- Details
- Category: Crypto
- Published: Friday, 15 March 2024 19:10
- Hits: 10727
Bitcast แนะเก็บคริปโทฯ อย่างไรให้ปลอดภัย ในยุค Bull Run
ในภาวะตลาดขาขึ้น (Bull Run) ของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ราคาเหรียญมักพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดนักลงทุนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ให้เข้ามาลงทุนในตลาดคริปโทฯ มากขึ้น ในขณะที่ ราคาคริปโทฯ ก็ดึงดูเหล่ามิจฉาชีพให้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากการเรื่องศึกษาข้อมูล เข้าใจความเสี่ยง เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม และลงทุนอย่างมีสติแล้ว การเก็บรักษาสินทรัพย์และความตระหนักในการใช้งานก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
นายศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทย บิทแคสต์ จํากัด กล่าวว่า การเก็บรักษาคริปโทฯ มักมีปัญหาหลายประการ และเป็นอุปสรรคที่ทำให้การพัฒนาคริปโทฯ เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายได้ค่อนข้างช้า แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. ปัญหาด้านความตระหนัก ปัญหานี้เป็นปัญหาหลักของพัฒนาการในการใช้งานคริปโทฯ เลยทีเดียว เนื่องจากคนส่วนใหญ่คุ้นชินกับการพึ่งพาบริการจากผู้ให้บริการในชีวิตจริง หากเกิดความเสียหายมีคนพร้อมช่วยเหลือ และสามารถกู้คือหรือย้อนธุรกรรมกลับได้ แต่วิธีคิดนี้ใช้กับบริการทางด้านการเงินออนไลน์ในยุคนี้ไม่ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นธุรกรรมบนโลกคริปโทฯ การย้อนธุรกรรมเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ หากถูกโจรกรรมแล้วจะไม่สามารถดึงเงินกลับได้ ความตระหนักจึงเป็นวิธีการป้องกันที่ถูกและมีประสิทธิ ภาพที่ดีที่สุดอันนึง
2. ปัญหาด้านเความรู้คริปโทฯ โดยพื้นฐานคริปโทฯ อาจฟังดูยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ผู้ใข้ควรรู้ มีแค่เรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของ ในโลกของคริปโทฯ คนใช้ทั่วๆ ไปรู้แต่ว่าเราครอบครองเหรียญ เห็นเหรียญแสดงในกระเป๋า แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ การครอบครองนั้นพิสูจน์ด้วยอะไร
ถ้าเราเข้าใจเรื่องการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของเราก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องปกป้องไม่ใช่สินทรัพย์ แต่เป็นการปกป้องสิ่งที่เราบอกระบบว่าเราเป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า Private Key นั่นเอง เพราะ คริปโทฯ นั้นปลอดภัยอยู่แล้วในระบบตามกฏของมันซึ่งเก็บอยู่บน Blockchain ที่เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไป Hack ออกมาได้ ดังนั้นจุดที่ Hacker จะโจมตี หรือพยายามโจรกรรมก็คือ Private Key เพราะถ้าได้ Private Key ไป Hacker จะพิสูจน์ต่อระบบได้เว่าเค้าเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นๆ ทำอะไรกับมันก็ได้
นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้ยังไม่เข้าใจความต่างของการเก็บรักษาสินทรัพย์เองว่าเราสามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพา Exchange ซึ่งวัตถุประสงค์ของการที่ Exchange เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นตลาดสำหรับแลกเปลี่ยน Bitcoin และ Digital Asset อื่นๆ แต่คนส่วนใหญ่ มองเป็นที่สำหรับเก็บ Bitcoin และ Digital Asset อื่นเพียงเพราะผู้ให้บริการมีทักษะมากกว่าผู้ใช้ทั่วๆ ไป ทั้งที่จริงแล้วต้นทุนในการเก็บเองรวมถึงความปลอดภัยเรียกได้ว่าอยู่ในระดับสูง หากเราเก็บเองเป็นตามกระบวนการ
3. ปัญหาทางด้านเทคนิค เนื่องจากเทคโนโลยีเติบโตแบบก้าวกระโดด คนทั่วๆ ไปตามการเติบโตนี้ไม่ทัน แม้แต่คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมหากไม่ได้ตามข่าวเพียงแค่เดือนเดียวหลายๆ อย่างก็ปรับเปลี่ยนไปหมดแล้ว เทคโนโลยีหรือเทคนิคการเขียนโปรแกรมถูกใส่เข้าในเพื่อป้องป้องความมั่งคั่งทางดิจิทัลของคุณอยู่ตลอดเวลา ในทางกลับกัน Hacker เองก็เรียนรู้ที่จะเจาะระบบ หาช่องโหว่ จุดอ่อนของผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้เอง ต้องมีการเรียนรู้ ปรับตัว หมั่นอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ
หากผู้ใช้เข้าใจองค์ประกอบหลักทั้งสามข้อนี้ ผมเชื่อว่าการเก็บรักษาสินทรัพย์จะเป็นเรื่องที่ง่าย และห่างไกลจาก Hacker แน่นอน ในปีที่ผ่านมามูลค่าความเสียหายที่เกิดจากการโจรกรรมทางไซเบอร์โดย เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ นั้นมีมูลค่าสูงถึง 24,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ปีนี้ทุกคนมองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในช่วงตลาดกระทิง ปัจจัยหลักๆ ก็จะมาจากความต้องการของตลาดที่จะครอบครอง Bitcoin ผ่าน Spot Bitcoin ETF ประจวบกับการที่ปีนี้เป็นปีที่ Bitcoin จะมีการลดปริมาณการผลิต ลงครึ่งหนึ่งที่เรียกว่า Halving ที่จะเกิดขึ้นราวๆ ทุก 4 ปี แล้วถ้าเราแอบไปส่องดูปริมาณ Bitcoin ที่สำรองใน Exchange รวมกัน อยู่ในระดับที่ต่ำ มีการซื้อแล้วโอนออกไปเก็บทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งถ้าลองจินตนาการ ถึงความต้องการตลาดที่ยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ มาเจอกับปริมาณของที่มีอยู่อย่างจำกัดบน Exchange ซึ่งปัจจุบันมีการผลิตเติม Bitcoin เข้ามาประมาณ 900 Bitcoin ต่อวัน จะเหลือ 450 Bitcoin ต่อวัน นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่ Spot Ethereum ETF ที่ทุกคนหมาย มั่นปั้นมือว่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงกลางปีนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันมูลค่าในตลาดคริปโทได้อีกมากแค่ไหน ซึ่งในปีนี้กรอบราคากว้างๆ ถ้าดูตาม Linear regression fit มีความเป็นไปได้ที่จะถึง 100,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Resistance อยู่ที่ราวๆ 380,000 ดอลลาร์ ในขณะที่ Support อยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาของเหรียญในตลาดคริปโทนั้นย่อมทำให้ล่อตาล่อใจเหล่า Hacker เพราะต้นทุนในการโจรกรรมเท่าเดิมแต่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ผนวกกับคนหน้าใหม่ที่สนใจจะเข้ามาในตลาดก็มากขึ้นด้วยทำให้ตัวเลขความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นตามราคาของ Bitcoin และคริปโทอื่นๆ
Bitcast เข้าใจความต้องการของตลาด และเล็งเห็นว่าการเติบโตของตลาดจะยั่งยืนได้ผู้ใช้งานต้องมีความรู้ ความตระหนัก และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ดังนั้นเราจึงได้คัดสรร Hardware Wallet Brand OneKey เข้ามาจัดจำหน่าย และ Bitcast ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และยังมุ่งมั่นให้ความรู้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีการจัด Workshop และ Meetup เป็นประจำ เพราะผมคิดว่าความรู้ไม่ควรถูกจำกัด ดังนั้นคนที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเราได้โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ
และภายในปีนี้ทาง Bitcast จะมีบริการใหม่อย่างการรับจ้างกู้กระเป๋าคริปโทสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกู้คืนสินทรัพย์ที่ติดอยู่ในกระเป๋าแล้วไม่สามารถจัดการเองได้ รวมไปถึงบริการบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต้องการโซลูชั่นในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย อย่างเช่น Multi-Sig Wallet เป็นต้นเพื่อการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการให้คำปรึกษาและโซลูชั่นสำหรับเก็บรักษา Bitcoin และ Digital Asset ด้วยตนเอง
3565