WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8857 ข่าวสดรายวัน


'มส.'ถกอีก พุทธอิสระนำม็อบบุก 
หลังแจ้งป.จับ 2 กก.มหาเถรฯ พระนับถอยหลังเคลื่อนใหญ่ เตือน'เทียนฉาย'ฟังเสียงสงฆ์
      'พุทธอิสระ' เดินสายอีก บุกยื่นผู้ตรวจการแผ่นดินสอบอดีตอสส.กรณีสั่งไม่ฟ้องธัมมชโย ก่อนจะร่อนไปกองปราบฯแจ้งจับรูด 2 กรรมการมหาเถรสมาคม-โฆษกสำนักพุทธฯ ลั่นบุกที่ประชุมมหาเถรสมาคมวันนี้ ขู่ถ้าหากยังชี้ว่าธัมมชโยไม่ผิดจะเป็นมหากาพย์แน่ พร้อมจัดสังฆทานถวายอีก ด้านเจ้าคุณพระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีมหาจุฬาฯยืนยันคณะสงฆ์ทั่วประเทศไม่เอากก.ปฏิรูปพุทธศาสนาฯชุดไพบูลย์ นิติตะวัน ชี้ทำคณะสงฆ์แตกแยก วอนฟังเสียงของพระบ้าง แต่ถ้ายังดึงดันดำเนินการต่อ คณะสงฆ์ทั่วประเทศก็พร้อมออกมาเคลื่อนไหวกดดันแน่นอน เผยนับเวลารอเส้นตาย 15 วันจนกว่าจะได้รับคำตอบ 
       เมื่อวันที่ 26 ก.พ. พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการยื่นหนังสื่อต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ รวมถึงนายเทียนฉาย กีรนันทน์ ประธาน สปช. ให้ยกเลิกคำสั่ง สปช.เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ว่า หลังจากยื่นหนังสือไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ. จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ทั้งจากรัฐบาลและ สปช. สำหรับทางคณะสงฆ์ ในวันเดียวกันนี้มีการพูดคุยกันในช่วงบ่าย 1 รอบ และช่วงค่ำวันเดียวกันนี้ จะประชุมประเมินสถานการณ์เพื่อกำหนดทิศทางต่อไป 
     รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ เปิดเผยว่าอย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าข้อเรียกร้องที่ยื่นต่อนายกรัฐมนตรี และประธาน สปช. คือความต้องการของคณะสงฆ์ หากท่านว่าไม่ใช่ จะหาวิธีการใดเพื่อที่จะรับฟังความคิดเห็นของคณะสงฆ์ทั้งประเทศ เราก็ยินดี นอกจากนี้ ยืนยันว่าทั้งหมดที่เราทำคือการหาทางออกให้รัฐบาลในการบริการราชการดูแลบ้านเมือง เพราะคณะกรรมการชุดนี้เพิ่งตั้งมาได้ไม่นานก็สร้างความแตกแยก และยิ่งจะสร้างปัญหาเป็นภาระต่อไปในอนาคต เนื่องจากไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่พระสงฆ์อย่างกว้างขวางแน่นอน ดังนั้น ต้องยกเลิกคณะกรรมการดังกล่าวภายใน 15 วัน ตามที่ระบุ ถ้ายังไม่มีคำตอบใดๆ แน่นอนว่าพระสงฆ์จะรวมตัวกันจำนวนมาก เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้ประสบความสำเร็จ
    ส่วนรูปแบบการเคลื่อนไหวที่จะมีการรวมตัวของสงฆ์จำนวนมาก จะไปขัดหรือละเมิดกฎอัยการศึกหรือไม่นั้น พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่าขอให้พิจารณาดูกรณีที่พระพุทธอิสระไปที่วัดปากน้ำซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นมีคนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และเหมือนจะมีพระเพียง รูปเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นประชาชนทั้งหมด ดังนั้น การเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์ครั้งนี้ รัฐบาลอาจจะออกมาจัดการอะไรเราก็ไม่กังวล เพราะเราทำเรื่องศาสนา ไม่ใช่การเมือง เรามาสวดมนต์อธิษฐานให้นายกรัฐมนตรี รัฐบาลและสปช. กลับมาทบทวนในสิ่งที่เรายืนยันไป 
      "ที่ใครต่อใครในรัฐบาลพูดว่า เรื่องนี้ไม่มีใครก้าวก่ายได้ ยืนยันว่านายกฯ มีอำนาจ เด็ดขาด สามารถพูดคุยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาได้ เพราะขณะนี้มันเกิดความแตกแยก ถ้าเห็นปัญหาก็ควรพิจารณาสิ่งที่เราเสนอไป เพราะเป็นทางออกที่เดินหน้าไปได้ เปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามาปรึกษาหารือหรือดำเนินการร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คณะสงฆ์ได้กำหนดทิศทางการเคลื่อน ไหว ซึ่งคงบอกไม่ได้ เราคงไม่อยู่เฉยๆ นั่งนับวันจนครบ 15 วัน คงมีวิธีการอะไรมาเรื่อยๆ ในการทวงถามต่อกรณีดังกล่าว" รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยกล่าว
      พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวอีกว่า กรณีที่ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะยังไม่เห็นข่าว และไม่เห็นเหตุผลว่าจะยุบไปทำไม เพราะได้มีการตั้งขึ้นมาแล้ว" นั้นว่าเป็นการเพิ่มไฟ เพิ่มเชื้อให้เกิดความแตกแยกในวงการคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนามากขึ้น เพราะเราได้อธิบายถึงความจำเป็น แต่ท่านพูดสวนทางอย่างสิ้นเชิง หากวันหน้ามีปัญหาเกิดขึ้นจะรับผิดชอบได้หรือไม่ สิ่งที่ประธาน สปช.พูด เป็นเรื่องน่าคิด เพราะประธาน สปช. เป็นตำแหน่งสำคัญที่จะนำความปรองดองมาสู่ประเทศ และเรื่องการขอให้ยกเลิกคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนานี้ก็เป็นข่าวใหญ่โต แต่ท่านบอกว่าไม่เห็นข่าว เป็นนักวิชาการอย่าพูดเหมือนนักการเมือง ปัญหานี้เป็นความอื้ออึงในวงการคณะสงฆ์มามากแล้ว ที่ท่านบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องยกเลิก ท่านต้องกลับไปดูความจำเป็นที่เรามองเห็น แต่ท่านไม่เห็น ช่วยใช้ดุลพินิจใคร่ครวญเหตุผลทั้งหมดที่เรายื่นไป
     "คณะสงฆ์คาดหวังกับทางรัฐบาล เพราะอย่างน้อยต้องรับผิดชอบในการบริหาร น่าจะเห็นภาพรวมมากกว่า และน่าจะหาทางลงของปัญหาได้โดยไม่คิดว่าจะต้องดันให้เดินหน้าต่อไป เพราะไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งยังเหมือนเป็นการท้าทายคณะสงฆ์โดยรวม และที่รัฐบาลบอกว่าตัวเองไม่มีอำนาจเพราะเป็นเรื่องของ สปช. ยืนยันว่า ทั้ง 3 ส่วน คือรัฐบาล สปช. และสนช. เป็นเรื่องเดียวกัน ประเทศนี้ไม่ได้แยกส่วน ขอให้พิจารณาด้วยเหตุด้วยผลเถิด" พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว
     เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พุทธอิสระหรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณีอัยการมี คำสั่งถอนฟ้องคดีธัมมชโยเมื่อปี 2549 
     พุทธอิสระ กล่าวว่า คดีดังกล่าวพนักงานอัยการชุดแรกมีคำสั่งฟ้องธัมมชโย ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์สินไปเป็นของตนโดยทุจริต แต่เมื่อศาลจะมีคำพิพากษาธัมมชโยได้โอนทรัพย์สินทั้งหมดคืนให้วัดพระธรรมกาย ซึ่งขณะนั้นมีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดขณะนั้น กลับมีคำสั่งให้พนักงานถอนฟ้องคดีดังกล่าว แต่พนักงานอัยการไม่ยอมถอนฟ้อง นายพชรจึงสั่งเปลี่ยนตัวพนักงานอัยการและให้ชุดใหม่ถอนฟ้องคดีดังกล่าว อ้างว่าธัมมชโยได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชแล้ว จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจเรียกสำนวนหลักฐานมาพิจารณาว่า การมีคำสั่งฟ้องของอัยการชุดแรกมีเหตุผลอย่างไร และการถอนฟ้องในอัยการชุดที่สองมีเหตุผลอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากในการพิจารณาของมหาเถรสมาคม (มส.) อ้างเหตุที่ไม่ดำเนินการกับธัมมชโยก็เพราะอัยการมีคำสั่งถอนฟ้อง 
     พุทธอิสระ กล่าวว่า หลังจากนี้จะไปแจ้งความที่กองปราบปราม เพราะขณะนี้มส. ถือกฎหมายใหญ่กว่าพระธรรมวินัย ทั้งที่ความจริงพระธรรมวินัยใหญ่ยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ เพราะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ในวันที่ 27 ก.พ.ก็จะติดตามการประชุมมส. ต่อกรณีดังกล่าว ถ้าหากที่ประชุมมส.เอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ธัมมชโยผิด พุทธอิสระก็จบแค่นี้ แต่ถ้าเอาธรรมกายเป็นใหญ่ก็จะเป็นยาวเป็นมหากาพย์ คงจะจัดสังฆทานชุดใหญ่ให้มส. พุทธอิสระจะไปเยี่ยมทุกวัน แต่ถ้าการประชุม มส. ไม่มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้า ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพิกเฉยไม่ปฏิบัติ เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผิดประมวลกฎหมายอาญา 157 
     "ที่ผ่านมส.ไม่เคยทำอะไรที่โปร่งใส อย่างกรณีเจ้าคุณเสนาะ สตง.ชี้มูลว่ามีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ 67 ล้านบาท มีการเอาผิดในทางกฎหมาย แต่ในทางพระธรรมวินัยต้องถือว่าปาราชิก แต่มส.ก็กลับทำแค่ปรับลดตำแหน่งจนทุกวันนี้ก็ยัง นายเสนาะก็ยังเป็นพระ ดังนั้นที่มาวันนี้จึงอยากทำให้เห็นว่าวงการสงฆ์ต้องยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ เมื่อมีพระลิขิตแล้วว่าพระธัมมชโยเป็นปาราชิก มส.ต้องดำเนินการ ไม่ใช่มาอ้างว่ายึดคำสั่งอัยการเป็นใหญ่"
      ด้านนายรักษเกชากล่าวว่า จะรีบนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาผู้ตรวจการแผ่นดินโดยเร็ว ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจในการขอดูเอกสารหลักฐานกรณีที่อัยการมีคำสั่งฟ้องและถอนฟ้องในภายหลัง ซึ่งหากไม่ได้รับความร่วมมือก็มีโทษตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนเมื่อพิจารณาหลักฐานแล้ว สามารถสั่งอัยการให้ฟ้องคดีได้หรือไม่คงต้องดูรายละเอียดก่อน 
      เมื่อเวลา 14.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม พระสุวิทย์เดินทางเข้าพบร.ต.ท.ปรีชา ศรีอุดม พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับพระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระพรหมเมธี (จำนง ธัมมจารี) กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม และนายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในความผิดฐานใส่ความคณะสงฆ์ หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือแตกแยก ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 44 (ตรี) และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ก.พ. พระพรหมเมธี และนายสมชาย แถลงข่าวว่า ในที่ประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) มีมติว่า ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ต้องปาราชิก ก่อนที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะออกมาแถลงว่า มส.ไม่เคยมีการลงมติว่าธัมมชโยไม่ต้องปาราชิก โดยนำเอกสารและเทปเสียงมอบไว้เป็นหลักฐาน 
      "หลังจากนั้นฉันได้ไปสอบถามพระพรหมโมลี ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ก็ให้คำตอบยืนยันว่ามีการลงมติไปแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งฉันมีหลักฐานทั้งเอกสาร ทั้งเทปเสียง แต่เมื่อมหาเถรสมาคมมากลับลำว่าไม่ได้ลงมติ งานนี้ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ ซึ่งก็คือคนที่ออกมาให้สัมภาษณ์และมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่าลงมติไปแล้ว และคนที่คุยกับฉัน คือพระพรหมโมลี ที่ยืนยันกับฉันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีการลงมติไปแล้ว ทั้ง 3 ท่านนี้เป็นบุคคลที่ถือว่าผิดอาญาในฐานะที่ตัวเองเป็น เจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย ตามมาตรา 157 และละเมิดกฎหมายมหาเถรสมาคม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี 2005 ว่าด้วยเรื่องการใส่ร้ายคณะสงฆ์และมหาเถรสมาคม จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับบุคคลทั้ง 3 ท่านซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมด ว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง ไม่ใช่เงียบหายไปแล้วก็ทำให้มหาเถรสมาคม กลายเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม" หลวงปู่พุทธอิสระกล่าว
    ด้านร.ต.ท.ปรีชา กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบ แต่กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม จึงส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.รับไว้ดำเนินการ ก่อนจะสอบปากคำผู้ร้อง และตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
     ที่กระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัด ยธ. รับผิดชอบด้านภารกิจปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ เปิดเผยหลังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดตู้เซฟที่ยึดได้จากบริษัท เอส.ดับบลิว.โฮลดิ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด พบโฉนดที่ดิน และหลักฐานที่เชื่อมโยงกับคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัดว่า ล่าสุดได้เรียก
     พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล หัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดตรวจสอบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างสหกรณ์คลองจั่นกับวัดพระธรรมกาย เข้าพบเพื่อวางแนวทางการสอบสวนขยายผล โดยเฉพาะเส้นทางการถ่ายโอนโฉนดที่ดินจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไปยังบุคคลอื่น ก่อนหน้า ปปง. จะเข้าตรวจค้นสหกรณ์เมื่อปี 2556 นอกจากนี้ ต้องสอบสวนถึงความสัมพันธ์และเชื่อมโยงระหว่างสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย และสหกรณ์ฯ คลองจั่นและวัดพระธรรมกาย เนื่องจากข้อมูลในชั้นสืบสวนพบความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างกันอย่างชัดเจน
     รายงานข่าวจากชุดสืบสวนดีเอสไอ เปิดเผยว่า สหกรณ์ฯ คลองจั่น และสหกรณ์ฯ มงคลเศรษฐี มีนายศุภชัย เป็นผู้บริหารทั้งสองแห่ง แต่สหกรณ์ฯ คลองจั่น เปิดไว้เพื่อระดมฝากเงิน ให้เงินปันผลสูงกว่าดอกเบี้ยสถาบันการเงิน จากนั้น สหกรณ์ฯ คลองจั่น จะนำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในสหกรณ์ฯ มงคลเศรษฐี ซึ่งจะนำเงินมาปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำอีกต่อหนึ่ง โดยพบว่า สหกรณ์ฯ มงคลเศรษฐี มีวงเงินปล่อยกู้ให้กับลูกศิษย์วัดเพื่อทำบุญกับวัดพระธรรมกาย ทั้งนี้ในการตรวจสอบงบดุลของสหกรณ์ฯ มงคลเศรษฐี พบว่า มีการปล่อยกู้เพื่อการกุศลจริงให้กับลูกหนี้เกือบ 500 ราย เป็นเงินกว่า 230 ล้านบาท 
    รายงานข่าวเปิดเผยต่อว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบมีการสั่งจ่ายเช็คจากนายศุภชัยไปให้สหกรณ์ฯ มงคลเศรษฐี ระหว่างปี 2552-2555 จำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 46.5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบการโอนเงินให้พระหลายรูปในวัดพระธรรมกาย คือ พระธัมมชโย 225 ล้านบาท พระวิรัช 100 ล้านบาท พระปลัดวิจารณ์ 119 ล้านบาท พระมนตรี 100 ล้านบาท รวมถึงนายสถาพรจำนวน 127 ล้านบาท โดยนายสถาพรเคยบวชเป็นพระอยู่ที่วัดพระธรรมกายนานกว่า 20 ปี ขณะที่ข้อมูลในชั้นสืบสวนพบว่านายศุภชัยเคยมีตำแหน่งเป็นไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกายด้วย
      แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้มีการตั้งกรรมการสอบสวนหัวหน้าพนักงานสอบสวนสหกรณ์ฯ คลองจั่นชุดเดิม เกี่ยวกับประเด็นการประวิงคดีและการสั่งไม่ฟ้องนายจิรเดช วงเพียงกุล และนายวัฒน์ชานนท์ นวอิสรารักษ์ ที่มีชื่อรับโอนเงินจากศุภชัยรวมกว่า 2,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่ ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องบุคคลทั้งสอง อัยการตีกลับสำนวนให้สอบสวนเพิ่ม แต่ยังไม่มีความ คืบหน้า กระทั่งมีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนชุดใหม่
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมมหาเถรสมาคม วันศุกร์ที่ 27 ก.พ.2558 เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑล อ.ศาลายา จ.นครปฐม สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม จะมีการนำมติจากการประชุมวันที่ 20 ก.พ เข้ารับรองมติการประชุม รวมทั้งการแต่งตั้งคณะทำงานติดตามข่าวทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้คณะทำงานดังกล่าวเริ่มดำเนินการได้ทันที

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!