WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

 

 

MTI 720x100

 

ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522

Gov 08

ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522

          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎหมายนี้ในรายละเอียดและให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ต่อไป

          ทั้งนี้ ตช. เสนอว่า

          1. โดยที่ได้มีพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 142 วรรคห้า กำหนดให้หลักเกณฑ์และวิธีการทดสอบผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่นั้นเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากผู้ขับขี่ยานพาหนะที่เมาสุราหรือของ เมาอย่างอื่น เนื่องจากปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมยานพาหนะลดลง ต่อมาได้มีกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือไม่ และกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2560) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ ในเลือดให้เหมาะสมสำหรับผู้ขับขี่ ประกาศใช้บังคับ

          2. ต่อมามีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 (มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565) โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีการปรับปรุงมาตรการกฎหมายต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยและเพื่อให้การป้องกันการกระทำความผิดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น ลักษณะความผิดในการขับรถ การตรวจสอบหรือทดสอบผู้ขับขี่ เป็นต้น โดยในมาตรา 11 ของพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13)ฯ บัญญัติให้ยกเลิกความในวรรคห้าของมาตรา 142 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 10)ฯ ส่งผลให้กฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราขบัญญัติจราจรทางบกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 10)ฯ ซึ่งเป็นกฎกระทรวงที่อาศัยอำนาจตามความในวรรคห้าแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522ฯ ดังกล่าวในการออกกฎกระทรวงถูกยกเลิกไปโดยผลของกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ จะยังคงใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าจะมีกฎกระทรวงฉบับใหม่ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13)ฯ ใช้บังคับ

          3. จากการศึกษาในปัจจุบันพบว่าหลักเกณฑ์และวิธีการในการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ยังไม่ครอบคลุมถึงการตรวจพิสูจน์ในบางกรณี เช่น บุคคลอยู่ในภาวะหมดสติหรือได้รับอันตรายแก่กายจนไม่อาจให้ความยินยอมในการตรวจพิสูจน์ได้หรืออยู่ในภาวะที่สามารถให้ความยินยอมในการตรวจพิสูจน์การมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายได้ แต่ไม่สามารถทดสอบด้วยวิธีการตรวจวัดจากลมหายใจได้ ดังนั้น ตช. พิจารณาแล้ว เห็นว่า สมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นในขณะ ขับรถหรือไม่ ตลอดจนกำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ถือว่าเป็นความผิดให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละประเภท ซึ่งสอดคล้องกับหลักการตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ที่บัญญัติให้หัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานจราจร สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่หรือบุคคลที่อาจเป็นผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับรถหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่ ในกรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและบุคคลดังกล่าวอยู่ในภาวะหมดสติหรือได้รับอันตรายแก่กายจนไม่อาจให้ความยินยอมในการตรวจสอบการมีสารอยู่ในร่างกายได้ เพื่อเป็นการป้องปรามให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย และเพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุทางถนน

          4. ตช. ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยแล้ว

          สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

          ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 และครอบคลุมถึงการตรวจพิสูจน์บุคคลที่อยู่ในภาวะหมดสติหรือได้รับอันตรายแก่กายจนไม่อาจให้ความยินยอมในการตรวจพิสูจน์ได้ หรืออยู่ในภาวะที่สามารถให้ความยินยอมในการตรวจพิสูจน์การมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายได้ แต่ไม่สามารถทดสอบด้วยวิธีการตรวจวัดจากลมหายใจได้ รวมทั้งกำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ถือว่าเป็นความผิดให้เหมาะสมกับผู้ขับขี่แต่ละประเภท สรุปได้ดังนี้

 

ประเด็น

 

สาระสำคัญ

 

หมายเหตุ

วิธีการตรวจหรือทดสอบ

 

ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์โดยใช้วิธีการ ดังนี้

     1. ตรวจวัดลมหายใจ โดยวิธีเป่าลมหายใจ (BREATH ANALYZER TEST) 

     2. ตรวจวัดจากเลือด

     3. ตรวจวัดจากของเสียอย่างอื่นจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ

 

เดิมกำหนดให้ตรวจวัดจากปัสสาวะเป็นตรวจวัดจากของเสียอย่างอื่นจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะเพื่อให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

 

 

กำหนดให้ส่งตัวผู้ขับขี่ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและเก็บตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรือของเสียอย่างอื่นด้วยวิธีการทางการแพทย์ที่เจ็บปวดน้อยที่สุด และไม่เป็นอันตรายอย่างอื่น

 

เพื่อให้สอดคล้องกับ .131/1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

หน้าที่ของพนักงานสอบสวนและแพทย์

 

กรณีที่มีอุบัติเหตุจากการขับขี่และมีพฤติการณ์เชื่อว่าผู้ขับขี่หรือบุคคลที่อาจเป็นผู้ขับขี่ได้กระทำการฝ่าฝืนตาม .43 (2) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ให้พนักงานสอบสวนพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงว่าผู้ขับขี่หรือบุคคลที่อาจเป็นผู้ขับขี่กระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวหรือไม่ทุกกรณี ตามวิธีการตรวจหรือทดสอบวัดปริมาณแอลกอฮอล์

 

กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้องทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในทุกกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าขับรถขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น เดิมเจ้าพนักงานฯ ไม่มีอำนาจในการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์บางกรณี เช่น บุคคลที่อยู่ในภาวะหมดสติหรือได้รับอันตรายแก่กายจนไม่อาจให้ความยินยอมในการตรวจพิสูจน์ได้

 

 

กรณีผู้ขับขี่สามารถให้ความยินยอมในการตรวจพิสูจน์แต่ไม่สามารถทดสอบด้วยการวัดจากลมหายใจ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ ดังนี้

     1. ส่งตัวผู้ขับขี่ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และแจ้งเป็นหนังสือขอให้แพทย์ตรวจพิสูจน์ปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายบุคคล ภายใน 3 ชั่วโมง นับแต่พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุ หรือด้วยวาจา วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีการอื่น จากนั้นให้พนักงานสอบสวนแจ้งเป็นหนังสือ ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุ

     2. ให้แพทย์เก็บตัวอย่างจากเลือด ปัสสาวะ หรือของเสียอย่างอื่น และให้ออกหลักฐานเป็นหนังสือแสดงผลการตรวจพิสูจน์โดยเร็ว โดยให้พนักงานสอบสวนเก็บรวบรวมในสำนวน การสอบสวน

     3. ให้สันนิษฐานว่าบุคคลที่เป็นผู้ขับขี่ซึ่งไม่ยอมให้แพทย์ตรวจพิสูจน์โดยไม่มีเหตุอันควรนั้นมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยให้แพทย์บันทึกการไม่ยินยอมนั้นและแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนคดีตามที่กำหนด

 

กำหนดขึ้นใหม่

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด

 

กรณีตรวจวัดจากเลือด (เจาะเลือด) หากผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร (หรือมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) หรือเกินกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

สำหรับบางกรณี เช่น ผู้ขับขี่ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ผู้ขับขี่ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราว เป็นต้น หรือกรณีผู้ขับขี่ซึ่งไม่ยอมให้แพทย์ตรวจพิสูจน์โดยไม่มีเหตุอันควร ให้สันนิษฐานว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

กรณีตรวจวัดจากลมหายใจหรือปัสสาวะให้เทียบกับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ดังนี้

     1. กรณีตรวจวัดจากลมหายใจ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับ 2,000 (กรณีหากตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจได้ค่าเท่าใดให้คูณด้วย 2,000 โดยให้ผลลัพธ์ที่ได้เทียบเท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ที่ตรวจโดยการเจาะเลือด เช่น หากวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจได้ค่า 0.04 ให้คูณด้วย 2,000 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 80 ซึ่งเทียบได้ว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 80 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร (หรือมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)

     2. กรณีตรวจวัดจากปัสสาวะ ให้ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ในการแปลงค่าเท่ากับเศษ 1 ส่วน 1.3 (กรณีหากตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากปัสสาวะได้ค่าเท่าใดให้คูณด้วยเศษ 1 ส่วน 1.3 โดยให้ผลลัพธ์ที่ได้เทียบเท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ที่ตรวจโดยการเจาะเลือด เช่น วัดปริมาณแอลกอฮอล์จากปัสสาวะ วัดค่าได้ 78 ให้คูณด้วย เศษ 1 ส่วน 1.3 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 60 ซึ่งเทียบได้ว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 60 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร (หรือมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)

 

คงเดิม [เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 21 (.. 2560) ออกตามความใน ... จราจรทางบก .. 2522]

 

(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) 30 มกราคม 2567

 

 

1794

Click Donate Support Web 

Banner GPF720x100 PX

CKPower 720x100

EXIM One 720x90 C J

MTL 720x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

kbank 720x100 66

ธกส 720x100PTG 720x100

QIC 720x100

gen 720x100

AXA 720 x100

TOA 720x100

SME 720x100 66

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!