- Details
- Category: วิเคราะห์-เศรษฐกิจ
- Published: Monday, 15 July 2024 21:35
- Hits: 9456
Merkle Capital จัดงานสัมมนา MERKLE MAGNIFICENCE ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่รวม 3 สุดยอดนักวิเคราะห์มารวมตัวกัน
Merkle Capital จัดงานสัมมนา MERKLE MAGNIFICENCE ตอน The Three Musketeers เจาะลึกสู่โลกของการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญในวงการการเงินที่จะมาแบ่งปันมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญ
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลในหัวข้อ “Global Economic Outlook” ว่า การลงทุนต่อจากนี้ไปจะไม่เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมักจะสูงขึ้น ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา หลายๆ Indicator มีการปรับลงมาเทียบเท่าภาวะปกติ ปัจจุบันหากตัวเลขทางเศรษฐกิจแย่ไปกว่านี้ สินทรัพย์เสี่ยงจะไม่ขึ้นแล้ว ในช่วงโควิดภาพรวมตลาดอ่อนแอทั่วโลก ฮันนีมูนพีเรียดของตลาดหุ้นโลกใกล้จบรอบ ภาวะพันธบัตรไม่ได้เอื้อตลาดหุ้นเหมือนเดิม
ตลาดหุ้นสหรัฐคิดเป็น 70% ของตลาดหุ้นโลก มีหุ้นตัวท็อป 7 ตัว ที่มีการเปลี่ยนถ่ายหุ้นจาก Growth Stock มาเป็น Value Stock อย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงไตรมาส 3/67 มี 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. ผลประกอบการของกลุ่ม Tech ถ้าออกมาดีหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ถ้าออกมาแย่คาดว่าหุ้นจะปรับตัวลงประมาณ 5-10% จาก Target Price
2. หุ้น Tech 3 จาก 7 ตัวจะมีเหตุการณ์สำคัญในไตรมาส 3 คือ Nvidia จะเปิดตัว Blackwell, Apple จะเปิดตัว iOS 18 ใหม่และ iPhone 16 และ Microsoft จะเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่พร้อมกัน ถ้า 3 ตัวนี้ไม่เป็นไปตามที่คาด จะสามารถพาตลาดหุ้นโลกลงได้ ดังนั้นให้ระวังการปรับฐานของหุ้น Tech
ในช่วง 6 ไตรมาสที่ผ่านมา ภาวะ Value pay มีผลงานที่ดีขึ้น อาทิ กลุ่ม Real Estate Finance และ Utility นอกจากนี้ ให้ระมัดระวังการเปลี่ยนถ่ายของภาวะพันธบัตร ที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนถ่ายของตลาดหุ้น ระมัดระวังความผันผวน คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป การลงทุนในตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะเอื้อเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการปรับฐานของหุ้นสหรัฐ แน่นอนว่าจะปรับตัวลงหมด และช่วงต่อไปจะไหลมาทาง Value สำหรับประเทศไทยนั้นหากการเมืองคลี่คลายมองว่าจะเอื้อประโยชน์ให้ตลาด Perform ขึ้นมา
นายภาดล วรรณรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลในหัวข้อ “Evaluating Sector Trends” ว่าแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยเริ่มจะมีเสน่ห์ หลังจากหุ้นกลุ่ม Tech เริ่มหมดเสน่ห์ เชื่อว่าเม็ดเงินจะหมุนมาที่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น นอกจากนี้การที่มีกฎเกณฑ์ต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นไทยก็จะส่งผลนี้ยิ่งขึ้นเช่นกัน ที่ผ่านมากลุ่มหุ้นไทยที่น่าสนใจ จะเป็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ส่งออกอาหาร และ Medical tourism ซึ่งมีผลงานที่ดีอยู่แล้ว แต่อีก 2 กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลงานที่ดีต่อจากนี้ ได้แก่
กลุ่มศัลยกรรมความงาม โดยปัจจัยคือ Social Media ทำให้ความต้องการศัลยกรรมทั่วโลกเติบโต ผู้สูงอายุจะมากขึ้นทั่วโลก ภาครัฐสนับสนุนฟรีวีซ่า และภาคบริการของไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง ส่งผลให้กลุ่มศัลยกรรมในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ขนาดตลาดจะเพิ่มขึ้น จากโครงสร้างประชากรไทย โดยกลุ่มลูกค้า 25 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 60% ในปี 2050 นอกจากจะโตจากความต้องการที่มากขึ้นแล้วยังคาดว่าจะโตจากขนาดอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้สถานการณ์โควิดผลักดันอุตสาหกรรมเสริมความงาม หลังจากกลับมาใช้ชีวิตปกติทุกคนก็หันดูแลตัวเองมากขึ้น ปัจจัยอุตสาหกรรมความงามในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 64,000 ล้านบาท และเชื่อว่ายังสามารถโตได้อีกเยอะมาก โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโต 10% ต่อปีจนถึงปี 2030
อีกกลุ่มหนึ่งคือ Personal Computer รูปแบบใหม่ที่มีการผสมผสานเทคโนโลยี AI ที่เรียกกันว่า “AI PCs” ของผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ไทย ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกมุ่งเป้าไปที่ AI ซึ่งประเทศไทยจะได้ประโยชน์ในส่วนของ Customer Electronics ปัจจุบันเป็นยุคของ Big Data ช่วงแรกของ AI การใช้งานคือส่งข้อมูลไปที่ส่วนกลางหรือผ่านคลาวด์ ต่อไปจะเกิด AI PCs ที่มีระบบประมวลผลเข้ามาด้วยซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหญ่คาดว่ายอดขาย AI PCs จะเติบโตจากปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้น 19% ของ PCs ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ และจะขึ้นไปถึง 60% ในปี 2027 ซึ่งจะเอื้อประโยชน์แก่ Supplier ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก
นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ให้ข้อมูลในหัวข้อ “Premier Stocks Insights” ว่า ช่วงปีที่ผ่านมาหลายคนมองว่าตลาดหุ้นไทยแย่ลงทุนไม่ได้ แต่หากมีความเข้าใจ หุ้นไทยก็สามารถปลอดภัยมากขึ้น Mind set การลงทุนในตลาดหุ้นไทย คือ “โลกการลงทุนไม่ใช่หนังฮอลลีวูด” ไม่ได้มีแค่ผู้ร้ายและพระเอก ทุกคนล้วนอยากเป็นพระเอกทั้งนั้น แต่บางครั้งสิ่งแวดล้อมยังไม่พร้อมให้โต
โดยลักษณะของแต่ละตลาด คือ ตลาดหุ้นพระเอก จะมีลักษณะเป็นขาขึ้น กลยุทธ์ที่ง่ายที่สุดคือ Buy และ Hold แต่เราอยู่ในตลาดที่อยากจะเป็นพระเอกแต่สิ่งแวดล้อมไม่พร้อม ลักษณะจะเป็นไม่ขึ้นก็ลง มีความผันผวน ซึ่งการจะลงทุนในตลาดนี้ได้ต้องเข้าใจ Cycle ของตลาด อย่างไรก็ตาม มองว่า ตลาด Local ยังเป็นทางเลือกในระยะยาว ตัวอย่างเช่น ประเทศ A ได้ประโยชน์จากการมีหุ้นที่ดี เกิดเงื่อนไขการลงทุน Offshore โดยประชาชน A มีความเข้าใจในธุรกิจของบริษัทในประเทศ A มากกว่า ส่งผลให้เกิดความไว้วางใจในระยะยาว
นอกจากนี้ ควรศึกษาเรียนรู้ที่จะอยู่ในตลาด ซึ่งการเลือกหุ้นในตลาดปัจจุบันมี 2 รูปแบบคือ หุ้นที่ดีแล้วยังดีต่อ (Price – in) โดยดูที่ Market Share, Margin และอัตราการเติบโต และหุ้นที่อยู่ในการเปลี่ยนแปลง (ยังไม่ Price – in) คือ “หุ้นที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ” หุ้นที่อยู่นิ่งๆ แต่มีโอกาสที่จะเติบโต “หุ้นที่แกงจืดกลายเป็นแกงส้ม” โดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และหุ้นขยะจากคนเลวค่อยๆกลายเป็นคนดี
นายพีระสิทธิ์ จิวะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายมานะ คานิโยว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพัฒนาธุรกิจและพาณิชย์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด และ 3 สุดยอดนักวิเคราะห์ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Navigating Asset Classes & Opportunities” ว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ในโลกปัจจุบัน ได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ น้ำมัน ทองคำ และการลงทุนใหม่คือ “สินทรัพย์ดิจิทัล” โดยมีตัวหลักคือ Cryptocurrency, Smart contract และ Stablecoin ในอดีตหลายคนมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องไกลตัว จับต้องไม่ได้ ไม่มีมูลค่า หรือเป็นสแกม (Scam) ปัจจุบันมุมมองได้เปลี่ยนไปเยอะมาก โดย Market cap ของ Bitcoin ปัจจุบันอยู่อันดับ 10 ของสินทรัพย์ทั่วโลกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด ซึ่งมองว่ามีความเชื่อมโยงบางอย่างที่สามารถกับนำมาใช้กับการลงทุนในโลกเก่าได้ หรือที่เรียกว่า Tokenization
สำหรับสินทรัพย์ที่น่าจับตามองและจะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกประมาณ 4 เดือนข้างหน้า มองว่า “ทองคำน่าจะ Perform ดี” หลังจากนั้นมองว่าจะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีดีมานด์จาก 2 เรื่อง คือกฎเกณฑ์ และการประกาศว่าในช่วง 30 ปีข้างหน้าจะเกิด “Wealth Transfer” ประมาณ 90 ล้านเหรียญสหรัฐไปที่ประกันและคริปโทฯ นอกจากนี้ ตราสารหนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีเพราะเวลาดอกเบี้ยลงพันธบัตรจะขึ้น กลุ่มหุ้นที่จะเด่นมากในช่วงก่อนเลือกตั้ง มองว่าเป็นหุ้นโลจิสติกส์ และหลังการเลือกตั้ง หุ้นไทยก็จะมีเสน่ห์มากขึ้น
ด้านปัจจัยที่ใช้ในการลงทุน ในส่วนของภาพใหญ่จะดูที่ GDP ของประเทศเป็นหลัก ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลจะดูที่ MVRV และภาพรวมการลงทุนโลก ในมุมของตลาดหุ้นไทยดูที่ Gross Profit Margin, ราคาหุ้น, Dollar Index, Bond yield และ Trade War ทั้งนี้ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ต้องมีการจัดสรรกระจายความเสี่ยงปรับรูปแบบการลงทุนหรือให้ผู้เชี่ยวชาญลงทุน
สำหรับข้อมูลย้อนหลัง สามารถรับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ptBAPUmPVl4
**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ควรวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
7454