจ้างจะขึ้นถึงกี่ร้อยบาท จะต้องมีอะไรที่รองรับ ทําให้มันได้ อาจจะต้องมีการปรับอะไร อะไรกว่าจะมาทําได้หรือไม่ได้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นนโยบาย คือ จะได้ ไม่ได้ คือ ถ้าผู้นำประเทศฟันธงจะต้องเอาให้ได้อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้จะต้องสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน จะได้ไม่ตื่นตระหนก ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาตินี้สําคัญมากๆ ที่จะต้องทําให้เขาเข้าใจในส่วนนี้

     ฉะนั้น อยากจะเรียนทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ได้มีการประเมิน ว่า เศรษฐกิจไทย ปี 2565 นี้ จีดีพี ฟันธงว่า 3.2 เปอร์เซ็นต์ ยังโตได้ถึง 7.25 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อของไทยสูงมากคงจะ 6.2 เปอร์เซ็นต์ คือสําหรับปี 2565 นี้ แต่ปีหน้าได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าปี 2566 หน้า จีดีพี ของเศรษฐกิจยังโตต่อได้ถึงประมาณ 3-3.5 เปอร์เซ็นต์ ไม่เลว ถ้าสามารถที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน อาจจะต้องพยายามผลักดันให้ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ ถ้าได้อย่างนี้แล้วทุกคนจะมีความสุขมากมากโดยเฉพาะทางด้านประชาชนทุกระดับ

     ขณะเดียวกัน การส่งออก คงจะโตได้เพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ นอกจากที่ประเทศจีน กำลังจะเปิดประเทศจะทําให้การส่งออกของไทยจะไปได้สูงกว่านี้ แต่สิ่งที่สบายใจ คือ เงินเฟ้อของประเทศไทยลงมาจาก 6.2 เปอร์เซ็นต์ คงจะลงมาเหลือประมาณ 2.7-3.2 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าสินค้าข้าวของกิน เครื่องใช้ประจำวันคงจะไม่แพงขึ้น อันนี้ เป็นสิ่งที่อยากจะเรียนให้ทุกคนได้ทราบ

     แต่สิ่งสําคัญเป็นสิ่งที่เวลาที่เหมาะสมขณะนี้ ทางผู้ประกอบการเองประชาชนทั่วไป กําลังจะต้องพยายามเข้าถึงแหล่งเงินทุน และขณะเดียวกันจะหาทางที่จะลงทุนในลักษณะอย่างไรบ้าง ที่น่าไว้วางใจ แล้วก็เป็นที่เหมาะสมสําหรับในการที่ฝากเงินหรือว่าจะไปลงทุนที่ไหนแล้ว ก็ไม่ได้ถูกหลอกลวงสามารถที่จะสร้างความมั่นคง เพราะว่า แต่ละบริษัทหรือแต่ละแห่งเนี้ยที่มาที่นี่ก็ได้รับการอย่างดีจากทางเจ้าของงาน Thailand Smart Money Bangkok 2022 ครั้งที่ 13

      ต้องขอบคุณทุกๆท่าน ที่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้ ต้องขอบคุณทั้งสถาบันการเงินการลงทุน บริษัทประกันชีวิตประกันภัย ได้มาร่วมกันมาออกบูธในครั้งนี้ และยังมีจัดกิจกรรมจัดโปรโมชั่นพิเศษเให้กับคนที่มาใช้บริการ ซึ่งงานนี้เป็นช่องทางที่เยี่ยมที่สุด แล้วดีที่สุดที่มีการจัดแล้วมีส่วนร่วมจากทางภาคประชาชนใช่เฉพาะทางภาคธุรกิจ ฉะนั้น เชื่อเหลือเกินว่า ท่านที่มาต้อง พูดต่อๆกัน เพื่อที่จะชักชวนเพื่อนๆมาสัมผัสกับงานที่ท่านรัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ได้จัดในวันนี้...

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!