การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือเอ 0 ณ ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
- Details
- Category: มติ ครม.
- Published: Tuesday, 30 July 2024 23:54
- Hits: 9819
การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือเอ 0 ณ ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 ณ ท่าเรือแหลมฉบังโดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมายตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุน บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ 0 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง (คณะกรรมการพิจารณาฯ) เสนอ
สาระสำคัญ
เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (10 สิงหาคม 2553) มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (คค.) ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนในการดำเนินการตามกฎหมายของโครงการท่าเทียบเรือ และหากพบว่าโครงการใดมีมูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งต่อมา คค. ตรวจสอบแล้วพบว่า โครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นโครงการที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ทำสัญญาลงทุน บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ 0 (สัญญาลงทุนฯ) กับบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด (บริษัทฯ) โดยมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี เริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2577 และเป็นโครงการท่าเทียบเรือที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท จึงต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (ที่ใช้บังคับในขณะนั้น) ซึ่งมาตรา 72 บัญญัติให้ในกรณีที่ปรากฏว่าโครงการใดต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการที่เหมาะสมในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 แต่มิได้ดำเนินการหรือดำเนินการไม่ถูกต้องหรือครบถ้วนในขั้นตอนใด ให้รัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมซึ่งรวมถึงการยกเลิก การแก้ไขสัญญา และการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป ดังนั้น กทท. จึงว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำรายงานวิเคราะห์ด้านกฎหมายและด้านการเงินของโครงการดังกล่าวซึ่งที่ปรึกษาเห็นควรให้สัญญาลงทุนฯ มีผลใช้บังคับต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา เนื่องจากโครงการท่าเทียบเรือ เอ 0 มีอัตราผลตอบแทน (Internal rate of return: IRR) สูงกว่าที่ กทท. คาดหวัง และการยกเลิกหรือแก้ไขสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิพาทจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้ ทั้งนี้ คณะกรรมการตามมาตรา 72 ดังกล่าว (ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานโดยตำแหน่ง) มีมติเห็นชอบการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไปด้วยแล้ว
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า ตามที่สัญญาลงทุนฯ จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2577 ซึ่งตามนัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการร่วมลงทุนภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลง โดยเปรียบเทียบกรณีที่หน่วยงานของรัฐดำเนินการเองและกรณีที่ให้เอกชนร่วมลงทุนเสนอรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าสังกัดอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาร่วมลงทุนจะสิ้นสุดลง ดังนั้น คค. และ กทท. จึงควรศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการที่เป็นไปได้และเหมาะสมสำหรับสัญญาลงทุนดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่สัญญาลงทุนฯ จะสิ้นสุดลง โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะ และผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) 30 กรกฎาคม 2567
7876