- Details
- Category: SME
- Published: Saturday, 21 January 2023 23:58
- Hits: 1821
บสย.ลงนามยกระดับอุตสาหกรรมยางไทย
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent –LOI) โครงการ CARE (Capital Flow in Rubber Industrial Estate) ความร่วมมือและส่งเสริมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มยางพารา นิติบุคคล บุคคลธรรมดา กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ร่วมกันผลักดันและยกระดับคุณภาพของเกษตรกร กับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย ดร.หลักชัย พิตติพล ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหารนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนาม และนายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นสักขีพยาน ณ เทศบาลเมืองบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566
ความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวสวนยาง เสริมสภาพคล่องทางการเงิน การผลักดันสินเค้าและการบริหารจัดการให้ตรงตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินการภายใต้ BCG Model (Bio Circular และ Green ) เพิ่มมูลค่าสินค้ายางพาราให้สูงขึ้นเพื่อการส่งออกของประเทศ การให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการด้านการบริการเงิน และเพื่อเป็นต้นแบบของการร่วมมือในการบูรณาการระบบ Supply Chain
โดย บสย. จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ทั้งด้านการค้ำประกันสินเชื่อ การให้ความรู้ทางการเงิน จับคู่ธุรกิจ พร้อมเป็นหลักประกัน ยกระดับอุตสาหกรรมยางทั้ง Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยที่ผ่านมาได้ช่วยค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในอุตสาหกรรมยาง มากกว่า 9,600 ราย วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวมกว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้อีกกว่า 500 ราย วงเงินค้ำประกันรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการสามารถลงทะเบียน LINE TCG First 24 ชั่วโมง
ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราและสินค้ายางพารา เป็นอันดับ 1 ของโลก และมีเกษตรกรชาวสวนยางกว่า 6 ล้านคน มีพื้นที่สวนยางกว่า 18 ล้านไร่ และมีมูลค่าการส่งออกยาง สูงถึง 680,000 ล้านบาท โดยความร่วมมือดังกล่าวสอดรับกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม Bio Circular และ Green และ Carbon Credit ในอนาคตอันใกล้
EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง จับมือสภาหอฯ สรท. กยท. และ บสย. เดินเครื่องโครงการยกระดับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพารา
EXIM BANK ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เปิดตัวโครงการความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สรท. กยท. และ บสย. เพื่อบูรณาการการยกระดับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เปิดตัวโครงการความร่วมมือกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (สภาหอฯ) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อบูรณาการการยกระดับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
โดยเริ่มต้นนำร่องกับนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง ภายหลังพิธีลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ระหว่าง นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอฯ ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธาน สรท. นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. และ ดร.หลักชัย กิตติพล ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหารนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนาม พร้อมด้วยนายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นสักขีพยาน ณ เทศบาลเมืองบ้านสวน อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
นับเป็นการสานพลังครั้งสำคัญระหว่างสถาบันการเงินของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังกับภาคอุตสาหกรรมไทยเพื่อแก้ปัญหาและยกระดับการพัฒนาสินค้าเกษตร ได้แก่ ยางพารา นำโดยสภาหอฯ และ สรท. กยท. และนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก เพื่อนำร่องยกระดับการพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้ายางพารา ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ ทั้งในมิติของการสร้างงาน เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีเกษตรกรและผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องมากถึง 1.7 ล้านครัวเรือน หรือกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ
และในมิติของการสร้างรายได้เข้าประเทศ จากการส่งออกยางพาราแปรรูปขั้นต้นและการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ยางพาราในระดับปลายน้ำรวมเป็นมูลค่าส่งออกสูงถึงกว่าปีละ 6.8 แสนล้านบาท โดยไทยนับเป็นผู้ส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์รายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก อีกทั้งอุตสาหกรรมยางพารา โดยเฉพาะการผลิตในระดับต้นน้ำก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศจำนวนมหาศาล เนื่องจากมีการใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ (Local Content) สูงถึงกว่า 90%
จึงกล่าวได้ว่า ยางพาราเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยสร้างและกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของยางพาราและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง อันจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินและขยายธุรกรรมในอุตสาหกรรมให้ขยายตัว และมีส่วนสนับสนุนการเติบโตและการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวของภาคการผลิตและส่งออกยางพาราของประเทศไทยต่อไป
โดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น สะดวกขึ้นในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยางพาราและที่เกี่ยวเนื่องให้สามารถเริ่มต้น เริ่มปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวหรือขยายธุรกิจเชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลกได้ รวมถึงให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการอย่างครบวงจรท่ามกลางโอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของโลกและประเทศไทย
ความร่วมมือในภาครัฐบาลคู่ขนานกับภาคเอกชนในครั้งนี้จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในมิติต่างๆ ทั้งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โอกาสทางธุรกิจ และเงินทุนของผู้ประกอบการทั้งระดับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งเป็นคนตัวเล็กในโลกธุรกิจ
โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจฐานรากและต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืน