WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

รายงานพิเศษ: 'นู สกิน'รออานิสงส์ AEC หนุนธุรกิจเฟื่อง

    ไทยโพสต์ : ธุรกิจขายตรงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของใครหลายคนในการทำธุรกิจ เพื่อสร้างอนาคตความเข้มแข็งทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการเป็นช่องของการหารายได้พิเศษ นอกเหนือจากงานประจำที่ทำอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดขายตรงจะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รายไหนกลยุทธ์ดี มีทีเด็ดเยอะ จะสามารถอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือด

    'นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ อิงค์' นับได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทขายตรงที่อัตราการเติบโตในตลาดมั่นคง และเป็นธุรกิจเครือข่ายที่ใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ด้วยการเป็นบริษัทมหาชนที่เข้าชื่ออยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก มีรายได้มากกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี

      ธุรกิจของ 'นู สกิน' มีอยู่ใน 53 ตลาดทั่วโลก แบ่งออกเป็น โซนอเมริกาเหนือ ได้แก่ แคนาดา สหรัฐอเมริกา โซนลาติน อเมริกา ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล โคลอมเบีย คอสตาริกา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส เม็กซิโก เวเนซุเอลา โซนแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้ โซนยุโรป ได้แก่ เบลเยียม สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก เยอรมนี สเปน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ (Island) ไอร์แลนด์ (Ireland) อิตาลี ลักเซมเบิร์ก ฮังการี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ ออสเตรีย รัสเซีย โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สวิตเซอร์แลนด์ สโลวาเกีย สวีเดน ตุรกี ยูเครน สหราชอาณาจักร โซนเอเชียเหนือ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี โซน Great China ได้แก่ กลุ่มประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน โซนแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เฟรนช์โปลินีเชีย โซนตะวันออกกลาง ได้แก่ อิสราเอล รวมทั้งโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม

      นูสกิน มีแผนรุกธุรกิจขายตรงทั่วโลก ตั้งเป้าหมายยอดขาย 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2020 โดยวางยุทธศาสตร์ที่จะผลักดันยอดขายด้วยปัจจัยด้านการพัฒนาและขยายฐานผู้ทำธุรกิจ และใช้นวัตกรรมของสินค้าเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจและรุกตลาด รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับเทรนด์ตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันนี้ผู้บริโภคหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น

      นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า นู สกิน ประเทศไทย ยังคงเดินตามนโยบายบริษัทแม่ด้านกลยุทธ์การทำตลาด โดยยังคงจะให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแอนไทเอจจิ้งเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาสามารถมียอดขายการเติบโตสูงถึง 23%

     ประกอบกับมีการคิดค้นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ และคาดว่าภายในปีนี้ บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเอจล็อกอีกจำนวน 1-2 รายการ พร้อมด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาโปรแกรมสร้างแรงจูงใจเพื่อสร้างการเติบโตให้กับผู้ทำธุรกิจ (Motivation Program) ด้วยแผนขยายฐานผู้ทำธุรกิจผ่านโปรแกรมอินเซนทีฟที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งอีกด้วย

     ปัจจุบัน นู สกิน มีสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอจ ล็อก 70% ที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ 30% และสามารถแบ่งสัดส่วนยอดขายของกลุ่มเอจล็อกเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 70% และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ธุรกิจขายตรงค่อนข้างที่จะเปิดกว้างสำหรับคนที่สนใจและมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ที่เข้ามาทำธุรกิจนี้จึงมีหลากหลายกลุ่มแทบจะทุกเพศทุกวัย

    และเนื่องจากปัจจุบันความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย ทำให้มีจำนวนผู้เข้ามาทำธุรกิจขายตรงเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษา หรือเฉลี่ยอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่นเฉพาะตัว ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจเอง มีอิสระในการกำหนดรายได้ด้วยตัวเอง ธุรกิจขายตรงจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น

     นอกเหนือจากการขยายฐานนักธุรกิจและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าลงทุนเข้าไปเปิดตลาดไม่ใช่น้อย จากการสำรวจภาพรวมธุรกิจขายตรงในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเมื่อช่วงปี 2556 มีมูลค่าทางการตลาด 310,000 ล้านบาท โดยตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย, ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และเวียดนาม

     ขณะที่ประเทศเวียดนามก็มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน มีประชากรประมาณ 90 ล้านคน มากเป็นอันดับ 13 ของโลก และมูลค่าอุตสาหกรรมขายตรงของเวียดนามอยู่ที่ 8,500 ล้านบาท มีการเติบโตร้อยละ 12 นับว่าเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศในกลุ่มเออีซี และนับเป็นการเติบโตสูงสุดติด 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรมขายตรงโลก

     โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมามีบริษัทยื่นขอจดทะเบียนเปิดดำเนินการในเวียดนามจำนวน 78 บริษัท และเปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจำนวน 54 บริษัท แบ่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่น 83.3% และแบรนด์ต่างชาติ 16.7%

     "บริษัทเริ่มเข้ามาเปิดตลาดในประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายไตรมาส 3 ของปี 2555 ซึ่งถือเป็นสาขาประเทศที่ 53 ของนู สกิน ทั่วโลก ทั้งยังเป็นการเปิดตลาดที่ 7 ในกลุ่มประเทศอาเซียน จากทั้งหมด 10 ประเทศ ต่อจากไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน"

     สำหรับ การแข่งขันในกลุ่มธุรกิจขายตรงในประเทศเวียดนามยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับไทยและมาเลเซีย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างใหม่ ประกอบกับธุรกิจขายตรงที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจในเวียดนามนั้น จะต้องได้รับการยอมรับและผ่านการตรวจสอบโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด ดังนั้นบริษัทขายตรงที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจในเวียดนามต้องดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบของจรรยาบรรณ และต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับทัศนคติของผู้บริโภค และให้ความรู้กับคนในประเทศเวียดนามเปิดรับธุรกิจขายตรงมากขึ้น

     สำหรับ ในเวียดนาม กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 51% รองลงมา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง 27% และผลิตภัณฑ์กลุ่มโฮมแคร์ 9% ช่องทางการจำหน่ายใช้วิธีการขายผ่านบุคคลต่อบุคคล 100% เพราะยังถือว่าเวียดนามเป็นตลาดเปิดใหม่สำหรับขายตรง และมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ดังนั้นช่องทางการขายแบบปากต่อปากจึงเป็นช่องทางหลักที่มีศักยภาพสูงในปัจจุบัน

     "เรามองว่าหลังจากที่มีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีแล้ว จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจของบริษัททั้งในระดับประเทศและในภูมิภาคเติบโตมากยิ่งขึ้น แม้ว่าปัจจุบันธุรกิจของนู สกิน จะได้ขยายตัวไปในหลายๆ ประเทศในอาเซียนอยู่แล้วก็ตาม แต่การเปิดเออีซีมีข้อตกลงในการลดกำแพงภาษีการนำเข้าวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง รวมถึงการอำนวยความสะดวกทางการค้า การลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร เส้นทางคมนาคมขนส่งก็มีความเชื่อมโยงกัน เพิ่มความสะดวกด้านการขนส่ง และลดภาระค่าใช้จ่ายทางโลจิสติกส์ ล้วนแต่จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มศักยภาพการทำงานให้กับผู้แทนจำหน่ายของเราได้ดียิ่งขึ้น"

    ตลาดด้านสุขภาพ ความงาม จะมีการขยายตัวที่สูงมาก เนื่องจากประชากรในภูมิภาคนี้ค่อนข้างใส่ใจกับการดูแลรักษาสุขภาพ ความงาม ทำให้มีการแข่งขันทั้งในประเทศและในภูมิภาคที่เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ผู้เล่นหน้าใหม่จากหลายประเทศพร้อมที่จะเข้ามาชิงส่วนแบ่งกันจำนวนมาก

     แต่ละบริษัทจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และไม่แต่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น แต่ต้องพร้อมที่จะรับมือกับผู้เล่นในระดับภูมิภาคหรือระดับโลกอีกด้วย

     ด้วยความพร้อมของนู สกิน ในหลายด้าน คงจะช่วยให้นู สกิน สามารถเดินเข้าสู่สนามการค้าเสรีอาเซียน และพร้อมแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้อย่างมั่นใจ.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!