การออมวัยเกษียณ...สร้างหลักประกันที่มั่นคงแก่ประชากรไทย ท่ามกลางการก้าวเข้าสู่สังคมชราภาพในระยะถัดไป
- Details
- Category: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- Published: Friday, 01 April 2016 11:11
- Hits: 942
การออมวัยเกษียณ...สร้างหลักประกันที่มั่นคงแก่ประชากรไทย ท่ามกลางการก้าวเข้าสู่สังคมชราภาพในระยะถัดไป
เมื่อพิจารณาถึงประเด็นด้านการออมในระยะยาวเพื่อใช้ในยามเกษียณนั้น นับได้ว่ายังคงเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับประชากรวัยแรงงานที่ต้องให้ความสำคัญและตระหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากทิศทางของประชากรไทยสูงวัยหลังเกษียณอายุ (ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป) ถูกคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10-20 ปีข้างหน้า รวมทั้งประชากรวัยชรายังคงมีแนวโน้มที่จะต้องเลี้ยงดูตนเองเพียงลำพังมากขึ้น อันเป็นภาพตอกย้ำว่าสังคมไทยนั้นกำลังก้าวเข้าสู่สังคมชราภาพ (Aging Society) อย่างแท้จริง
!!! รู้หรือไม่ อีก 10-20 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรไทยสูงวัยหลังเกษียณอายุจะเคลื่อนเข้าหา 1 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ...โดยจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าประชากรไทยสูงวัยถูกคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.5 ของประชากรทั้งหมดในปี 2543 และร้อยละ 13.4 ในปี 2553 มาเป็นร้อยละ 27.4 ในปี 2573
สัดส่วนประชากรวัยชราที่ต้องเลี้ยงดูตนเองเร่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา...โดยในประชากรวัยชราจำนวน 100 คน จะมีประชากรวัยชราที่ต้องดูตนเองเพียงลำพังในปี 2550 ถึงประมาณ 8 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2537 ที่อยู่ที่ประมาณ 3 คน รวมทั้งคาดว่าในอนาคตข้างหน้าประชากรวัยชราที่ต้องเลี้ยงดูตนเองจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
แม้มูลค่าเงินลงทุนเพื่อตอบวัตถุประสงค์ด้านการออมระยะยาวเพื่อใช้ในยามเกษียณในภาพรวมของประเทศ จะมีบทบาทต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ทั้งในส่วนการออมภาคบังคับจากการสนับสนุนโดยภาครัฐ และภาคสมัครใจโดยภาคเอกชนในรูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและประกันชีวิต) โดยปี 2554 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม อยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 ของจีดีพี แต่ยังคงพบว่าสินทรัพย์ของรูปแบบการออมดังกล่าวต่อจีดีพีของไทย ซึ่งอยู่ที่เพียงร้อยละ 40 ต่อจีดีพีในปี 2554 ยังคงมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับมูลค่าสินทรัพย์ของระบบการออมเพื่อการชราภาพของบางประเทศในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนร้อยละ 113, 115 และ 107 ตามลำดับ
