WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

OIL18ราคาน้ำมันดิบผันผวน หลังกลุ่มโอเปกพลัสขัดแย้งนโยบายการผลิต

บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ โดย บมจ.ไทยออยล์: ฉบับวันที่ 12 กรกฎาคม 2564

                         

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 73-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 74-79 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล   

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ ( 12 – 16 ก.ค. 64)

       ราคาน้ำมันดิบผันผวน หลังตลาดกังวลเรื่องความขัดแย้งในการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสเกี่ยวกับนโยบายการผลิตเดือน ส.ค. 64 เป็นต้นไปที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ และยังไม่มีการกำหนดวันประชุมที่ชัดเจนเพื่อหาข้อสรุปดังกล่าว ซึ่งหากไม่มีการปรับเพิ่มการผลิตใดๆ จากกลุ่มจะทำให้ตลาดน้ำมันดิบโลกเผชิญภาวะอุปทานตึงตัวในไตรมาส 3 และ 4 ได้ ในทางตรงกันข้ามตลาดยังคงกังวลว่าหากไม่มีข้อสรุปอาจเกิดสงครามราคาขึ้นและทำให้แต่ละประเทศผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่สนใจโควต้าของกลุ่มหรือไม่ ทั้งนี้ ราคาได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในสหรัฐฯ และยุโรป หลังประชากรส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม ราคาได้รับแรงกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีการบังคับใช้มาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้:

           ราคาน้ำมันดิบผันผวน หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบและพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ไม่สามารถข้อตกลงเรื่องลดกำลังการผลิตได้เนื่องจากการประชุมยืดเยื้อระหว่างวันที่ 1-2 ก.ค. และต่อเนื่องในวันที่ 5 ก.ค. และยังไม่มีการกำหนดวันประชุมครั้งต่อไป เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัสนำโดยซาอุดิอาระเบียและรัสเซียตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำลังการผลิตราว 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดือน ส.ค. 64 จนถึง ธ.ค. 64 โดยจะเริ่มเพิ่มกำลังการผลิตราวเดือนละ 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือน ส.ค. 64 และพิจารณาที่จะยืดระยะเวลานโยบายลดกำลังการผลิตจากเดิมสิ้นสุด เม.ย. 65 ไปยังปลายปี 65 เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดิบ

1AAOIL7 12w

        อย่างไรก็ตาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไม่เห็นด้วยกับการยืดระยะเวลานโยบายลดกำลังการผลิตไปสิ้นสุดปลายปี 65 รวมถึงเรียกร้องให้กลุ่มโอเปกพลัสพิจารณาเพิ่มระดับการโควต้าการผลิตอ้างอิง (baseline production) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จากเดิมมีโควต้าการผลิตอยู่ที่ 3.168 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็น 3.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีการลงทุนกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการระบุว่านอกจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังมี อาเซอร์ไบเจน คูเวต คาซัคสถาน และไนจีเรีย ที่เรียกร้องขอเพิ่มโควต้าการผลิตอ้างอิงเช่นกัน

           สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) ฉบับเดือน ก.ค. 64 คาดความต้องการน้ำมันโลกปี 64 เพิ่มขึ้นราว 5.32 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 63 แตะระดับ 97.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 5.41 ล้านบาร์เรลต่อวันจากรายงานฉบับเดือน มิ.ย. 64  โดย EIA คาดว่าภูมิภาคยุโรปจะมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น หลังคลายมาตรการล็อดดาวน์ แต่ภูมิภาคเอเซียจะกดดันความต้องการใช้น้ำมันโลก หลังยังเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่วนความต้องการใช้น้ำมันโลกปี 65 คาดว่าจะอยู่ที่ 101.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 64 ราว 3.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน

           ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สัปดาห์สิ้นสุด 2 ก.ค. 64 จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 5 แท่นแตะระดับ 475 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 212 แท่นหรือราว 81% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 63 ตามรายงานของ Baker Hughes

           สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดการณ์กำลังการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในครึ่งปีหลังของปี 64 จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแตะระดับ 11.10 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ยังถือว่าลดลง 210,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 63 โดยมองว่าอุปทานน้ำมันดิบทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 64 ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ซึ่งอาจมากกว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม EIA คาดว่าปริมาณกำลังการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯปี 65 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 0.75 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 64 แตะระดับ 11.85 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังราคาน้ำมันดิบอาจทรงตัวในระดับสูง

           สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในทวีปยุโรปเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูงที่ราว 50% ตามรายงานของบลูมเบิร์ก ทำให้หลายประเทศในทวีปยุโรปเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และเริ่มมีการเปิดประเทศ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม หลายประเทศในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นำโดยอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า อันเนื่องมาจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ต้องมีการประกาศบังคับใช้มาตรล็อคดาวน์

           เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ EcoFin Meeting ของกลุ่มยูโรโซน ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ และ สหราชอาณาจักรเดือน มิ.ย. 64 จีดีพีจีนไตรมาส 2/64 การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่น

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 – 9 ก.ค. 64) 

       ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 0.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 74.56 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 0.62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 75.55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 73.17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงหลายสัปดาห์ต่อเนื่อง เป็นสัญญาณถึงการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมันสหรัฐฯ หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 อยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับยุโรปที่เริ่มคลายมาตรการล็อคดาวน์

       ทำให้ธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินการผลิต อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบได้แรงกดดันจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังอยู่ในระดับสูง จนทำให้ต้องมีการประกาศมาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสสำหรับเดือน ส.ค. 64 เป็นต้นไป ที่ทำให้ราคาผันผวนตลอดทั้งสัปดาห์

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

FBS728

BITKUB Ad

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!