WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8767 ข่าวสดรายวัน


'บิ๊กตู่'พ้อ ถูกบี้-เลื่อนเลือกตั้ง 
แจง-รธน.ยังไม่ทันยกร่างเลย มติสนช.ไม่รับเพิ่มพยานจำนำ ตีตกคำร้องทีมทนายยิ่งลักษณ์ บลูมเบิร์กวิเคราะห์ 6 เดือนคสช.

     บิ๊กตู่กลับจากเยือนสปป.ลาว-เวียดนามฉุนสื่อจี้ถามเรื่องเลื่อนเลือกตั้ง พ้อทำงานมาเหนื่อยแทนที่จะให้กำลังใจ ลั่นทำงานมา 6 เดือนมากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาทำงาน 6 ปี ระบุรธน.ยังไม่ทันยกร่างเลย มติสนช.ไม่รับพยาน-หลักฐานคดียิ่งลักษณ์จำนำข้าวทั้งหมดที่ทนาย ความยื่นร้องขอเพิ่ม ด้าน"ปปช.วิชา"แจงมีอยู่ในสำนวนแล้ว เพียงแต่ป.ป.ช.ไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา ส่วนทีมทนายยังเชื่อมั่นว่าสนช. จะพิจารณาให้ความเป็นธรรม กลุ่มดาวดินเข้าให้ข้อมูลถูกคุกคาม-ละเมิดสิทธิมนุษยชนแก่สหประชาชาติ บลูมเบิร์กวิเคราะห์ 6 เดือนรัฐประหาร ผ่าโรดแม็ปคสช.

"แก้วสรร"โผล่จี้"บิ๊กตู่"ฟ้อง"ปู"

      เมื่อเวลา 11.05 น.วันที่ 28 พ.ย. ที่รัฐสภา นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ แกนนำกลุ่มไทยสปริง ยื่นหนังสือต่อนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 เพื่อให้สนช.เร่งรัดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ให้ดำเนินคดีความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีต นายกฯ โดยอ้างว่าก่อให้เกิดความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาทว่าคดีดังกล่าวมีอายุความ 2 ปี หากไม่ดำเนินการ ปล่อยให้คดีนี้ขาดอายุความ นายกฯถือว่ามีความผิด และต้องถูกป.ป.ช. ดำเนินการ พร้อมขอเขิญชวนประชาชนที่ไม่ต้องการให้รัฐสูญเงินจำนวนมหาศาล ร่วมลงชื่อผ่านเว็บ Change ภายในวันที่ 18 ธ.ค. จากนั้นตนจะนำรายชื่อทั้งหมด พร้อมจด หมายเปิดผนึกส่งถึงพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้เร่งดำเนินการกรณีนี้ 

      ด้านนายสุรชัยกล่าวว่า ตนจะนำเรื่องนี้เสนอต่อประธานสนช.เพื่อพิจารณาโดยเร็ว

ทนายความยื่นสนช.ขอเพิ่มพยาน

       ที่รัฐสภา นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมทีมทนาย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ(สนช.) กรณีขอเพิ่มพยานหลักฐานในคดีการถอดถอน.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ตนและคณะได้รับมอบหมายจากน.ส. ยิ่งลักษณ์ ให้มาชี้แจงต่อที่ประชุมสนช. ขอเพิ่มพยาน 72 รายการจากที่ยื่นขอเพิ่มพยานต่อสนช.ไปเมื่อวันที่ 21 พ.ย.นั้น ส่วนใหญ่เป็นมติครม.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต

นายนรวิชญ์กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้เดินทางมาด้วย เนื่องจากเป็นเพียงการขอพยานเพิ่มเติมเท่านั้น มั่นใจในพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ซึ่งเชื่อศักดิ์ศรีของสนช.ว่าหากพิจารณาข้อมูลทั้งหมดจะให้ความเป็น ธรรมกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ 

เมื่อถามว่าการขอเพิ่มพยานจะเหมือนกรณีนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ซึ่งที่ประชุมสนช.ไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมพยาน นายนรวิชญ์กล่าวว่า กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ แตกต่างจากนายนิคม เนื่องจากหลักฐานต่างๆ ยื่นให้ป.ป.ช.ไปแล้ว แต่ป.ป.ช.ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพิจารณา ส่วนที่มีนักวิชาการยื่นหนังสือถึงนายกฯให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอา ผิดกรณีทุจริตจำนำข้าวและให้รัฐบาลน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหายมูลค่า 5 แสนล้านบาทนั้น โดยหลักกฎหมายจะเอาผิดย้อนหลังไม่ได้อยู่แล้ว 

ยรรยงเปิดหนังสือ"ฟังชาวนาบ้าง"

วันเดียวกัน นายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ เปิดเผยภายในงานเปิดตัวหนังสือ "ฟังชาวนาบ้าง"ว่า รัฐบาลควรเร่งทำแผนระบายข้าวในสต๊อกอย่างเป็นระบบ เพราะยิ่งเก็บข้าวไว้ในสต๊อกนาน ยิ่งส่งผลต่อราคาข้าวในตลาด โดยวางแผนหมุนเวียนข้าวอย่างเหมาะสม เช่น ข้าวใหม่จะเป็นตลาดส่งออก ขณะที่ข้าวเก่านิยมบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลทำงานมา 7 เดือน ระบายข้าวได้แค่ 3 แสนตัน ซึ่งควรเร่งระบายข้าวอย่าง ต่อเนื่อง รัฐบาลชุดที่แล้วขายข้าวได้ต่อเนื่องทั้งขายผ่านตลาดเอเฟท และขายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลกับต่างประเทศ ทำให้ขายข้าวได้เดือนละกว่าล้านตัน

นายยรรยงกล่าวว่า สิ่งที่ต้องการฝากรัฐบาลคือ ให้ช่วยเหลือชาวนาอย่างเป็นธรรมและให้ชาวนาได้ประโยชน์สูงสุด อยากให้รัฐบาลชุดนี้มองนโยบายที่ผ่านมาอย่างเป็นธรรม เพราะหากมองว่าเป็นประชานิยมแล้วจะต้องตัดทิ้ง เกรงว่าจะตัดนโยบายที่เป็นประโยชน์ทิ้งไปหมด ส่วนนโยบายจำนำข้าว อย่ามองว่าเป็นโครงการที่ขาดทุน เพราะยังมีผลประโยชน์ต่อส่วนรวมที่ได้จากโครงการ เช่น ชาวนามีรายได้นำมาใช้หนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น สิ่งพวกนี้คิดเป็นตัวเงินไม่ได้ อีกทั้งโครงการอุดหนุนเกษตรกรของรัฐบาลจัดว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งไม่ควรคิดว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน

สนช.ประชุมถอดถอนยิ่งลักษณ์

ที่รัฐสภา ในการประชุม (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาวาระเรื่องด่วน เพื่อดำเนินกระบวน การถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ประกอบมาตรา 64 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 ตามการชี้มูลความผิดของป.ป.ช. จากกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยประกาศนโยบายต่อสภาว่าจะป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง แต่กลับปล่อยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยไม่ระงับยับยั้ง ทั้งที่สามารถตรากฎหมายยุติโครงการรับจำนำข้าวได้

นายพรเพชรชี้แจงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ โต้แย้งถึงข้อบังคับการประชุมสนช. หมวด 10 ว่าด้วยการถอดถอน ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและสนช.ไม่มีอำนาจถอดถอน ว่า สนช.มีอำนาจถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. จึงจำเป็นต้องตราข้อบังคับการประชุมที่ผ่านการลงมติเห็นชอบจากที่ประชุมสนช. และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ สนช.จึงดำเนินการตามกระบวนการถอดถอนได้ กำหนดให้วันแถลงเปิดสำนวนของ ป.ป.ช.ในฐานะผู้กล่าวหา และให้ผู้ถูกกล่าวหาได้แถลงคำคัดค้าน ในวันที่ 9 ม.ค. 2558 เวลา 10.00 น.

ทนายยื่นขอเพิ่มพยาน-หลักฐาน

จากนั้น พิจารณาคำขอเพิ่มเติมพิจารณาหลักฐานตามคำขอของผู้ถูกกล่าวหา โดยมีนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง และนายเอนก คำชุ่ม ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อขอเพิ่มหลักฐานเพิ่มเติม 72 รายการ 

นายนรวิชญ์ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า เชื่อว่าคุณธรรม ความรู้ความสามารถของสมาชิกสนช. จะให้ความเป็นธรรม ต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ผ่านมาเราพยายามเสนอข้อเท็จจริงต่อป.ป.ช.มาตลอด ทั้งการขอเพิ่มเติมพยานบุคคล 18 ปาก แต่ได้เพียง 6 ปาก หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าข้อกล่าวหาจากป.ป.ช.กว้างมาก โดยมองว่าโครงการรับจำนำข้าวคือการทุจริตเชิงนโยบาย แต่คำวินิจฉัยของป.ป.ช. ส่วนที่ 2 นั้นมีเพียง 4 หน้า ทั้งที่ข้อกล่าวหานี้มีต่ออดีตนายกฯและเป็นข้อกล่าวหาที่ใหญ่ และป.ป.ช.ไม่ได้ระบุว่าพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวหานั้นฟังขึ้นหรือไม่ หักล้างได้หรือไม่

นายนรวิชญ์กล่าวว่าพยานและเอกสาร ที่ขอเพิ่มเติม จึงเป็นเอกสารที่เคยเสนอ ป.ป.ช.เพิ่มเติมในชั้นไต่สวนแล้ว แต่ไม่ได้รับอนุญาต พอมาถึงชั้นการพิจารณาของ สนช. ทีมทนายจึงจำเป็นต้องขอเพิ่มเติม เพราะมองว่าการพิจารณาของ สนช.ไม่อาจจะยึด สำนวนของป.ป.ช. เป็นหลักได้ ซึ่งหลายรายการอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช.แล้ว แต่ป.ป.ช.ไม่หยิบยกมาวินิจฉัยให้เป็นคุณต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์เลย 

วิชาค้าน-อ้างอยู่ในสำนวนแล้ว 

ส่วนฝั่งป.ป.ช.ในฐานะผู้กล่าวหา มีนายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นตัวแทน โดยชี้แจงว่าเอกสารที่ผู้ถูกร้องขอเพิ่มเติม ในรายการที่ 1-25, 31, 40, และ 72 รวม 28 รายการนั้น เคยยื่นต่อป.ป.ช.แล้วโดยอ้างว่าไม่ถูกนำไปพิจารณา ซึ่งขอชี้แจงว่า หลักฐานดังกล่าวอยู่ในสำนวน แต่กระบวนการวินิจฉัยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรรมการป.ป.ช.ว่าจะหยิบพยานหลักฐานใดมาพิจารณาก็ได้ มีเพียงพยานหลักฐานรายการที่ 26-30 ที่เป็นกลุ่มพยานและเอกสารคำสั่งคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว, 32-39 ที่เป็นกลุ่มพยานและเอกสารสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และ 41-71 ที่เป็นกลุ่มพยานและเอกสารรายงานการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการจำนำข้าว รวม 44 รายการนั้น ยังไม่ได้ยื่นเพิ่มเติมเข้ามาทั้งที่ป.ป.ช.เปิดโอกาสให้ยื่นแล้ว แต่ทนายน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ยอมนำมาเสนอต่อป.ป.ช. 

"ตลอดการทำงานในคดีนี้ ป.ป.ช.ถูกปิดล้อม มีการใช้อาวุธสงครามยิงเข้ามาในห้องทำงาน ต้องย้ายที่ทำงาน ผมในฐานะผู้รับผิดชอบต้องอาศัยเซฟเฮาส์ เปลี่ยนรถที่เคยนั่งแม้แต่ภรรยาและครอบครัวก็ไม่รู้" นายวิชากล่าว

นายนรวิชญ์โต้แย้งกลับว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง ไม่มีนิสัยก้าวร้าวที่จะคุกคามใครได้ ส่วนที่ใครไปคุกคามป.ป.ช.นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็ว่ากันต่อไป และขณะนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มีอำนาจบารมีต้องอยู่ในเซฟเฮาส์เช่นกัน ส่วนพยานและเอกสารที่ป.ป.ช.มีแล้ว เราติดใจในประเด็นว่าทำไมจึงไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของป.ป.ช. จึงอยากให้นำเอกสารเหล่านั้นมาพิจารณาด้วย

ลงมติไม่รับไว้พิจารณาทั้งหมด

หลังอภิปรายอย่างกว้างขวาง นายพรเพชร จึงเสนอลงมติว่าจะอนุญาตให้นำเอกสาร ทั้ง 28 รายการที่อยู่ในสำนวนของป.ป.ช. มาพิจารณาในชั้น สนช.หรือไม่ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบไม่ให้นำมาพิจารณา 165 ต่อ 15 คะแนน จากนั้นที่ประชุมจึงลงมติไม่รับพยานหลักฐานเพิ่มเติมในรายการ 26-30 ด้วยคะแนน 122 ต่อ 63 และในรายการที่ 32-39 และ41-71 ด้วยคะแนน 148 ต่อ 31 

นายพรเพชร แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า หากสมาชิกต้องการยื่นข้อซักถามต่อกรณีถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้ยื่นคำถามได้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.-8 ม.ค. 58 ก่อนสั่งปิดการประชุมในเวลา 12.40 น.

จากนั้นเวลา 13.00 น. นายนรวิชญ์ให้สัมภาษณ์ว่า การชี้แจงขอเพิ่มพยานหลักฐานของทีมทนายนั้น ทำได้ดีที่สุดแล้ว แม้ที่ประชุมจะไม่อนุญาต แต่ถือว่าที่ประชุมรับทราบว่ามีพยานหลักฐานทั้งหมดอยู่ในสำนวน เพียงแต่ป.ป.ช.ไม่นำขึ้นมาพิจารณาเท่านั้น เห็นได้จากนายพรเพชร ระบุว่าเมื่อเอกสารอยู่ในสำนวนของป.ป.ช.แล้ว สนช. ก็ยืนยันว่าจะนำมาพิจารณาแน่นอน ซึ่งมั่นใจว่าจะชนะแน่นอน 

นายนรวิชญ์กล่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะชี้แจงด้วยตัวเองในวันที่ 9 ม.ค.2558 หรือไม่ ต้องหารือกันอีกครั้ง ทั้งนี้ มีประเด็นเรื่องข้อบังคับการประชุมสนช. ข้อที่ 155 ระบุชัดเจนว่าถ้าเป็นสำนวนที่ป.ป.ช.ยังไม่หยิบขึ้นมาพิจารณา ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญชี้ให้เห็นว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ผู้ถูกร้องสามารถยื่นต่อที่ประชุมเพิ่มเติมได้ แต่เมื่อที่ประชุมมีมติ ดังกล่าว ทีมทนายก็ยอมรับได้

"อ๋อย"วิจารณ์ 6 เดือนรัฐประหาร

วันเดียวกัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงการทำงานของคสช.และรัฐบาลครบ 6 เดือนว่า วิจารณ์ยาก เพราะเวลาผ่านไปไม่นานผลงานจึงยังไม่ชัดเจน และไม่มีการทำสัญญาประชาคม ซึ่งคสช.และรัฐบาลประกาศจะทำหลายอย่าง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีทั้งเรื่องธรรมดาจนถึงเรื่องซับซ้อนที่ใช้เวลานาน ส่วนการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ถือว่าอยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะเมื่อนักธุรกิจพูดว่ายังมีการคอร์รัปชั่นในอัตราที่สูงมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งอดีตนายกฯคนหนึ่งระบุว่าได้ยินเรื่องคอร์รัป ชั่นเช่นกัน ดังนั้น จึงควรติดตามและให้ความสำคัญการแก้ปัญหา

นายจาตุรนต์กล่าวว่า หลังจากคสช.ยึด อำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์และประกาศกฎอัยการศึก ทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองที่เคยวุ่นวายยุติลง หากมองผิวเผินจะเห็นว่าปัญหาขัดแย้งได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่หากวิเคราะห์ต้นเหตุขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายปี จะพบว่าความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมยังไม่ได้รับการแก้ไข และถูกกลบไว้ โดยมีแนวโน้มที่จะขัดแย้งรุนแรงเพิ่มขึ้น อีกทั้งการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นก็เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปและการร่างรัฐธรรมนูญอย่างมาก จนยากที่จะเกิดการ ปฏิรูปจริงๆ หรือรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิป ไตย ทำให้กระบวนการแก้ปัญหาขัดแย้งและสร้างปรองดองก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการพูดถึงการลดบทบาทของพรรคและนักการเมือง หรือต้องการจัดการกับบางพรรค นักการเมืองบางคนหรือบางครอบครัว ซึ่งจะมีส่วนทำให้สังคมมีความขัดแย้งมากขึ้น 

"6 เดือนที่ผ่านมายังอธิบายไม่ได้ว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไรและจะก้าวสู่ความเป็นนิติรัฐและยึดหลักนิติธรรมได้อย่างไร ถ้าประเมินผลงานของ คสช.ว่าสำเร็จหรือไม่ ตามข้ออ้างการยึดอำนาจคือเข้ามาแก้ปัญหาขัดแย้งแล้ว ต้องบอกว่ามองผิวเผินเหมือนจะสำเร็จ แต่หากวิเคราะห์ให้ดี ต้องบอกว่าหากยังเดินหน้าต่อไปอย่างนี้จะเสียของ จึงฝากความเห็นเหล่านี้ถึงกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย" นายจาตุรนต์ ระบุ

กลุ่มดาวดินเข้าให้ข้อมูลยูเอ็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมตัวนักศึกษากลุ่มดาวดิน 5 คน หลังสวมเสื้อ "ไม่เอารัฐประหาร" พร้อมชูสามนิ้ว ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ขณะลงพื้นที่จ.ขอนแก่น และได้รับการปล่อยตัวในวันเดียวกันโดยไม่ถูกตั้งข้อหาใดๆ นั้น หลังเกิดเหตุการณ์เฟซบุ๊กกลุ่มดาวดินรายงานว่ามีบุคคลแปลกหน้าขับรถวนรอบหน้าบ้าน สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย และเมื่อวันที่ 27 พ.ย. สมาชิกกลุ่มดาวดิน 2 คน เข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ข้อมูลการคุกคามดังกล่าว 

สำนักข่าวประชาไทสัมภาษณ์บุคคลทั้งสอง ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนัก ข้าหลวงใหญ่ฯ ยืนยันตระหนักต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในไทย และสถานการณ์ด้านการคุกคามสิทธิที่เกิดขึ้นกับพวกเรา โดยยืนยันจะติดตามสถานการณ์ของพวกเราอย่างใกล้ชิด และรับปากจะนำเรื่องนี้เข้าปรึกษาหารือกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย พร้อมเสนอให้กลุ่มดาวดินทำเอกสารเกี่ยวกับการคุกคามสิทธิเสนอยูเอ็น เป็นระยะ

สมาชิกดาวดินระบุถึงการเชิญชวนให้ร่วมเวทีเยาวชนและนักศึกษาเพื่อเสนอเรื่องปฏิรูปว่า โดยหลักการไปด้วยกันไม่ได้ คุณถือ ปืน เรามีมือเปล่า จะร่วมปฏิรูปกันได้อย่างไร ถ้าจะปฏิรูปจริงต้องยกเลิกกฎอัยการศึกก่อน

ส่วนการเคลื่อนไหวที่ถูกมองเป็นคนเสื้อแดง กลุ่มดาวดิน ระบุคนที่ออกมาต้านรัฐประหารก็ไม่ได้มีแต่คนเสื้อแดง คนที่อึดอัดกับสถานการณ์มันมีทั้งสองฝ่าย แต่สำหรับเราทำในนามของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตย และอยากให้สังคมมองข้ามเรื่องสีเสื้อได้แล้ว

ประยุทธ์ปัดเลื่อนเลือกตั้งปี 59

เมื่อเวลา 12.15 น. ที่บน.6 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตว่าวันนี้รัฐบาลกำลังทำอยู่ แต่ยอมรับว่ารัฐบาลคงดูได้ไม่ทั่วถึง เพราะมีโครงการจัดซื้อจัดจ้างมาก ไม่รู้กี่ล้านโครงการ ส่วนตัวคงดูได้ไม่ทั่วถึง แต่ละระดับต้องช่วยกันดู ถ้าประชาชนเห็นและมีหลักฐานก็แจ้งมา 

"แต่ถ้ามาพูดหรือกล่าวหาลอยๆ ผมไม่ได้ ต้องพูดให้ตรงและมีหลักฐานหรือเข้าแจ้งความต่อตำรวจ จะได้สอบสวน ไม่ใช่มาพูดตำหนิลอยๆ แล้วไม่มีหลักฐาน ระวังเขาจะฟ้องร้องเอาได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวและว่า ตนจะนั่งเป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้เอง ซึ่งได้พูดไปแล้ว และไม่ว่าตนจะเป็นหรือไม่เป็นประธาน ก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วในฐานะนายกฯ ตนรับผิดชอบทุกเรื่อง ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องหาคนรับผิดชอบ

เมื่อถามถึงกรณีนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศระบุการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2559 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นายสมหมายชี้แจงแล้วว่าพูดในลักษณะประมาณการ เป็นการประเมินของนายสมหมายเอง เรื่องนี้ตนก็รู้อยู่แล้ว ไม่ได้หลับหูหลับตา ทุกอย่างว่าตามโรดแม็ป ทุกอย่างอยู่ที่พวกเราว่าจะทำอย่างไรให้เป็นไปตามโรดแม็ปที่วางเอาไว้จะเอาสั้นหรือยาวก็ได้

ทำงานแสนเหนื่อย-ยังถูกจี้ถาม

เมื่อถามว่าอยู่ที่ร่างรัฐธรรมนูญจะเสร็จทันใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวกัน ทำไมต้องเอามาพันกันไปหมด ตนไม่เข้าใจ วันนี้ยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรมหรือชัดเจนเลย บางเรื่องไม่มีข้อยุติ ทำไมต้องมากดดันหรือบังคับว่าจะต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ สื่อไปเขียนให้เป็นอย่างนั้นทำไม ความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่ตลอด วันนี้รัฐธรรมนูญยังไม่ได้เขียนมาสักมาตราเลย อยู่ในขั้นตอนการหารือ มีความเห็นเป็นร้อยเป็นพัน แบ่งเป็น 11 คณะ แค่ 20 ความเห็นก็ตีกันไม่เลิก วันนี้ยังรับความเห็นข้างนอกเข้ามาอีก ไม่รู้ว่าอีกกี่เวที ทั้งนักศึกษา นักวิชาการ แล้วยังจะตีกันอีกหรือไม่ ใครอยากจะแสดงความคิดเห็นก็เชิญเสนอเข้ามา

"ตกลงกันไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว พอไม่ให้พูดก็หาว่าปิดกั้น พอให้พูดก็บอกว่าไม่เอา ไม่ชอบอยู่ในที่แคบๆ ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี ไม่ต้องมีรัฐบาลเลยดีกว่า ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกคนเป็นประชาชนอยากทำอะไรก็ทำไป วันนี้เรามาจัดระเบียบ มาควบคุมและผมยืนยันว่าไม่เคยปิดกั้นเลย เขียนให้มันดีๆ ที่ผมรู้เพราะผมอ่านหนังสือ อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถึงได้รู้ว่าใครอย่างไร ดี 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ และที่เหลือไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะไม่เชียร์ผม เพียงแต่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับผมเวลาเขียน และไม่จำเป็นจะให้ นักข่าวมารักผมทุกคน แค่ให้ความเป็นธรรมกับผม ให้ผมทำงานให้ได้ ทุกวันนี้ไปต่างประเทศทำงานเหนื่อยแสนเหนื่อย ไม่ได้หยุด ไม่ได้พัก กลับมาต้องมาหย่าศึกอะไรก็ไม่รู้ มันน่ารำคาญ อย่าเขียนให้มันเป็นภาระหรือปัญหาในอนาคตเลย" นายกฯ กล่าว

โวยทำอยากเลือกตั้งกันแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมชัดเจน อย่าไปวิจารณ์ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะตั้งพรรคการเมืองปีใหม่ อย่าไปมโนกันมาก ไม่มีใครเขาตั้ง ใครเขาอยากจะเป็น ทำไมไม่ย้อนดูว่าที่ผ่านมาปัญหามาจากอะไร มีข้อขัดแย้งและเกิดขึ้นเพราะใคร ใครทำ ใครคือปัญหา วันนี้ตนยังไม่พูดเลย ไปต่างประเทศก็ไม่พูด พอไม่พูดก็หาว่าเข้าข้าง มันอายเขา ไม่รู้จักอายเขาบ้างหรืออย่างไร ประเทศไทยประจานกันอยู่ทุกวัน ไม่รู้จักอายหรือ ซึ่งทุกคนก็รับข่าวจากสื่อไทย วันนี้ทั้งโลกรับรู้รับทราบกันหมด ตนไปต่างประเทศพูดให้ตายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เหนื่อยก็ไม่ได้ประโยชน์

ผู้สื่อข่าวถามว่าสรุปการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทำไมอยากเลือกตั้งแล้วหรืออย่างไร นายสมหมายพูดก็ชี้แจงแล้วว่าพูดของเขาเอง ในที่ประชุมครม.ตนก็พูดมาตลอดว่าให้ทุกคนรีบทำงานให้เร็วเพราะเรามีเวลาจำกัด 1 ปี แต่นายสมหมายอาจมองว่า งานอาจจะไม่เสร็จก็เป็นเรื่องของนายสมหมาย และอยากถามว่าการเลือกตั้งใครเป็นคนกำหนด นายสมหมายหรือใคร วันนี้รัฐธรรมนูญเสร็จหรือยัง แม้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้วกฎหมายลูกทำกันหรือยัง

ทำงาน 6 เดือน-มากกว่า 6 ปีที่ผ่าน

เมื่อถามว่าความตั้งใจของนายกฯอยากให้มีการเลือกตั้งภายใน 1 ปีใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์กล่าวยอมรับว่า ใช่ เป็นไปตามโรดแม็ป แต่ 1 ปีแล้วเลือกตั้งมันมีอะไรบ้าง ทำให้เสร็จได้ก็ทำกันไป ถ้าทำไม่ทันก็ต้องทำต่อให้เสร็จ ถ้าจะให้เลือกตั้งพรุ่งนี้ ตนก็พร้อมเอาหรือไม่ จะอะไรกันนักหนา ตนไม่เข้าใจ วันนี้บ้านเมืองปัญหาเยอะทับซ้อนกันไปหมด นักข่าวคอยมาแคะแกะเกาเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง

"ผมถามว่าวันนี้ใครจะมาพูดแบบผมบ้าง ใครจะเกลียดผมก็ยอม ผมไม่ใช่ศัตรูของพวกท่านหรือกับสื่อ ผมอ่านข่าวของทุกสำนัก แต่ขอให้ได้อ่านในส่วนที่ประเทืองปัญญาบ้าง เช่น วันนี้รัฐบาลกำลังทำอะไรไปบ้าง ไม่ใช่แค่เริ่มก็วิจารณ์แล้วว่าทุจริต แค่คิดก็ผิดแล้ว หรือจะไม่ให้ทำอะไร ปล่อยให้ตีกันอยู่เหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ วันนี้เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร ที่ผ่านมา 6 เดือนทำงานมาเยอะ มากกว่า 6 ปีด้วยซ้ำ วันนี้ผมรู้ดีว่าประชาชนฝากความหวังไว้ แต่ทุกคนควรให้ความหวังกับผมบ้าง มีอะไรขอให้เสนอแนะหรือบอกกันมา แต่ไม่ใช่มากดดันว่าจะเสร็จเมื่อไร อย่างไร หรืองานที่ทำใช้ไม่ได้ ไม่ใช่มาถามว่าวันนี้จะมาเลือกตั้งเมื่อไร จะไปเมื่อไรแล้วงานนี้จะเสร็จเมื่อไร วันนี้ผมเป็นอะไรวะ ยืนยันว่าที่พูดไม่ได้หงุดหงิด เพียงแต่ไม่ได้โมโหมาหลายวันแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงดุดัน รวมทั้งระบายอารมณ์โดยการเคาะโพเดียมอยู่ตลอดการให้สัมภาษณ์ พร้อมดักคอสื่อมวลชนว่า เดี๋ยวก็คงไปเขียนว่านายกฯ กลับมาจากต่างประเทศแล้วอารมณ์เสียอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เขียนเป็นอยู่แค่นี้ วันหน้าไม่ต้องมาตั้งคำถาม เดี๋ยวตนเขียนให้ก็ได้ สื่อเขียนเหมือนกันหมด 

ชี้ทุเรศ-ฉากหลังล้อในออนไลน์

เมื่อถามว่าทำไมวันนี้นายกฯ อารมณ์เสีย นายกฯกล่าวว่า อารมณ์ไม่เสีย เพียงแต่เหนื่อย ไปต่างประเทศ 2-3 วันไม่ได้พัก แต่ทุกอย่างดีหมด ทุกคนช่วยกัน ไปต่างประเทศไม่ได้สนุก ไม่ได้ไปเที่ยวไหนแต่ไปทำงาน พอ กลับมาถึงแทนที่จะถามหรือพูดกันดีๆ กลับมีคำถามที่มากดดัน "มันอะไรกันวะ งานทุกอย่างมีมาก มีขั้นตอน ซึ่งมอบหมายผู้รับผิดชอบไปแล้ว ผมกำกับนโยบาย จะดูว่าดำเนินการไปตามโรดแม็ปได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าไอ้นี่ก็จะเอา ไอ้นั้นก็จะเอา มันไม่รู้จะทำยังไงวะ"

นายกฯ กล่าวถึงการเปลี่ยนรูปแบบรายการคืนความสุขให้คนในชาติที่ออกอากาศในคืนนี้ว่า ได้บันทึกเทปไว้ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีอะไร แต่วันนั้นเมื่อย ขี้เกียจยืนเลยนั่งพูด เดี๋ยวครั้งหน้ายืนใหม่ก็ได้ ไม่เป็นไร เพียงแต่วันนั้นประชุมเยอะ เหนื่อย หมดแรง ซึ่งตนไม่ได้ให้ใครมาชอบ แต่ต้องการให้ฟังว่าสิ่งที่พูดเคยมีใครพูดบ้างหรือไม่ ก็ไม่มี ผมเลยต้องพูดนานก็ยังมีคนไม่ฟังอีก จะให้บอกว่าทุกเรื่องทำแล้วเสร็จวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีทาง ไว้รอชาติหน้า ที่พูดมาไม่ได้บ่น เหนื่อย โมโห แต่ทำเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะคนคาดหวัง

"มันกดดันทั้งตัวเองและคนอื่น ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน แต่ผมไม่ทำอะไรด้วยความโมโห ทหารเป็นเช่นนี้ แม้โมโหก็จะมีสติมาก กว่าเดิม ถ้าไม่โมโห สติจะไม่ค่อยมี เวลาโมโหต้องควบคุมตัวเองให้ได้ แต่ปฏิกิริยาอาการออกได้ อยู่กับทหารเป็นแบบนี้แต่ต้องรอบคอบ แม้โมโห จะอะไรใครสักคนจะต้องระมัดระวัง วันนี้พูดด้วย โมโหด้วยแต่ก็ทำงานด้วย ยืนยันว่าไม่ได้โกรธนักข่าว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีคนเปลี่ยนฉากหลังในรายการคืนความสุขให้ในโซเชี่ยลและชอบฉากไหนมากที่สุด นายกฯ กล่าวว่า "เห็นแล้ว มันทุเรศทุกฉาก"

แจงไอซีทีบล็อกเว็บฮิวแมนฯ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) บล็อกเว็บไซต์ของฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทยว่า เขามีมาตรการ มีกติกาอยู่ เป็นเรื่องของไอซีที เป็นเรื่องความมั่นคงที่ตนมอบนโยบายแล้วว่าต้องทำให้บ้านเมืองสงบเรียบ ร้อย ขอให้ไปดูก่อนว่าเขาเขียนไว้อย่างไรบ้าง ถ้าบอกว่าทุกคนเสรีหมด จะเขียนว่าอะไร ใครด่าใครได้หมดก็ทำไป ประเทศไทยก็ไม่ต้องอยู่

นายกฯ กล่าวว่า ตนดูหนังสือพิมพ์บางฉบับ บางคอลัมน์ว่าตนปิดกั้น แต่ขอให้ดูที่เขียนด้วย เขียนทำไมเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องขี้หมากาไก่ เขียนส่งเดชไปเรื่อย ตนกำลังทำใหม่เป็นร้อยเรื่องก็ควรเขียนช่วยตน แต่ไม่มีเลย ติอย่างเดียว ส่วนที่ยังไม่เสร็จมีปัญหาไม่ช่วยตนแล้วจะหากินกันอยู่อย่างนี้ต่อไปหรืออย่างไร ตนไม่เข้าใจ ตนไม่โทษใครแต่ตนต้องการแก้ ถ้าปล่อยอยู่แบบนี้มันก็เป็นอยู่แบบนี้ ถามว่าใครจะมาพูดแบบตนบ้าง คนจะเกลียดตนก็ยอม "ผมไม่เป็นศัตรูท่านอยู่แล้ว ผมอ่านหนังสือท่านทุกวัน แต่จะอ่านที่มันบันเทิงและประเทืองปัญญาหน่อย นี่ไม่ได้หงุดหงิด ไม่ได้โมโหมาหลายวัน"

ขึ้นเสียงอีก-ข้อสังเกตรำไม่สวย

ส่วนที่วิจารณ์รัฐบาลและนายกฯผ่านสื่อออนไลน์ และเฟซบุ๊กนั้น นายกฯ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า อีกคนถามว่าปิดเว็บจะทำยังไง แต่นี่ถามว่าถ้าโพสต์เฟซบุ๊กจะทำยังไง ถ้าไม่ปิดจะต้องยังไง จะให้แช่งหรืออย่างไร ซึ่งตนไปต่างประเทศเขาชื่นชมตนทุกคน เขาเห็นว่าตนพูดแสดงทัศนะว่าจะเดินประเทศอย่างไร เพราะเขาไม่ได้มาสนใจคนที่ขี้โกหกมากนัก มีแต่พวกเราไปเขียนโกรธเคือง ใครจะเขียนอะไรก็ได้ ที่เขียนอยู่นั้นเขียนดีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย นายกฯกลับมาอารมณ์เสียก็เขียนกันอยู่แค่นี้ วันหน้าไม่ต้องมาถาม ตนเขียนให้ก็ได้แล้วมารับเอาออกไปพิมพ์เหมือนกันหมด

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าการเยือนลาวมีการรำวงกับผู้นำสนุกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รำไม่ค่อยเป็นแต่ก็ต้องรำ คนไทยอย่างไรก็ต้องรำ เป็นการแสดงความเป็นเพื่อนบ้านเป็นมิตรต่อกัน ส่วนเพลงก็เหมือนกันหมดก็คล้ายเพลงไทย

เมื่อถามว่าแต่ดูเหมือนนายกฯจะรำไม่ค่อยเก่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอย่างมีอารมณ์และขึ้นเสียงว่า "จะเอาอะไรกันหนักหนา บริหารประเทศก็จะเอา รำก็ไม่ดี จะอะไรกันวะ" 

ตรวจเข้มงานอาชีวะ-ผวา 3 นิ้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานจากอิมแพ็คเมืองทองธานีว่า ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นประธานเปิดงานอาชีวศึกษาทวิภาคีไทย เพื่อกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ผู้เรียนอาชีวศึกษา คือผู้ทรงคุณค่าของสังคม" ในงานอาชีวศึกษาทวิภาคีไทย ในเวลา 14.00 น.นั้น มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ คอยเฝ้าระวังและวางมาตรการรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆอย่างรัดกุม นอกจากนี้ยังมีทหารในชุดพรางเข้าประจำจุดเพื่อตรวจกระเป๋าบุคคลเข้าออกและสื่อมวลชนอย่างละเอียด ขณะเดียวกันในพื้นที่งาน มีเจ้าหน้าที่จากสำนักนายกฯคอยเฝ้าสังเกตการณ์และห้ามสื่อมวลชนออกมายืนนอกบริเวณที่จัดเตรียมไว้ โดยเจ้าหน้าที่สำนักนายกฯระบุว่า ขอความร่วมมือเพราะเกรงจะเกิดกรณีเช่นนักศึกษามาชู 3 นิ้วต่อต้านขึ้นเหมือนที่ จ.ขอนแก่น

เวลา 14.00 น. ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ผู้เรียนอาชีวศึกษา คือผู้ทรงคุณค่าของสังคม" มีนักศึกษาอาชีวะจากทั่วประเทศร่วมงาน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ไทยถือว่าโชคดีที่ความขัดแย้งยังไม่มากนัก ก่อนวันที่ 22 พ.ค. ถือเป็นวิกฤตแต่ต้องเดินหน้าประเทศ ทุกคนต้องรู้ปัญหาเพราะไทยหยุดประเทศมานานแล้ว จึงจำเป็นต้องยุติความขัดแย้ง แต่ไม่ใช่ด้วยความรุนแรง แต่ต้องสร้างความเข้าใจและลดความเหลื่อมล้ำ 

ย้ำไม่ใช่เวลาจะมาชู 3 นิ้วต้าน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าอยากฝากเรื่องค่านิยม 12 ประการให้กับเยาวชนด้วย ซึ่งการเรียนอาชีวศึกษามีประวัติศาสตร์ยาวนานน่าภูมิใจ จึงไม่ควรมาทะเลาะกัน ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันพัฒนาประเทศแล้วเลิกทะเลาะกัน เพราะรัฐบาลไม่อยากใช้กฎหมายมาควบคุมยุติความขัดแย้ง จะเห็นว่าเรานำทหารไปต่างประเทศเพื่อยุติความขัดแย้งได้ แต่ความขัดแย้งในประเทศยุติไม่ได้ จึงต้องการความร่วมมือของทุกคนแก้ปัญหา

"หลายประเทศถามเราว่าวันนี้ไทยเลิกทะเลาะกันหรือยัง ผมก็บอกว่าขอเวลาอีกหน่อย ซึ่งผมยังคิดอยู่ว่าออกมาช้าไปหรือเปล่าและยังรู้สึกเสียดายอยู่เลย หลายคนก็ถามหาม้าขาวไปไหน ทำไมไม่ออกมา ผมจึงต้องมาแก้ปัญหา" นายกฯกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ทั้งโลกกำลังยุติความขัดแย้ง และเวลานี้ไม่ใช่เวลาชู 3 นิ้ว 5 นิ้ว แต่เราต้องอยู่ในกรอบ เพื่อลดความขัดแย้ง และต้องสร้างความสัมพันธ์ลดความเหลื่อมล้ำให้หมดไป ส่วนกรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ชู 3 นิ้วนั้น ผลของการสอบถามเด็กเหล่านี้ทราบว่าไม่ชอบรัฐประหาร แต่เด็กไม่มีเหตุและผลในการ กระทำ เมื่อถามเด็กเหล่านั้นว่าเห็นด้วยหรือไม่กับรัฐบาลปัจจุบัน เด็กบอกเพียงว่าไม่ชอบรัฐประหาร แต่ไม่บอกเหตุผลอื่น ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรถูกที่สุด

"บิ๊กตู่"ยันพยายามแก้ราคายาง

เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ตอนหนึ่งว่าวันนี้ถือเป็นการพูดคุยสบายๆ เป็นบรรยากาศเล่าสู่กันฟัง จะได้ไม่เสียบรรยากาศการปฏิรูปเพราะเราทำงานมาเยอะ เกรงว่าฟังตนบ่อยๆ แล้วจะรำคาญ ซึ่งการทำงานในปัจจุบัน เราอยากรับฟังความเห็นของทุกกลุ่มในเรื่องปฏิรูป การทำงาน ซึ่งมีหลายคนทั้งอดีตผู้นำรัฐบาลนักวิชาการ นักศึกษา พูดในทำนองว่าขอให้เรารับฟังความคิดเห็นของคนในทุกระดับบ้างก็ทำอยู่แล้ว รับฟังจนเยอะไปหมด เพียงแต่ขออย่าต่อต้านการทำงานของรัฐบาล และคสช.เลย 

นายกฯ กล่าวว่า หากจะรวมกลุ่มกันแล้วสรุปผลการประชุมข้อคิดเห็นส่งมาที่เรา กกต.หรือสปช.ก็ได้ ตนรับทุกช่องทาง วันนี้มีหลายประเด็นที่รับมาแล้ว เช่น การพูดคุยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฟังดูแล้วมีเหตุผลดี ไม่ว่าใครจะเสนอมาก็รับทั้งหมดแต่เข้าตามช่องทาง ถ้าไปพูดแล้วสร้างความขัดแย้ง มันเดินไปไม่ได้ เราไม่ได้กำจัดศัตรู เราไม่มีศัตรูแล้วไม่ได้จะตัดสิทธิ์ของใคร

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้เรื่องข้าว เรื่องยาง ตนคิดทั้งวันทั้งคืน อยากบอกชาวนาชาวสวนยางว่าเราพยายามเต็มที่ให้ราคาไม่ตกลงไปมาก ซึ่งต้องใช้เวลาแก้ปัญหา เพราะถ้าจะใช้เงินมากๆ คงไม่ไหว ตอนนี้ช่วยไปเยอะแล้ว จึงต้องใช้เวลาสร้างมาตรฐานราคาให้สูงขึ้น ตนคิดว่าวันนี้ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่ อาจจะกำไรน้อยหน่อย ดังนั้น ชาวนาหรือชาวสวนยางที่ลงทุนสูงก็ต้องคิดปรับลดต้นทุนลง ถ้า 2 ส่วนนี้ต้องการเพิ่มทั้งคู่ รัฐบาลก็ไปไม่ไหว ทุกประเทศเป็นหมด

ให้อปท.ที่จะหมดวาระรักษาการ

นายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้มีประมาณ 163 ฉบับที่ต้องออกให้ทันภายใน 1 ปีที่มีการปฏิรูป จึงกำหนดกรอบว่า 3 เดือนแรก 3 เดือนต่อไปจะทำอะไรบ้าง ซึ่งสนช.และสปช.ต้องสอดคล้องกัน แม่น้ำ 5 สายนั้นรัฐบาลจะต้องขับเคลื่อน อะไรที่ทำได้ทำเลยแต่ต้องฟังความคิดเห็นก่อน อะไรที่ต้องแก้กฎหมายก็แก้ให้ทันใน 1 ปี อะไรที่ทำไม่ได้ ต้องไปเพิ่มเติมในรายละเอียดก็ว่ากันในระยะยาว ทั้งนี้ ปัจจัยในการกำหนดให้ประเทศก้าวหน้า เข้มแข็งนั้น หลายเรื่องไม่ใช่ปัจจัยในประเทศอย่างเดียว ซึ่งยอมรับว่าความขัดแย้งยังคงมีอยู่ ฝากไว้ด้วยเพราะความเจริญทางเศรษฐกิจต้องใช้คำว่าเป็นพลวัต ต่อเนื่องเชื่อมโยง ไม่ใช่เดินไปแล้วก็หยุดปั๊บ แต่ต้องเดินไปเรื่อยๆ เพิ่มเติมขยายขนาดไปเรื่อยๆ

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ที่จะหมดอายุ ตนเสนอให้ครม. พิจารณาแล้วว่าถ้าเลือกตั้งไม่ได้ก็ให้รักษาการก่อน ซึ่งน่าจะดีกว่า ดังนั้นขอให้ผู้บริหารท้องถิ่น เตรียมตัวให้ดีว่าจะทำอย่างไรต่อไป ข้อสำคัญต้องทำให้ประเทศชาติปลอดภัย ก้าวหน้าไปได้เพราะต้องสอดคล้องทั้งรัฐบาล ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ต้องเดินไปให้ได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

นายกฯ กล่าวว่า ทุกวันเวลา 18.00 น. ถ้าว่างก็ดูรายการเดินหน้าประเทศไทยว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ครม.มีมติอะไรบ้าง ถ้าไม่ฟังก็ไม่รู้ ไม่รู้แล้วถามตน พอตอบไปบางทีไม่ครบก็เป็นปัญหาในอนาคต ขอให้ติดตามดู จะได้รู้ว่าเรื่องนี้ตนทำหรือยัง ทั้งปฏิรูป กฎหมาย สนช. สปช. และเรื่องรัฐบาล อีกช่องคือช่องรัฐสภา ถ่ายทอดทั้งวัน มีสาระ ว่างๆ เปิดดูได้ อย่าดูบันเทิงมากๆ อย่างเดียว วันนี้เราต้องรักษากฎกติการะเบียบ ให้เดินหน้าประเทศให้ได้ ซึ่งตนพร้อมรับฟังทุกคนทุกกลุ่ม ขอบคุณในคำแนะนำที่ให้กับรัฐบาล และ คสช.

บลูมเบิร์กห่วงแผนปฏิรูปไทย

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. เว็บไซต์บลูมเบิร์ก เผยแพร่บทบรรณาธิการวิพากษวิจารณ์แนวทางการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการเมือง เศรษฐกิจและสภาพสังคม

บลูมเบิร์กระบุว่า แม้ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ของไทยเริ่มดีดกลับมาอยู่ในแดนบวก ภายหลังดิ่งลงไปเกือบร้อยละ 2 เมื่อไตรมาสแรกของปีนี้ และประเทศไทยยังคงเป็นสถานที่ยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลกด้านเวชศาสตร์การแพทย์ รวมไปถึงศัลยกรรมเสริมความงาม ทว่าการยึดอำนาจการปกครองในเดือนพ.ค. อย่างดีที่สุดก็เป็นเพียงแค่ยับยั้งการเสียเลือดเนื้อที่เกิดจากความร้อนแรงในการประท้วงทางการเมือง โดยธนาคารโลกคาดว่า ในปี 2558 ประเทศไทยจะยังคงเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตช้าที่สุดในบรรดากลุ่มชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องมาจากปริมาณหนี้ด้านอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงมีมูลค่ากว่าร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ส่งผลให้ศักยภาพในการใช้จ่ายของประชาชนถูกบั่นทอน แม้พลเอกประยุทธ์จะจัดสรรเงินให้กับประชาชนไปบางส่วน อาทิ ชาวนา และผู้ปลูกยาง แต่คาดว่าด้านอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตเพียงร้อยละ 1.5 ในปีหน้า

บลูมเบิร์กระบุต่อว่า รัฐบาลทหารจากการรัฐประหารชุดก่อนๆ ในช่วงปี 2523 เป็นต้นมา อาจจะประสบความสำเร็จจุดชนวนการเติบโตของประเทศผ่านการลงทุนที่รัฐเข้ามาสนับสนุนโดยตรง แต่ปัจจุบันรัฐบาลทหารของไทยเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนกว่าเดิม เพราะหมดยุคที่ประเทศไทยจะกลับมาเป็นเจ้าผู้ผลิตสินค้าในตลาดระดับล่างอีกต่อไป หลังถูกประเทศเพื่อนบ้านที่ค่าแรงถูกกว่าแย่งไปแล้ว หนทางเดียวที่จะยกระดับประเทศขึ้นมาต้องใช้การลงทุนในด้านการศึกษา การวิจัยและการพัฒนา รวมทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าก็ไม่ได้แตกต่างไปจากรัฐบาลพลเรือน เช่น โครงการก่อสร้างเส้นทางคมนาคม 2 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยได้ แต่ยังไม่ทันการและเพียงพอ

รายงานระบุถึงแผนการคืนอำนาจให้กับประชาชนของรัฐบาลทหารไทยว่าไม่ได้ช่วยให้คนมีความมั่นใจขึ้นมาได้ ภายหลังร่างกฎหมายปฏิรูปการเมืองฉบับล่าสุดถูกออกแบบมา ไม่ใช่เพื่อเยียวยาความแตกแยกในสังคมไทย แต่กลับมีขึ้นเพื่อกีดกันฝ่ายผู้สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ให้กลับมาครองอำนาจการปกครองได้โดยผ่านการเลือกตั้ง และแม้ว่าพลเอกประยุทธ์จะรักษาคำสัญญาที่ว่าจะคืนอำนาจให้ประชาชนในปลายปีหน้า (ซึ่งก็ยังเชื่อไม่ได้) ก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาด้านเสถียรภาพการเมืองของไทยในระยะยาว

บลูมเบิร์กสรุปตอนท้ายว่า ประเทศไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ตราบใดที่สิทธิทางด้านประชาธิปไตยของประชาชนอีกครึ่งประเทศยังถูกกดขี่ หากยังดึงดันทำอยู่ต่อไปก็จะส่งผลให้ความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม องค์กรตรวจสอบต่างๆ ลดต่ำลง และรัฐสภาก็เช่นกัน เพราะจะถูกครองที่นั่งโดยบรรดาสสมาชิกแต่งตั้ง มากกว่าเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยิ่งจะทำให้ช่องว่างของความเท่าเทียมในประเทศกว้างขึ้นอีก (เช่น มูลค่าความมั่งคั่งร้อยละ 75 ของประเทศ กระจุกอยู่กับผู้มีรายได้สูงเพียงร้อยละ 10 ของประเทศ) ที่แย่ที่สุด คือ ทำลายโจทย์สำคัญที่จะทำให้พรรคฝ่ายค้านของไทยได้นำไปใช้ปรับปรุงตัวเอง เพื่อที่จะเป็นทางเลือกที่แท้จริงทางการเมืองให้กับประชาชน แข่งขันกับกลไกทางการเมืองฝ่ายของพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น การปฏิรูปใดๆ ที่ไม่แก้ไขปัญหารากเหง้าข้างต้น ก็ไม่มีทางให้ผลที่ยั่งยืนได้

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!