รายงานสถานการณ์ส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายนและ 11 เดือนแรกของปี 2566
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Tuesday, 23 January 2024 23:24
- Hits: 8826
รายงานสถานการณ์ส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายนและ 11 เดือนแรกของปี 2566
คณะรัฐมนตรีรับทราบ เรื่อง รายงานสถานการณ์ส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายนและ 11 เดือนแรกของปี 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน 2566
การส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2566 มีมูลค่า 23,479.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (847,486 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ร้อยละ 4.9 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 4.0 ตลาดส่งออกสำคัญของไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากภาวะเงินเฟ้อสูง เริ่มชะลอลงและมีแนวโน้มกลับสู่ระดับเป้าหมายในปีหน้า โดยหลายประเทศเริ่มส่งสัญญาณการจบวงรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคปรับตัวสูงขึ้น การส่งออกรายสินค้าในภาพรวมขยายตัวทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดสินค้าเกษตรที่ขยายตัวมากกว่าหมวดอื่นๆ ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่องตามวัฏจักรการฟื้นตัวของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และมีปัจจัยบวกจากการจับจ่ายใช้สอยก่อนเข้าสู่เทศกาลสำคัญในช่วงท้ายปี ส่งผลให้ผู้ประกอบการในหลายประเทศเร่งนำเข้าสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการ ทั้งนี้ การส่งออกไทย 11 เดือนแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 1.5 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 0.5
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 49,358.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 7.6 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกมีมูลค่า 23,479.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.9 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้ามีมูลค่า 25,879.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.1 ดุลการค้า ขาดดุล 2,399.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 529,705.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 2.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 261,770.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 1.5 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 267,935.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.8 ดุลการค้า 11 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 6,165.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนพฤศจิกายน 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 1,792,359 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.4 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 847,486 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.2 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 944,873 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 4.8 ดุลการค้า ขาดดุล 97,387 ล้านบาท ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่าการค้ารวม 18,354,296 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 3.1 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 9,013,184 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.8 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 9,341,112 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.3 ดุลการค้า 11 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 327,928 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 4.9 โดยสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 7.7 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.7 ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ขยายตัวร้อยละ 67.9 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ และแอลจีเรีย) ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 14.5 (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหรัฐฯ และตุรกี) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 2.5 (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ลิเบีย แคนาดา อิสราเอล และอาร์เจนติน่า) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 3.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อิตาลี ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) ผลไม้กระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 5.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย แคนาดา และกัมพูชา) สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวร้อยละ 21.6 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และเมียนมา) ผักกระป๋องและผักแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 26.6 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์) ผักสด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 29.8 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น มาเลเซีย ไต้หวัน เมียนมา และสหรัฐฯ) กุ้งต้มสุกแช่เย็น ขยายตัวร้อยละ 140.8 (ขยายตัวในตลาดจีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และไต้หวัน) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 12.8 (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัวร้อยละ 26.9 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์) น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 9.8 (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย ลาว จีน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 47.1 (หดตัวในตลาดเวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา อินเดีย และฟิลิปปินส์) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 0.5
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 3.4 แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 10.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และไต้หวัน) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 15.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 42.2 (ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย แคนาดา และเมียนมา) เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 19.4 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง เม็กซิโก จีน และรัสเซีย) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 40.5 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และมาเก๊า) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 24.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 9.7 (หดตัวในตลาดมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม แอฟริกาใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แผงวงจรไฟฟ้า หดตัวร้อยละ 6.6 (หดตัวในตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์)เม็ดพลาสติก หดตัวร้อยละ 10.7 (หดตัวในตลาดจีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย)เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 26.1 (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย สหรัฐฯ เวียดนาม ญี่ปุ่น และอินเดีย) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 1.5
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปยังตลาดส่งออกสำคัญหลายตลาดขยายตัว สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ขณะที่การส่งออกไปบางตลาดยังคงมีความไม่แน่นอน ท่ามกลางภาวะการณ์ชะลอตัวของภาคการผลิตโลก ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 4.7 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 17.5 ญี่ปุ่น ร้อยละ 4.3 และอาเซียน (5) ขยายตัวร้อยละ 12.9 ในขณะที่ตลาดจีน สหภาพยุโรป (27) และ CLMV หดตัวร้อยละ 3.9 ร้อยละ 5.0 และร้อยละ 7.6 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 4.1 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 5.0 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 10.9 และรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 88.4 ขณะที่หดตัวในตลาดตะวันออกกลาง ร้อยละ 4.5 แอฟริกา ร้อยละ 1.4 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 4.2 และสหราชอาณาจักร หดตัวร้อยละ 15.0 (3) ตลาดอื่นๆ ขยายตัวร้อยละ 63.1 อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 77.9
2. มาตรการส่งเสริมการส่งออกและแนวโน้มการส่งออกระยะต่อไป
การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินงานที่สำคัญในเดือนพฤศจิกายน อาทิ In-coming Trade Mission ของคณะนักธุรกิจบังกลาเทศมาเจรจาธุรกิจในไทย นำคณะผู้ซื้อกล้วยหอมชาวญี่ปุ่นมาเยือนผู้ผลิตในไทยและจัดทำ MOU สั่งซื้อกล้วยหอมไทย ส่งเสริมการขยายตลาดแฟรนไชส์ร้านกาแฟไทยในญี่ปุ่น โดยการจัด OBM ให้บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด กับ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ในญี่ปุ่น เกิดผลสำเร็จเปิดร้านคาเฟ่อเมซอนสาขาใหม่ ในจังหวัดชิบะ เป็นสาขาแรกในญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นช่องทางส่งเสริมสินค้าไทยจากชุมชน และสินค้าจากโครงการ Local BCG Plus ของกระทรวงพาณิชย์ ผ่านร้าน Café Amazon ทุกสาขาในตลาดญี่ปุ่น นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ได้แก่ APPEX (ยานยนต์และชิ้นส่วน) ในสหรัฐฯ MEDICA (สินค้าและบริการทางการแพทย์และสุขภาพ) ในเยอรมนี China International Import Expo (CIIE) ครั้งที่ 6 นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และงาน American Film Market ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ เป็นต้น
แผนส่งเสริมการส่งออกในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนจัดทำแผนเร่งรัดการส่งออกระยะ 1 ปี ประกอบด้วยกิจกรรมทั้งหมด 417 กิจกรรม คาดการณ์มูลค่าส่งออก 65,700 ล้านบาท ภายใต้ 5 กลยุทธ์สำคัญ ดังนี้ 1) เปิดประตูโอกาสทางการค้า เชิงรุก สู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการรักษาตลาดเดิม 2) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการส่งออก ด้วยแบรนด์ นวัตกรรม การออกแบบ และการสอดแทรกคุณค่าอัตลักษณ์ความเป็นไทย 3) ผลักดันภาคธุรกิจไทยปรับตัวเข้าสู่การค้าโลกในยุคดิจิทัล และส่งเสริม Cross-border E-Commerce 4) สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality ผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน 5) ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (Logistics Service Providers) และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงยกระดับให้เป็น Logistics Hub ของภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายทูตพาณิชย์ใน 10 ประเทศเป้าหมาย ภายใต้นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก คือ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และฝรั่งเศส อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และแอฟริกาใต้ จัดทำแผนขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดเป้าหมายดังกล่าวเพิ่มเติมด้วย
การส่งออกปี 2566 และแนวโน้มในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่าการส่งออกของปี 2566 จะกลับมาอยู่ในระดับที่ดีกว่าช่วงภาวะปกติก่อนเกิดโควิด-19 ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงในปีนี้ สำหรับการส่งออกปี 2567 คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากที่เงินเฟ้อชะลอลงกลับสู่เป้าหมาย วัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะยุติลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว พร้อมกับความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนที่กลับมา ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการทำงานเพื่อผลักดันการเติบโตของมูลค่าการส่งออกในปี 2567 ไว้ที่ร้อยละ 1.99 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านล้านบาท
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) 23 มกราคม 2567
1596