WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TOAทีโอเอ ประกาศลั่นทุ่งขอขึ้นเบอร์หนึ่งตลาดสีอาเซียน

    บ้านเมือง : สีทีโอเอ ประกาศลั่นทุ่ง ขอเป็นเบอร์หนึ่งอาเซียน เผยกลยุทธ์เด็ด 4 แนวทางสร้างฝันเป็นจริง พร้อมแจงผลประกอบการปี 57 กวาด 16,600 ล้านบาท เติบโต 5% พร้อมเผยกลยุทธ์ปี 58 หวังโตเพิ่ม 12% รักษาแชมป์แบรนด์สีเบอร์หนึ่งในใจผู้บริโภค เตรียมพร้อมทุกศักยภาพ เดินหน้าเต็มกำลังบุกตลาดสีอาเซียน เปิด 2 โรงงานใหม่ในกัมพูชาและอินโดนีเซีย มั่นใจตลาดอาเซียนเติบโต

   นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ ทีโอเอ จากนี้ไปคือการเป็นเบอร์ 1 ทั้งในด้านยอดขายและแบรนด์ในตลาดอาเซียน ทั้งนี้ ตลาดสีทาอาคารในกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่ารวมประมาณ 54,000 ล้านบาท เฉพาะใน9ประเทศไม่นับรวมประเทศไทยตลาดสีทาอาคารมีมูลค่ารวมที่ 32,000 ล้านบาท โดยในปัจจุบัน ทีโอเอ มียอดขายจากกลุ่มตลาดอาเซียนที่ 1,200 ล้านบาท และในปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายจากตลาดอาเซี่ยน 2,400 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตของยอดขายในตลาดอาเซียนจากปีก่อนหน้าเพิ่มเป็น 50% ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ บริษัทมียอดขายรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 18,600 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 12%

   ทั้งนี้ ตลาดสีทาอาคารในประเทศมีมูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท ในปีที่แล้ว ทีโอเอ สามารถสร้างยอดขายรวมทั้งสิ้น 15,400 ล้านบาท หรือมีแชร์ตลาดอยู่มากกว่า 60% โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายในประเทศเติบโตที่ 8% หรือโตจากปีก่อน 3% หรือมียอดขายรวมในประเทศที่ 16,200 ล้านบาท

   "การจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอาเซียน และก้าวขึ้นไปเป็น เบอร์ 7-8 ในตลาดเอเชีย ทำให้ ทีโอเอ ต้องมีการขยายฐานตลาดในประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น และเพื่อให้ก้าวไปถึงเป้าหมายดังกล่าว ทีโอเอ จึงนำ 4 กลยุทธ์สำคัญเข้ามาช่วยในการขยายและเปิดตลาดๆ

  ในประเทศใหม่ ประกอบด้วย 1.การสร้างแบรนด์ 2.การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนาด้านคุณภาพสินค้า 3.การเพิ่มหรือขยายช่องทางการจำหน่าย และ 4.การพัฒนาบุคลากรในใหม่ๆ ในตลาดที่ ทีโอเอ ขยายตลาดหรือเข้าไปเปิดตลาด"

   โดยที่ผ่านมา ทีโอเอ มีการตั้งโรงงานผลิตสีในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว 5 ประเทศ คือ มาเลเซีย เวียดนาม ลาว พม่า และไทย แต่การขยายตลาด และในช่วง 1-2 ปีนี้ยังมีแผนจะตั้งฐานการผลิตเพิ่มในประเทศ กัมพูชา อินโดนีเชีย ฟิลิปีนส์ และบรูไน โดยในส่วนของการตั้งโรงานใน กัมพูชา นั้นขณะนี้มีที่ดินในการตั้งโรงงานผลิตแล้วในกรุงพนมเปญบนพื้นที่ 6.25 ไร่ ซึ่งจะใช้เม็ดเงินลงทุนเฉพาะการติดตั้งเครื่องจักร 8 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่วนการตั้งโรงงานในอินโดนีเซียนั้นจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาทในการติดตั้งเครื่องจักร ส่วนในประเทศ ฟิลิปปินส์ และบรูไน อยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมความพร้อม

  นายพงษ์เชิด กล่าวว่า การวางยุทธศาสตร์ด้านการเปิดตลาดในประเทศอาเซียนนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ เนื่องจากต้องมีความพร้อมในด้านระบบการขนส่ง หรือ โลจิสติกส์ ซึ่ง ทีโอเอ วางเป้าหมายว่าจะสร้างให้เกิดฮับทีโอเอ หรือศูนย์ผลิตกระจายสินค้าในภูมิภาคอาเซียนให้เกิดขึ้นภายใน 10 ปีจากนี้ไป ขณะเดียวกันก็จะมีการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ เพื่อให้เกิดการยอมรับในตัวสินค้าของบริษัท ต่อประชากรในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะความพร้อมและการเปิดรับสินค้าของประชาชนในกลุ่มประเทศอาเซียน

  ปัญหาของการเข้าไปเปิดตลาดในแต่ละประเทศ คือ ความพร้อมของ ผู้บริโภคในแต่ละประเทศ และการกระจายสินค้า เนื่องจากสินค้า ทีโอเอ เป็นกลุ่มสินค้าพรีเมียม ในการเข้าไปทำตลาดในประเทศที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเท่าๆ กัน หรือสูงกว่าจะทำได้ไม่ยากเพราะลูกค้ามีกำลังซื้อและความพร้อมทั้งยอมรับในแบรนด์ของ ทีโอเอ แต่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า จะค่อนข้างต้องใช้เวลา เพราะแม้ว่าแบรนด์ ทีโอเอ จะเป็นที่ยอมรับ แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศที่มีกำลังซื้อต่ำ จะทำให้ยากต่อการเข้าถึง เพราะลูกค้ายังไม่พร้อมจะรับต่อสินค้าในระดับพรีเมียม จึงต้องใช้เวลาในการสร้างตลาด

  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในบางประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจที่เล็ก และมีอัตราการขยายตัวต่ำกว่าประเทศไทย ซึ่งลูกค้าในประเทศนั้นจะมีกำลังซื้อไม่มากนัก จะเป็นตลาดที่ยากต่อการเปิดรับสินค้าของบริษัท แต่ในการเปิดตลาดนั้น ทีโอเอ จะไม่นำสินค้าราคาต่ำหรือเปิดเซกเมนท์ สินค้าที่มีราคาถูกเข้าไปเปิดตลาด แต่จะนำสินค้าในกลุ่มสีระดับพรีเมียมเข้าไปทำตลาดก่อน เพราะการนำสินค้าในตลาดล่างไปเปิดตลาดจะทำให้ยากต่อการขยายตลาดไปสู่เซกเมนท์ระดับบน

  "ตรงกันข้ามหากเรานำสินค้าพรีเมียมไปเปิดตลาด เมื่อสินค้าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคแล้ว การขยายตลาดลงมาสู่เซกเมนท์ที่ต่ำกว่าจะทำได้ง่ายเพราะสินค้าและแบรนด์เป็นที่ยอมรับของลูกค้าแล้ว นอกจากนี้ การนำสินค้าในเซกเมนท์ระดับล่างไปเปิดตลาดยังจะส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการในพื้นที่มีการทุ่มตลาด หรือเปิดสงครามราคาขึ้น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการทำตลาดของบริษัท เพราะมีต้นทุนที่ต่างกัน และยังเสียเปรียบด้านระบบการกระจายสินค้าต่อผู้ประกอบการในพื้นที่"

   ส่วนการตั้งโรงงาน หรือฐานการผลิต เพื่อให้เกิดความพร้อมในการกระจายสินค้านั้น แม้ว่า ทีโอเอ จะสร้างฮับโลจิสติกส์สำเร็จตามเป้ามายที่วางไว้ตามแผน ซึ่งอาจจะทำให้มองว่าในอนาคตไม่จำเป็นที่จะต้องมีการตั้งโรงงานหรือฐานการผลิตในทุกประเทศ เพราะมีระบบการกระจายสินค้าครอบคลุมแล้ว แต่ในความจริง ความจำเป็นในการตั้งฐานผลิตนั้นยังจำเป็นเพราะในเรื่องของต้นทุนการผลิตนั้น ในพื้นที่ กับการขนส่งสินค้าจากจุดกระจายสินค้านั้นมีความต่างกันอยู่มาก เพราะสินค้าประเทศสีทาอาคารนั้น เป็นสินค้าที่มีส่วนประกอบของน้ำเป็นหลัก จึงทำให้ต้นทุนในการขนส่งสูงไปด้วยเพราะน้ำมีน้ำหนักมาก

  นอกจากนี้ แผนงานในปี 58 ทีโอเอ ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ในการดำเนินงานกิจกรรมทางการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อมุ่งเน้นการสร้างตลาดในกลุ่มสินค้าสีปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาตรฐานระดับโลก ภายใต้แคมเปญ "Greenovation" เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าปลอดภัยของทีโอเอที่ได้รับความนิยม ได้แก่ สีซูเปอร์ชิลด์ สีทาภายนอก นาโนไทเทเนียม ทน สะท้อนร้อน ช่วยให้บ้านเย็น ชนะที่หนึ่งระดับโลก และ สีซูเปอร์ชิลด์ ดูราคลีน ออกซิเจน พลัส สีทาภายใน ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพ ด้วยมาตรฐานรับรองจาก 2 สถาบันระดับสากล เป็นต้น

ทีโอเอ ลุ้นรายได้พุ่ง 12%จ่อบุกตลาดกัมพูชา-อินโด

    ไทยโพสต์ : โฮจิมินห์ * ทีโอเอมองเศรษฐ กิจฟื้นตัว วางเป้ายอดขายปี 2558 ทะลุ 18,600 ล้านบาท มองตลาดอาเซียนสดใส ยอดขายเพิ่มต่อเนื่อง เล็งสร้างโรง งานใหม่ในประเทศกัมพูชา และอินโดนีเชีย ในช่วงไตร มาส 4 ปีนี้

    นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงเป้าหมายในปี 2558 ว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าสร้างยอดขายเติบโตให้ได้ 18,600 ล้านบาท หรือเติบโต 12% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 16,600 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นภายในประเทศ 16,200 ล้านบาท เติบโต 8% และรายได้จากตลาดอาเซียนอีก 2,400 ล้านบาท

  "คาดการณ์ว่า ปีนี้เศรษฐ กิจจะดีขึ้น อันเนื่องมาจากการ ลงทุนภาครัฐบาล ในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินในระบบ ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจและกล้าที่จะลงทุนและส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยภาพรวมทีโอเอยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 12% ต่อปี และยังเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดสีทาบ้านในไทย และอาเซียน" นายพงษ์เชิดกล่าว

   พร้อมกันนี้ ทีโอเอจะพยายามโฟกัสไปยังตลาดกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น หลังพบโอกาสในการทำธุรกิจมากขึ้น หลังยอดขายในปี 2557 ได้ถึง 1,600 ล้านบาท และในปีนี้ก็คาดหวังจะเติบโต ประมาณ 50% โดยตลาดที่เริ่มเห็นผลชัดเจน คือ เวียดนาม ที่ตอนนี้มีมาร์เก็ตแชร์ติดอันดับ 3 ในกลุ่มสินค้าสีทาอาคารของเวียดนาม และสร้างยอดขายได้ถึง 1,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายในประเทศลาว และพม่า ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  "ทีโอเอ เชื่อมั่นว่าตลาดสีทาอาคารในอาเซียน จะเติบ โตได้สูงถึง 48% อันเนื่องมาจากปัจจัยบวกที่สามารถขยายฐานการผลิตที่รองรับการขยายตัวได้อย่างเต็มที่ใน 5 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเชีย พม่า และ ลาว โดยตั้งเป้าจะเปิดโรงงานใหม่อีก 2 แห่ง ในประเทศกัมพูชา และอินโดนีเชีย ในช่วงไตรมาสสุด ท้ายของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ฐานการผลิตของทีโอเอครอบคลุมในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น"นายพงษ์เชิดกล่าว.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!