WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

MOCอภรด ตนตราภรณพาณิชย์ คงเป้าส่งออกปีนี้ -3% ส่วนปี 59 ขอประเมินอีกครั้งใน พ.ย.

     นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(สคร.) และสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศวันนี้ ได้มีการประเมินสถานการณ์ด้านการส่งออกสำหรับในช่วงที่เหลือของปี 58  รวมทั้งมอบนโยบายสำหรับการดำเนินแผนการด้านการค้าระหว่างประเทศในช่วงจากนี้ไป โดยมองว่าขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังคงทรงตัว ดังนั้น จึงขอให้แต่ละสำนักงานฯ ไปปรับวิธีการทำงานเพื่อคงสถานภาพทางการตลาดของประเทศไทยไว้

     สำหรับ ในปีนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกไว้ตามเดิมที่ล่าสุดคาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 3% ขณะที่เป้าหมายการส่งออกสำหรับปี 59 นั้นจะมีการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศร่วมกันอีกครั้งในช่วงเดือน พ.ย.58 เพื่อที่จะกำหนดออกมาเป็นเป้าหมายการส่งออกสำหรับปีหน้าต่อไป

    “เป้าหมายส่งออกของปีหน้า เราจะประเมินเป้าหมายช่วงปลายปีหรือประมาณพ.ย.อีกครั้ง สำหรับการส่งออกช่วงที่เหลือของปีนี้ที่เราพยายามผลักดันไปนั้น สินค้ากลุ่มรถยนต์น่าจะมีตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้น สินค้าอัญมณีน่าจะไปได้ดี ดังนั้น ตัวเลขโดยรวมไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง เรายังยืนยันตัวเลขเดิมที่ตั้งไว้(-3%) ส่วนปีหน้าเราค่อยดูอีกทีว่าภาวะการณ์จะเป็นอย่างไร"รมว.พาณิชย์ กล่าว

    ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.58) พบว่าการส่งออกยังคงติดลบ 4.7% และการนำเข้าติดลบ 8.6%

    นอกจากนี้ ได้มอบนโยบายที่สำคัญ คือ จะต้องมีการปรับรูปแบบการทำงานของ สคร.ให้เป็นผู้นำทางด้านการตลาด เป็นนักการตลาด และสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้ผู้นำเข้าเกิดความเชื่อมั่นในสินค้าไทย รวมทั้งต้องมีฐานข้อมูลในเชิงลึกมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ด้านการตลาด และสินค้าที่มีศักยภาพ ซึ่ง สคร.จะต้องมีข้อมูลในเชิงลึก เช่น ข้อมูลคู่ค้าประเทศนั้นมีความเด่นในด้านใด ผลิตสินค้าอะไร โอกาสสินค้าและบริการของไทยอยู่ในจุดไหน รวมทั้ง สคร.ต้องแนะนำได้หากเอกชนต้องการเข้าไปลงทุนทำการค้าว่าต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือเรื่องใด ตลอดจนต้องมีข้อมูลสินค้าส่งออก 10-20 อันดับ และธุรกิจบริการที่มีศักยภาพที่จะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกของไทยได้ โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นไปตามยุทธศาสตร์คลัสเตอร์ของรัฐบาล

     “ต้องปรับ สคร.ให้เป็น marketing man เป็นผู้นำทางด้านการตลาด ขายสินค้าของประเทศไทย ซึ่งข้อมูลที่จะต้องหามานั้น ต้องเป็นข้อมูลที่เจาะลึก รับฟังและวิเคราะห์ และรายงานข้อมูลเชิงลึกเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งส่วนกลางจะนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และกระจายไปยังหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป" รมว.พาณิชย์ กล่าว

     พร้อมกันนี้ จะต้องมีการปรับปรุงรูปแบบการทำงานของหน่วยงานในส่วนกลางให้สามารถสนับสนุนและเป็นพี่เลี้ยงเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่สำนักงานที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งจะเน้นการทำตลาดเอเชีย และตลาดการค้าชายแดนให้มากขึ้น ดังนั้น จึงต้องปรับปรุงการทำงานของสำนักงานฯ ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน, อาเซียน, อินเดีย รวมทั้งในชมพูทวีป ให้มีการทำงานที่เชื่อมโยงกับพาณิชย์จังหวัดที่อยู่ชายแดนให้มากขึ้น

    “2 สำนักงานนี้ ทั้งสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจะต้องทำงานและประสานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขปัญหาการค้าชายแดนที่อาจจะเกิดขึ้น" รมว.พาณิชย์ กล่าว

    นางอภิรดี กล่าวด้วยว่า สำหรับกิจกรรมและแผนงานทางด้านการตลาดของในปีที่ผ่านมา อาจจะต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยผลักดันการส่งออกในช่วงต่อจากนี้ไป โดยจะเน้นการค้าในกลุ่มสินค้าบริการที่จะเป็นคลัสเตอร์ใหม่ เช่น อุตสาหกรรมภาพยนตร์, อุตสาหกรรมฮาลาล, อุตสาหกรรมค้าปลีกและแฟรนไชส์ เป็นต้น และให้ สคร.เสนอกิจกรรมที่จะสามารถเห็นผลได้ใน 3 เดือนเข้ามา

   ขณะเดียวกัน ต้องใช้ประโยชน์จาก e-Commerce ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นช่องทางใหม่ๆ ในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทย โดยกระทรวงพาณิชย์จะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงเว็บไซต์ thaitrade.com และ Thaicommercestore.com โดยทูตพาณิชย์จะต้องช่วยโปรโมทและประชาสัมพันธ์การเข้ามาใช้บริการให้มากขึ้น

                        อินโฟเควสท์

พณ.คุมร้านขนม สั่งติดป้ายแสดงราคา กันผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ

     แนวหน้า : พณ.คุมร้านขนม สั่งติดป้ายแสดงราคา กันผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ ฝ่าฝืนเจอปรับ1หมื่นบาท

     นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ออกประกาศ กกร.กำหนดให้ร้านค้าที่จำหน่ายขนมทุกชนิดต้องปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบราคาก่อนซื้อสินค้า หลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนเข้ามาอย่างต่อเนื่องว่าถูกร้านค้าเอาเปรียบ โดยบางร้านตั้งราคาจำหน่ายสูงเกินจริง ทำให้กระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าไปดูแลให้เกิดความเป็นธรรม

     “มีผู้บริโภคร้องเรียนเข้ามาว่าไปซื้อขนมในร้านเบเกอรี่ แล้วถูกโขกราคาขายเกินจริง ทั้งที่ราคาไม่ควรจะสูงขนาดนั้นและไม่สามารถรู้ได้ว่าราคาจำหน่ายเป็นเท่าไร แต่จะมารู้ตอนที่คิดราคาแล้ว จึงต้องเข้าไปดูแลและกำหนดให้ร้านขายขนมจะต้องปิดป้ายแสดงราคาขนมให้ชัดเจนทุกชนิดที่จำหน่ายในร้าน หากไม่ทำจะมีความผิดปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท”นางอภิรดีกล่าว

     รายงานข่าวแจ้งว่า กรมการค้าภายในจะออกประกาศ กกร. กำหนดให้ร้านค้าที่จำหน่ายขนมทุกชนิด ต้องปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายขนมให้ชัดเจน ซึ่งจะครอบคลุมร้านจำหน่ายขนมทั้งหมดในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นร้านขนมในห้าง ร้านเบเกอรี่ ร้านค้าทั่วไป หรือร้านค้าในตลาดสด ในส่วนของร้านเบเกอรี่ที่เปิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะเปิดคู่ร้านกาแฟ แต่ส่วนใหญ่จะมีการปิดป้ายแสดงราคาจำหน่ายกาแฟ แต่ไม่มีการปิดป้ายราคาขนม เมื่อผู้บริโภคเลือกซื้อไปบริโภคแล้ว พอถึงเวลาจ่ายเงินค่าสินค้า ก็ไม่สามารถปฏิเสธราคาที่ถูกเรียกเก็บได้ ทำให้ถูกเอาเปรียบ ส่วนร้านค้าทั่วไป หรือร้านค้าในตลาดสด ยอมรับว่า เป็นส่วนของผู้ค้ารายย่อย จะได้รับผลกระทบบ้าง เพราะต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน แต่เมื่อกฎหมายบังคับ ก็ต้องปิดป้ายแสดงราคา เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ

      รายงานข่าวแจ้งอีกว่า กรมการค้าภายในยังได้จัดทำโครงสร้างราคาก๋วยเตี๋ยวที่จำหน่ายในร้านค้าทั่วไปในเดือนสิงหาคม พบว่าราคาจำหน่ายที่ 35 บาทต่อชาม ผู้ค้ายังมีกำไรจากการจำหน่ายอยู่ที่ 24.25% หรือกำไรเฉลี่ยต่อชามจะอยู่ที่ประมาณ 11.22 บาท ลดลงจากกำไรเฉลี่ยปี 2557 ที่กำไรเฉลี่ยต่อชามอยู่ที่ 12.39 บาท เพราะต้นทุนบางอย่างปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือว่ากำไรลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    ขณะที่ราคาจำหน่ายข้าวกะเพราหมูที่ราคาจานละ 35 บาท ผู้ค้ามีกำไรสูงถึง 40.79% หรือกำไรเฉลี่ยจานละ 11.50 บาท ซึ่งลดลงจากปี 2557 ที่กำไรเฉลี่ยจานละ 12.41 บาท

    สำหรับ ผลการวิเคราะห์ต้นทุนก๋วยเตี๋ยว พบว่า ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ที่ 15.71 บาทต่อชาม แยกเป็นต้นทุนเส้น 1.71 บาท เนื้อหมู 4.20 บาท ลูกชิ้นหมู 4.80 บาท และวัตถุดิบอื่นๆ 5.00 บาท และต้นทุนอื่นๆอีก 8.07 บาท แยกเป็นค่าแรงงานทางตรง 3.00 บาท ค่าแก๊ส 1.27 บาท ค่าเช่าพื้นที่ 2.00 บาท และอื่นๆ 1.80 บาท รวมต้นทุนทั้งหมด 23.78 บาท ซึ่งหากขายราคา 30 บาท จะกำไร 7.13 บาท แต่ถ้าขาย 35 บาท ก็กำไร 11.22 บาทตามที่กล่าวไว้ข้างต้น

   ส่วนต้นทุนกะเพราหมู พบว่า ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ที่ 15.43 บาท แยกเป็น ข้าวขาว 3.67 บาท เนื้อหมู 9.80บาท น้ำมันพืช 0.21 บาท วัตถุดิบอื่นๆ 1.75 บาทและต้นทุนอื่นๆอีก 8.07บาท แยกเป็นค่าแรงงานทางตรง 3.00 บาท ค่าแก๊ส 1.27 บาท ค่าเช่าพื้นที่ 2.00บาทและอื่นๆ 1.80 บาท รวมต้นทุนทั้งหมด 23.50 บาท หากขายราคา 30 บาท จะกำไร 7.05 บาท ถ้าขาย 35บาท กำไร 11.50 บาท

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!