WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

กมธ.เปิดโล่งคนนอก นั่งนายกฯ อ้างแก้วิกฤตการเมือง เคาะสรรหา'200 ส.ว.' เลือกจาก'5 กลุ่มผู้นำ'บิ๊กตู่ขู่ปิดหนังสือพิมพ์ บ่นไล่ด่ายันหน้าท้าย

มติชนออนไลน์ :  



อวยพร - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งรูปภาพที่ผ่านโปรแกรมตัดต่อเป็น พ.ต.ท.ทักษิณในชุดซานตาคลอสสีแดง พร้อมอวยพรเนื่องในวันคริสต์มาสและวันปีใหม่ให้กับแกนนำในพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม

    นายกฯแถลงนโยบายขันน็อต ขรก.เฉื่อยแฉะ เผยทำปฏิวัติร้องไห้ทั้งบ้าน ขู่สื่อต้องปฏิรูป ปิดใช้กฎอัยการศึกปิด นสพ. กรรมาธิการยกร่างฯเปิดทาง"คนนอก"นั่งนายกฯ

@ 'บิ๊กตู่'ขันนอตขรก.เฉื่อยแฉะ

     เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 25 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รองนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ร่วมแถลงผลงานในรอบ 3 เดือน ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ต้องการคือทำอย่างไรที่จะขับเคลื่อนประเทศเดินต่อไปได้ ประเทศจะมีความปรองดอง จะทำอย่างไรให้กระบวนการยุติธรรมสามารถนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบได้ และคิดว่าสังคมในประเทศมีความเข้าใจมากขึ้น เพราะรัฐบาลนำเอาปัญหาทั้งหมดมาเป็นโจทย์ในการทำงาน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบที่รัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาอยู่ที่คนว่าจะใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาให้เกิดความสงบสุขได้อย่างไร

    "ขอร้องข้าราชการบางคนที่ทำงานแบบรอเวลา ไม่ยอมทำอะไรเพราะคิดว่าอีกไม่นานรัฐบาลนี้ไปแล้ว คิดอย่างนี้ไม่ใช่คนไทย เดี๋ยวผมจะมีวิธีการตรวจสอบ ข้าราชการต้องไม่นิ่งนอนใจ มีความเห็นต่างได้แต่ต้องยึดประเทศเป็นหลัก ไม่ทำให้ประชาชนแบ่งแยกเป็นฝักฝ่าย วันนี้ขอร้องว่าอย่ารอเวลาเพราะเวลาเราใกล้จะหมดแล้วในเวทีโลก ถ้าปล่อยเวลาอีกต่อไปไทยจะกลายเป็นประเทศที่ล้มเหลว ดังนั้น ใครที่ยังเฉื่อยแฉะ รอเวลา ผมจะไม่ปล่อย การทุจริตผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการ ข้อกล่าวหาที่มีต่อ คสช. ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เงินสลึงเดียวพวกผมไม่เคยได้ ผมไม่มีต้นทุนในการทำงาน ไม่ได้เสียเงินแม้สลึงเดียว จึงไม่ต้องการนำกำไรกลับไป ยืนยันว่าพวกเราทุกคนเข้ามาทำงานด้วยความตั้งใจ ทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ ความรู้ความสามารถ เกียรติยศแต่ละท่าน ผมเข้ามาด้วยชีวิต ผมมีความแตกต่างในเรื่องคุณวุฒิ มีความรู้อาจไม่เท่าพวกพี่ๆ แต่ผมเอาชีวิตเข้ามา" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

@ เผยทำปฏิวัติร้องไห้ทั้งบ้าน

    พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าสิ่งที่ทำในวันที่ 22 พฤษภาคม จัดระเบียบไม่ได้ ตนกลายเป็นกบฏ แล้วได้อะไรขึ้นมา แต่ปล่อยไปไม่ได้เพราะสงสารลูกหลานในอนาคตจะอยู่กันอย่างไร ยืนยันอีกครั้งว่าไม่เคยขัดแย้งกับใคร เพียงแต่ต้องเข้ามาเพื่อระงับความขัดแย้ง และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ทุกคนอาจไม่รู้ว่าอาวุธสงครามเยอะแยะไปหมด อย่าลืมว่ามีคนและของเหล่านี้อยู่ส่วนจะเป็นพวกไหนบ้างก็ต้องไปสอบสวนกันมา วันนี้กระบวนการยุติธรรมต้องไล่ออกมาให้ได้ ใครจะผิดจะถูกก็ให้ชัดเจนออกมาแล้วเลิกกันเสียที จะมาอ้างกันอย่างนี้ไม่ได้ เสียหายทั้งหมดตนไม่ยอม ต้องทำทุกอย่างให้เกิดความชัดเจนในช่วงรัฐบาลนี้เข้ามาทำงาน เราพร้อมรับฟัง บางคืนฟังจนนอนไม่หลับ อย่างเมื่อคืนไม่ได้นอนสักชั่วโมง เพราะคิดว่าทำอย่างไรจะพูดและสร้างความเข้าใจให้คนทั้งประเทศได้ ทำอย่างไรให้ข้าราชการเข้าใจ ซึ่งถ้าทุกคนยังตั้งแง่สร้างความขัดแย้งมันก็ไปไม่ได้ทั้งหมด เราจึงต้องเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง แล้ววางโรดแมปไปข้างหน้า ปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข

    "เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 57 บ้านผมร้องไห้กันทั้งบ้าน แล้วผมไม่ได้บอกใคร ผมบอกพี่ๆ ทีหลังทั้งนั้น แต่มันไม่ได้วันหน้าเกษียณไปก็โดนด่าตายว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร"พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

@ 'บิ๊กเจี๊ยบ'ฟุ้งคน 4.7 พันล.หนุน 

     พล.อ.ธนศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ฝ่ายต่างประเทศเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติ โดยการสร้างความเชื่อมั่นทำทั้งในและนอกประเทศ ร่วมมือกับทุกกระทรวงในการดำเนินการเพื่อนำเสนอต่อประเทศ ยืนยันว่าวันนี้ประเทศไทยอยู่อย่างมีเกียรติ ได้รับความยกย่องเชื่อถือเป็นที่ยอมรับ หลายประเทศให้ความมั่นใจ ให้การสนับสนุนเพื่อก้าวไปข้างหน้าในการพัฒนาให้เป็นไปตามแผนงาน วันนี้ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะไปประเทศใด ต่างได้รับเกียรติไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ และในปี 2558 จะมีผู้นำต่างชาติเดินทางมาเยือนไทยอย่างต่อเนื่อง 

     "ที่ผ่านมานายกฯได้สร้างความเชื่อมั่นต่อต่างชาติได้มาก ยุทธศาสตร์การทำงานกระทรวงการต่างประเทศคือการสร้างความเชื่อมั่น ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลทำงานไปด้วยดี และเอาผลงานเป็นตัวประชาสัมพันธ์ คนทั่วโลกมี 6 พันกว่าล้านคน เราได้แล้วประมาณ 4,700 ล้านคนที่เป็นฝ่ายเรา 100 เปอร์เซ็นต์ คนสนิทแล้วก็จะสนิทมากขึ้น ส่วนคนที่ยังไม่สนิทก็จะสนิท คนที่ต่อต้านก็จะไม่ต่อต้าน ใครที่เคยมีความเห็นไม่ดีเขาก็ไม่พูด แต่หันมาสนับสนุน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือกับหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นการร่วมประชุมหรืออื่นๆ นอกจากนี้อะไรที่เราเสนอทุกคนต่างขานรับอย่างดี" พล.อ.ธนศักดิ์กล่าว

@ กมธ.ยกร่างชง 5 ที่มาส.ว. 

    ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมซึ่งพิจารณาในส่วนของที่มาของวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า 1.จะให้มีจำนวนไม่เกิน 200 คน 2.ให้ ส.ว.เป็นสภาพหุนิยมและพหุอำนาจนิยม เปรียบเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลายจากทุกกลุ่มอำนาจที่มีอยู่จริงในสังคมไทย ไม่ใช่สะท้อนอำนาจของ ส.ส. 3.ไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองและมีที่มา 5 ทาง ได้แก่ 1.มาจากการอดีตผู้นำในอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อาทิ นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา เป็นต้น โดยต้องมีคุณสมบัติที่ไม่ขัดกับข้อกำหนด คือ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง 2.อดีตข้าราชการระดับสูง อาทิ อดีตปลัดกระทรวง อดีตผู้นำเหล่าทัพ 3.ประธานองค์กรวิชาชีพหรือผู้แทนองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับ เช่น ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แพทยสภา 4. กลุ่มภาคประชาชน เช่น สหกรณ์การเกษตรสหภาพแรงงาน องค์กรภาคประชาชน โดยทั้ง 4 ช่องทางจะมาจากกระบวนการสรรหาตามสัดส่วนที่จะกำหนดอีกครั้ง และ 5.ให้มีการเลือกตั้งทางอ้อม ผ่านการเลือกสรรจากสภาวิชาชีพที่หลากหลาย จากนั้นให้นำบุคคลที่ได้รับการสรรหานั้นไปให้ประชาชนลงคะแนนรับรองตามจำนวน โดยวิธีการเลือกตั้งนั้นจะมีการกำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 5 แนวทางเป็นเพียงข้อเสนอที่มีการพูดคุยกันในที่ประชุมยังไม่ได้เป็นข้อยุติ 

@ ติดดาบเพิ่มอำนาจส.ว.อื้อ 

   นายคำนูณ กล่าวอีกว่า สำหรับอำนาจของ ส.ว.ที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาคือ 1.สามารถเสนอร่างกฎหมายได้ โดยเมื่อร่างกฎหมายผ่านชั้นวุฒิสภาแล้วให้ส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณา โดยประเด็นดังกล่าว กมธ.ได้พิจารณาถึงประเด็นการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ ที่จะมาจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญในภาค 4 หมวด 1 ว่าด้วยการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมเพื่อสานต่องานปฏิรูป 2.ให้ ส.ว.ทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ก่อนจะนำความกราบขึ้นบังคมทูล หัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยงานพร้อมกับเปิดเผยการตรวจสอบให้สาธารณะได้รับทราบ โดยประเด็นการตรวจสอบนั้นมีข้อเสนอให้สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ และสมัชชาจริยธรรม ได้ตรวจสอบจริยธรรมของ ส.ส.รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หากพบว่ามีความผิดจริยธรรมสามารถเข้าสู่กระบวนการถอดถอนได้ 3.วุฒิสภาสามารถลงมติร่วมกับ ส.ส.ในกรณีการถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. และข้าราชการระดับสูง โดยให้ใช้เกณฑ์คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้ง 2 สภา ขณะที่อำนาจและหน้าที่ของ ส.ว.เดิม อาทิ การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง การอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ การตั้งกระทู้ถาม ยังคงไว้เช่นเดิม

@ เปิดช่องที่มานายกฯคนนอก 

    นายคำนูณ กล่าวด้วยว่า กรณีที่ให้ ส.ว.ตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้น เบื้องต้นจะกำหนดให้มีเวลาตรวจสอบประมาณ 2 สัปดาห์ โดยประเด็นนี้จะทำให้เกิดความตระหนักก่อนที่นายกรัฐมนตรี จะเสนอชื่อบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. ทาง กมธ.ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่มีการหารือกันว่า ส.ว.ไม่ควรอยู่ยาวและมีวาระเพียง 3 ปีเท่านั้น โดยประเด็นดังกล่าวจะมีการหารือกันอีกครั้ง สำหรับที่มาของนายกรัฐมนตรี ได้ข้อสรุปแล้วว่า นายกรัฐมนตรีจะมีที่มาเหมือนเดิมกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 172 คือ มาจากการเสนอชื่อโดยส.ส. และให้ประธานสภาฯ เป็นผู้นำความกราบขึ้นบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ทั้งนี้ จะไม่บังคับให้นายกรัฐมนตรี ต้องมาจากส.ส. เท่านั้น เปิดช่องให้มีนายกรัฐมนตรีมาจากบุคคลภายนอก เป็นการป้องกันหากอนาคตเกิดเหตุวิกฤตทางการเมือง อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.เท่านั้น โดยธรรมชาติและ ตรรกะทั่วไป เมื่อบัญญัติไว้ว่าให้ ส.ส.เป็นผู้ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี และให้ประธานสภาเป็นผู้นำความกราบขึ้นบังคมทูลฯโดยทั่วไปแล้วนายกรัฐมนตรีน่าจะมาจาก ส.ส.

@ ปัดเปิดทาง'บิ๊กตู่'นั่งต่อ

    นายคำนูณ แถลงข่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า กรณีที่ กมธ.ยกร่างฯเปิดช่องให้คุณสมบัตินายกฯไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. โดยหลักการเห็นว่านายกฯควรจะต้องมาจาก ส.ส. ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯให้ฉันทามติ แต่มีการเขียนเปิดช่องเอาไว้ว่าหากเกิดสถานการณ์วิกฤต สภาผู้แทนราษฎรสามารถเลือกนายกฯที่เป็นคนนอกได้ ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯเห็นว่าการเขียนเช่นนี้เนื่องจากต้องการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต ทั้งนี้ อำนาจของนายกฯยังคงเดิมคืออยู่ในวาระ 4 ปีไม่เกิน 2 สมัยและมีอำนาจในการยุบสภา

   เมื่อถามว่า การเขียนที่มานายกรัฐมนตรีแบบนี้เป็นการเปิดช่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐนตรีต่อหรือไม่ นายคำนูณกล่าวปฏิเสธทันทีว่า กมธ.ยกร่างฯไม่ได้เขียนกฎหมายเพื่อช่วยเหลือใครหรือกลุ่มใดหลุ่มหนึ่ง แต่ยืนยันว่าต้องการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และเป็นธรรมดาที่จะเขียนออกมาแบบไหนจะถูกวิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯพร้อมเปิดรับฟังความวิจารณ์จากทุกกลุ่ม ในทางปฎิบัติคงเป็นไปได้ยากที่คนนอกจะเข้ามาเป็นนายกฯเลย เพราะพรรคการเมืองที่ได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดต้องเอา ส.ส.มาเป็นอยู่แล้ว 

@ อจ.ซัดพาไทยถอยหลัง 36 ปี 

  นางสิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การกำหนดให้ที่มาของนายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจาก ส.ส.ก็ได้ นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะสังคมไทยเดินมาไกลมากแล้ว ที่ผ่านมาวีรชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 ต้องยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อแลกกับการให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. ก่อนจะเริ่มบังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.ได้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นครั้งแรก ข้อเสนอดังกล่าวของ กมธ.ยกร่างฯ จะพาสังคมของเราย้อนหลังกลับไปกว่า 36 ปี เหมือนรูปแบบการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2521 ในยุคสมัยของประชาธิปไตยครึ่งใบ ดังนั้น จึงอยากให้ กมธ.ยกร่างฯ ทบทวนข้อเสนอดังกล่าวอีกครั้ง หรือไม่ก็ทำประชามติถามความต้องการจากประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ มิเช่นนั้นเชื่อได้เลยว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะเสียของแน่นอน 

@ 'สมบัติ'หวั่นหน.สร้างบารมี 

    นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ไม่เป็นไร ที่ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญตีตกข้อเสนอเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง เพราะ กมธ.ปฏิรูปการเมืองมีหน้าที่เสนอความคิดเห็น อยู่ในอำนาจ กมธ.ยกร่างฯที่มีหน้าที่พิจารณาข้อเสนอ หลังจากนี้จะติดตามว่าผลการพิจารณาของ กมธ.ยกร่างฯ แก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศที่มีอยู่ได้หรือไม่ การปฏิรูปต้องเปลี่ยนแปลงจากเดิม ไม่ใช่เหมือนก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลมีอำนาจล้นฟ้าคุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสภา แต่ไม่ท้อเพราะเป็นนักวิชาการ เพียงแต่เห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยนำรูปแบบรัฐสภาประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส มาประยุกต์ใช้แล้ว แต่ทำให้โครงสร้างรัฐสภาล้มเหลว อย่างไรก็ตาม การที่ กมธ.ยกร่างฯเห็นชอบให้มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 200 คนนั้นอาจเป็นช่องทางให้หัวหน้าพรรคเพิ่มอำนาจบารมีคัดเลือกคนที่จงรักภักดีต่อตัวเองมาอยู่ในบัญชีรายชื่อเพื่อให้เป็น ส.ส.ได้ 

@ ปชป.เชื่อตั้งพรรคลูกสู้ 

    นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า เชื่อว่าการกำหนดให้มี ส.ส.250 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 200 คน ทำให้พรรคการเมืองมีปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะในพื้นที่ไหนที่พรรคใดมี ส.ส.เต็มพื้นที่อยู่แล้วจะทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ได้รับเลือก เช่น ภาคใต้ ส.ส.เขตมีคนเลือกประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เสียงของพรรคเลือก 80 เปอร์เซ็นต์ กรณีนี้ทำให้ ส.ส.สัดส่วนโซนนั้นตกหมด ภาคใต้มีโอกาสที่คนลงระบบสัดส่วนไม่ได้รับเลือกตั้งเข้าสภา ส่วนการแก้ไขปัญหา ถ้าพรรคใดจะแก้ปัญหาก็ตั้งพรรคสำรองขึ้นมา เช่น พรรคที่มีเสียงในภาคนั้นๆ มาก ก็เสี่ยงว่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อย จะตั้งพรรคลูกขึ้นมา เพื่อให้ ส.ส.เขตไปลงพรรคลูก พรรคแม่ก็ไม่ส่ง ส.ส.แข่ง จะได้ทำให้ ส.ส.พรรคลูกได้รับเลือก ถือเป็นการลดอำนาจ ส.ส.พรรคแม่ลง แต่ ส.ส.ลงพรรคลูกจะหาเสียงว่าระบบสัดส่วนเลือกพรรคแม่ แต่ระบบเขตเลือกพรรคลูก จะทำให้ได้ระบบพรรคแม่พรรคลูก อย่างไรก็ตามวิกฤตการเมืองจะแก้ไขได้ด้วยระบบวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่เมืองนอกใช้แก้ไขปัญหาได้เพราะเขาอุดช่องโหว่ แต่ไทยมีช่องโหว่ตรงไหนก็ออกทางนั้น ตนได้เรียกร้องอยากให้ออกแบบกลไกถ่วงดุลอำนาจให้มีประสิทธิภาพ แต่กลับออกแบบไม่ได้ จึงคิดแค่เปลือกของประชาธิปไตยคือวิธีได้ ส.ส. ถือว่าคิดง่ายๆ เพราะไม่ใช่เนื้อประชาธิปไตย 

@ พท.โวยหวังลดส.ส.พรรค 

      นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ไม่รู้ว่าเป็นความต้องการที่จะลดจำนวน ส.ส.ของพรรค พท.หรือไม่ โดยให้มีจำนวน ส.ส.น้อยลง หรือพูดง่ายๆ คือจะไปช่วยเพิ่มให้ฝ่ายค้านมี ส.ส.เพิ่มมากขึ้น การเลือกตั้งแบบเขตที่เหลือเพียง 250 คนนั้น จะต้องมีการแบ่งเขตให้ใหญ่ขึ้นแบบเดิมหรือไม่ และที่จะแบ่งโซนการเลือก ส.ส.สัดส่วนนั้น อาจจะเหมือนกับรัฐธรรมนูญ 2550 ให้ ส.ส.ภาคอีสานไปรวมกับภาคกลาง ภาคอีสานไปรวมกับภาคใต้ ซึ่งมั่วไปหมด อยากให้ กมธ.ยกร่างฯอธิบายให้ชัดว่าจะใช้ระบบ รูปแบบใดกันแน่ เป็นเหมือนกับที่เคยใช้ในรัฐธรรมนูญ 50 หรือไม่ สำหรับแนวคิดให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคนั้น ไม่ถูกต้อง จากประวัติศาสตร์การเมือง ส.ส.ไม่สังกัดพรรคก็เป็นเหมือนเบี้ยหัวแตก เกิดวงจรอุบาทว์ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ หากไปเจอ ส.ส.เกเรจะเกิดการซื้อเสียงได้ เท่ากับย้อนไปสู่ยุคเดิม ส.ส.ไม่สังกัดพรรคก็บอกพรรคการเมืองอ่อนแอ แต่พอได้รัฐธรรมนูญ 2540 ให้พรรคและนักการเมืองเข้มแข็ง ถูกกล่าวหาอีกว่าพรรคเข้มแข็งไปก็หาว่าจะไปใช้อำนาจเกินกว่าที่มี ใช้อำนาจไปก้าวก่ายองค์กรอิสระทั้งที่ไม่ใช่ ทางที่ดีควรย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมคือยึดตามรัฐธรรมนูญ 2540

@ กปปส.ค้านบัญชีรายชื่อ 

      นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า กปปส.ยืนยันแนวทางว่า จะต้องไม่มี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะเห็นว่าจะเป็นช่องทางของนายทุนเข้ามาครอบงำพรรคการเมืองได้ ซึ่ง กปปส.ต้องการให้มีการปฏิรูปการเมือง ทำให้พรรคการเมืองเป็นพรรคของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่พรรคที่เป็นของนายทุน 

@ กกต.รับโมเดลเยอรมัน 

      ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง และนายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด 77 จังหวัด 

    นายศุภชัย กล่าวว่า ปัจจุบันองค์กร กกต.ถูกมองว่าไม่มีงานทำ เพราะยังไม่มีการเลือกตั้ง บางคนถึงกับให้กกต.ทั้ง 5 คน ลาออกไป ซึ่งยืนยันได้ว่าที่ผ่านมาทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีอะไรผิดพลาด การปฏิรูปการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต้องทำให้ดีขึ้น ขณะนี้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้มีมติเห็นชอบระบบการเลือกตั้งให้มี ส.ส. 450 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 250 คน ส.ส.สัดส่วน 200 คน และไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง นำระบบเยอรมันมาใช้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ ดังนั้น กกต.ต้องออกแบบกฎหมายเลือกตั้งให้สอดคล้องด้วย และทราบว่าทางเอกอัครราชทูตเยอรมัน ประจำประเทศไทย ได้ตอบรับคำเชิญของ กกต.มาบรรยายเรื่องรูปแบบการเลือกตั้งประมานกลางเดือนมกราคม 2558 ด้วย

@ 'สมชัย'ให้นิรโทษล้ม 2 ก.พ. 

     นายสมชัย กล่าวกรณีที่สำนักงาน กกต.เตรียมจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3,000 ล้านบาท จากบุคคลที่ทำให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะ ว่า สื่อพยายามถามว่าจะดำเนินคดีกับใคร ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบ เพราะ กกต.ยังไม่ได้ตัดสินเรื่องนี้ เรื่องทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมหลักฐานของฝ่ายสำนักงาน แต่จะมีการเสนอเข้าที่ประชุม กกต.ปลายเดือนมกราคม 2558 ซึ่งที่ต้องรีบดำเนินการเพราะว่าไม่ต้องการให้คดีหมดอายุความ 

     "ถามว่าไม่ฟ้องได้หรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่ได้ เพราะเท่ากับว่า กกต.จะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฟ้องแล้วเกิดความวุ่นวายหรือไม่ แน่นอนว่าต้องเกิดแรงกระเพื่อม รองนายกรัฐมนตรีออกมาบอกว่าสังคมต้องการความสงบ ต้องช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ ผมตอบกลับได้เลยว่า ถ้ารัฐบาลอยากสงบ รัฐบาลก็ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ล้างมลทินว่าการกระทำนี้ไม่ถือว่าเป็นความผิด เหมือนกับไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เราทำคนละบทบาทหน้าที่ การรักษาความสงบรัฐบาลก็มองไกลอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่เราเป็นผู้รักษากฎหมายเราก็ต้องทำตามหน้าที่ ซึ่งอาจโดนบูมเมอแรงตีกลับบ้าง แต่เราคงไม่ฟ้องกันเอง หรือถ้าใครจะฟ้อง กกต.ก็ไปฟ้องเอา" นายสมชัยกล่าว

3 เดือน'บิ๊กตู่' ปักธง'มั่นคง-มั่งคั่ง-ยั่งยืน'

  หมายเหตุ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำทีมรองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ร่วมแถลงผลงานในรอบ 3 เดือนการทำหน้าที่ของรัฐบาล โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง

    ผมยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้มาแถลงผลงานรัฐบาลในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงปัจจุบัน ดำเนินการต่อเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือเป็นการทำงานควบคู่กันไป ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะทราบกันดีว่าปัญหาของประเทศมีจำนวนมาก ซึ่งบางอย่างแก้ไขโดยระบบราชการปกติได้ แต่บางอย่างต้องอาศัยอำนาจพิเศษในการดำเนินการ แต่ทั้งหมดก็ทำให้สถานการณ์เรียบร้อยดีขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งที่ทำมาทั้งหมดยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับจะทำให้ประเทศมีความมั่นคง ยั่งยืนในอนาคต ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน

    การทำงานของรัฐบาลประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนของนโยบาย การขับเคลื่อน และการปฏิบัติ ซึ่งต้องประสานสอดคล้องกันให้ได้ วันนี้รัฐบาลมีหน้าที่ 3 ประการคือ 1.การรักษาความสงบเรียบร้อย ที่ใช้ทั้ง คสช.และส่วนราชการปกติดำเนินการอยู่ 2.การขับเคลื่อนบริหารประเทศ เป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล โดยมี คสช.เป็นผู้ช่วยเหลือ โดยใช้ระเบียบวิธีการบริหารราชการตามปกติ เพียงแต่เพิ่มเติมปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้บูรณาการประสานงานสอดคล้องมากขึ้น และ 3.การปฏิรูปและการร่างกฎหมายต่างๆ

     ทั้ง 3 ประการจะต้องเดินไปตามโรดแมปที่วางไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่กำหนดไว้ ทั้งการเลือกตั้งและสิ่งต่างๆ ที่มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญทั้งหมด ยืนยันว่าผมไม่ได้ต้องการยืดเวลา ทั้งหมดอยู่ที่ทุกคน ไม่ใช่โยนมาที่ผม ผมเข้ามาเป็นกรรมการ เข้ามาเป็นครูใหญ่ มาแนะนำให้เกิดความรวดเร็วขึ้นในการทำงานเท่านั้น อาจจะมีความเป็นทหารมีความรวดเร็วอยู่บ้าง บางครั้งอาจไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่สั่งงานหรือนโยบายลงไปก็มักนอนไม่หลับ กว่าจะคิดศึกษารายละเอียดได้ต้องทำการบ้านมากพอสมควร วันนี้อยากบอกว่า อย่ากังวลว่าจะใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนหรือชื่อเสียงประเทศชาติจากสายตาคนภายนอก วันนี้จำเป็นต้องแก้ปัญหาประเทศให้ได้เพื่อยืนหยัดในเวทีนานาชาติได้ในอนาคต ถ้าไม่เริ่มวันนี้วันหน้าก็ไปไม่ได้

     3 เดือนที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ รัฐบาลแบ่งงานออกเป็น 3 ระยะ ขณะนี้ถือว่ายังอยู่ในระยะเร่งด่วน และกำลังเข้าสู่ระยะที่สอง คือระยะกลาง เป็นช่วงของการปฏิรูปด้านต่างๆ และระยะที่สามคือ ระยะยาวอย่างยั่งยืน การทำงานต้องสอดคล้องประสานกันทั้ง 3 ระยะให้ได้

     ปัจจุบันการดำเนินการระยะที่ 2 คือการปฏิรูป มีเวลาไม่มากก็ต้องช่วยกันทำและแก้ไขกันไป ต้องเร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ถ้ามัวแต่มุ่งเน้นถึงผลประโยชน์ ความขัดแย้งของตนเอง การปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องสุจริต ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบธรรม จะยิ่งเป็นการสร้างความขัดแย้งให้กับประเทศ ความไม่สงบสุขก็จะยังเกิดขึ้น วันนี้ต้องใช้วิกฤตเป็นโอกาสให้ได้ เพราะเป็นโอกาสสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชาติไปสู่ความมั่งคงและยั่งยืนในอนาคต หากเอาความขัดแย้งทั้งหมดมาเขียนอาจมีมากเป็น 100 เรื่อง แต่บางเรื่องอาจจะเห็นตรงกันแล้ว ก็ต้องหาทางลงให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยแก้ปัญหาที่เหลืออยู่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีวันจบ ทุกประเทศในโลกแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมและโปร่งใส ในเมื่อมีศาล มีองค์กรอิสระ ก็ต้องให้ทำหน้าที่ที่ได้รับความเชื่อมั่นและเชื่อถือ โดยให้อิสระในการทำงาน

      การทำงานในกระบวนการยุติธรรมนั้นยาก ก็ต้องให้กำลังใจกับกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ต้องไม่ใช้กฎหมายที่มีอยู่ไปมีอำนาจเหนือประชาชน ซึ่งถ้าสามารถสร้างความยอมรับ ความเชื่อมั่นได้ก็จะทำให้ประชาชนลดความขัดแย้งลงได้ ขณะเดียวกันต้องสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศด้วย เพราะทุกวันนี้โลกเป็นประชาคมแล้ว ปีหน้าไทยก็จะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน จะคาบเกี่ยวทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา วัฒนธรรม จึงต้องเร่งสร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเข้มแข็งในอาเซียนให้ได้ ทุกประเทศในอาเซียนชื่นชมประเทศไทย อยากให้ประเทศไทยมีความสงบสุข ทุกประเทศก็พร้อมร่วมมือกับเราทุกอย่าง จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน

    ได้กำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศว่า อีก 5 ปี ประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศที่มั่นคง ประชาชนมั่งคั่งและยั่งยืน ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราต้องนำประเทศให้ก้าวข้ามกับดักประชาธิปไตยให้ได้ ที่ผ่านมาติดกับดักมานานมากแล้ว จากปี 2475 มีการเปลี่ยนแปลงและมีการปฏิวัติรัฐประหารมาหลายครั้ง จำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ประชาชน และทุกภาคส่วนให้ได้ บางคนมองว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อยากให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงเรื่องกายภาพ คือดูเหมือนมีความเรียบร้อย ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีการประท้วง แต่สิ่งที่ยังเป็นสาเหตุหรือต้นเหตุยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคล อาวุธสงคราม ตราบใดสิ่งเหล่านี้ยังไม่ยุติ ต่อยอดความขัดแย้งไม่เลิก กระบวนการยุติธรรมยังไม่สิ้นสุด ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เช่นเดิม

    ในเรื่องของการสร้างประชาธิปไตย กับต่างประเทศนั้นดีขึ้น วันนี้เมื่อมีใครมาวิพากษ์วิจารณ์ ได้ตอบไปว่าเรากำลังแก้ปัญหา เพื่อเดินหน้าประเทศอยู่ ทุกอย่างกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ก็ตอบไปแค่นั้น ยิ่งตอบมากไปก็บานปลายไปเรื่อย ไม่ใช่ธุระ ผมคิดว่าเราไปช่วยเหลือกับต่างประเทศ 200 กว่าภารกิจที่ไปทำงานต่างประเทศ งานสันติภาพใช้คน 3-4 หมื่นคน ทหารก็ไปช่วยหมด ได้รับคำชื่นชมมาโดยตลอด แล้วเราจะปฏิรูปประเทศเราเองไม่ได้หรืออย่างไร ทำไมจะต้องมาวุ่นวายกับเรามากนัก ขอเวลาให้เราทำให้คนไทยบ้างไม่ได้หรือ

     วันนี้ ต้องเพิ่มศักยภาพทั้งการค้า การท่องเที่ยว ความมั่นคง ความปลอดภัย ทกอย่างต้องปฏิรูปและปฏิวัติใหม่ทั้งหมด บางอย่างเพียงแค่ร่วมมือกัน ลดละอัตตาตัวเองลงไป วัฒนธรรมองค์กรหรือวันสำคัญในหน่วยงาน มีไว้ให้ภูมิใจในกระทรวง ในกรม แต่เวลาเจอกันข้างนอกไม่ใช่ไปตีกันเหมือนอาชีวะ ต้องเอาวัฒนธรรมแต่ละที่ที่งดงามมาเชื่อมต่อกันให้ได้แล้วทำงานร่วมกัน วันนี้ทุกอย่างต้องร่วมกันหมด

    การศึกษาก็เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้ตำหนิการศึกษา แต่ตำหนิรัฐบาล เราเอาแต่ของใหม่เข้ามา ของเก่าหายหมด ผมไปไล่สอนลูกให้ทำบัญญัติไตรยางค์ ปรากฏว่าทำไม่ได้ ตอนเรียนไม่ได้สอนแบบนี้ เขาเคยแต่เติมช่องว่าง คนก็เลยหนีวิชายากๆ ไปหมด ไปเรียนศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เพราะเรียนเลขแล้วปวดหัว แต่ไม่ใช่ผมยึดติดกับของเก่า ของใหม่บางอย่างก็ดี เราจำเป็นต้องแข่งขันกับต่างประเทศ แต่คนทั้งประเทศจะไปแข่งขันกับเขาหมดก็ไม่ได้ ต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งคือ เรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิดและความเข้าใจ บางคนพูดยังไงก็ไม่เข้าใจ ป้อนให้เขามาตลอด ไม่ได้สอนให้คิด ดังนั้น ต้องสอนให้เขาคิดเป็น

    วันนี้ เกษตรกรทำไมถึงรายได้น้อย เพราะค้าขายไม่ได้ ไม่รู้เรื่องการตลาดอะไรเลย ผมได้สั่งให้ทุกกระทรวงไปทำตลาดชุมชนขึ้นมา ส่วนนายทุนจะซื้อก็ซื้อไป แต่ก็จะมีการคัดส่วนที่ดีและไปยังตลาดที่จัดไว้ให้ เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องคิดใหม่ทั้งหมด ถ้าไม่สอนประเทศก็ไปไม่ได้ ก็จะรอแต่เมื่อไรจะไปอุดหนุน ถามว่าต้องอุดหนุนกันเท่าไร วันนี้ข้าวยังขายไม่ได้อีกกว่า 7 แสนล้านบาท แล้วจะทำอย่างไร แล้วจะอุดหนุนไปถึงเมื่อไร ส่วนเรื่องของยางพารานั้น กำลังดูว่าเงินที่ให้ไปแล้วถึงมือหรือไม่ ทำไมถึงช้า เพราะบัญชีไม่เรียบร้อย ไม่ได้ตรวจสอบกันมาทุกรัฐบาล พอจะไปจ่าย บัญชีไม่เคยเคลื่อนไหวมาเป็น 10 ปีแล้ว ก็ไม่กล้าจ่าย วันนี้ทุกกระทรวงต้องมาร่วมกันขึ้นทะเบียน ไม่ใช่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อย่างเดียว กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง ต้องมาร่วมมือกัน แต่ก็ยังช้า เพราะจะจ่ายอะไรก็กลัวทุจริต เจ้าหน้าที่ไม่กล้าจ่าย วันนี้ต้องจ่ายให้ทัน มีเวลาให้จ่าย ถ้าจ่ายไม่เสร็จก็มีเรื่องอีก หากเอาแต่กลัวทุจริตแล้วทำไม่ได้ นโยบายจะออกมาทำไม งบประมาณก็ขับเคลื่อนไม่ได้ ในเมื่อเป็นข้าราชการ แต่งตั้งมาให้แก้ปัญหา ไม่ใช่รับประโยชน์ การเป็นผู้บังคับบัญชาคน งานต้องเยอะขึ้น ไม่ใช่สบายขึ้น ต้องฟิต บริหารทุกวัน ไม่ใช่อะไรก็ทำไม่ทัน

   เรื่องยางเราต้องไปดูว่าเหมือนกับประเทศอื่นหรือไม่ ราคายางวันนี้กิโลกรัมละ 60 บาท เพียงพอหรือไม่ เลี้ยงดูครอบครัวได้หรือไม่ ก็ต้องไปดู เพราะบ้านเราเป็นอย่างนั้น การแก้ปัญหาต้องลงรายละเอียดให้หมด วันนี้เรากำลังทำอยู่ทั้งหมด แต่ทำอย่างไรถึงจะยกระดับให้ได้ ซึ่งจีนบอกว่าช่วยซื้อยางเพราะเห็นความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลและประเทศไทย โดยระบุด้วยว่าจะรับซื้อเป็น 2 เท่า ผมขอให้ราคาเท่านี้ได้หรือไม่ เขาตอบว่าบ้านเขายังไม่ถึงราคานี้ แต่จะทำอย่างไรก็ต้องคิดกันต่อ แต่เราต้องมีความเข้มแข็ง สร้างโรงงาน ทุกปีเราใช้ยางในประเทศ 10 เปอร์เซ็นต์ และอีก 90 เปอร์เซ็นต์ จะรอขายหรือ แล้วจะขายได้หรือไม่ โดยทุกประเทศแก้ปัญหาโดยปลูกยางในพื้นที่ที่ใช้ต้นทุนแรงงานต่ำ ไม่จำเป็นต้องมาซื้อกับไทยก็ได้ วันนี้เราต้องสร้างความสัมพันธ์ให้เขามาซ้อของจากเรา ต้องง้อเขา ไม่ซื้อก็เน่าอยู่ในนั้น เศรษฐกิจทั้งประเทศยุบหมด วันนี้เราทำทุกอย่าง

     เรื่องรัฐวิสาหกิจ ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่กำไรทุกอัน บางอันขาดทุนก็ได้ เพราะเป็นการให้บริการ แต่ประชาชนจะพึงพอใจหรือไม่ก็ต้องปรับแก้ ขาดทุนก็คือขาดทุน อันไหนกำไรก็นำมาชดเชยที่ขาดทุนไป รมว.คลังปวดหัวทุกวัน ทุกคนจะเอานู่นเอานี่ แล้วจะเอาเงินจากไหน ต้องไปปรับระบบ โครงสร้างภาษีก็โดนอีก ทุกคนเอาหมดแล้วบอกเป็นหน้าที่รัฐบาลไปหาเงินมา แล้วจะไปขุดมาจากไหน ก็ต้องภาษีให้เป็นธรรม อันไหนออกมาแล้วก็ให้ออกมาก่อน ถ้ามันเดือดร้อนก็ชะลอได้ รัฐบาลนี้ชะลอหมด หลายอย่างมันต้องขึ้นมาหลายปีแล้ว เราก็ดึงเอาไว้ พอวันนี้ขึ้นก็บอกว่าประชาชนเดือดร้อน แล้วจะให้ทำอย่างไร ให้เขาเจ๊งหรืออย่างไร เราต้องดูมหภาคด้วย ดูตัวเราว่าเราได้อะไร วันนี้พูดให้ตายถ้าไม่ถึงใครคนนั้นก็ด่าเอา เราต้องสอนให้เขามองภาพที่ใหญ่กว่าตัวเขา ประเทศจะไปอย่างไรต้องช่วยกัน ปัญหาเยอะแยะหลายประการ จะถูกจะผิดไปว่ากัน ใครเจตนาดีแต่ผิดกฎหมายก็ไปว่ากัน ถ้าเจตนาไม่ดีแล้วผิดกฎหมาย กฎหมายก็เมตตาไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกัน เสียสละแบ่งปันให้บ้านเมืองงดงามเหมือนในอดีต

    อย่าให้ต้องสร้างประเทศใหม่แล้วทำลายวัฒนธรรมเก่า เมื่อไหร่ที่เรามีเสรีภาพแล้วจะว่าใครก็บอกเสรีภาพ จะด่าผมถึงโคตรเหง้าศักราช ก็บอกว่าเป็นเสรีภาพ มันใช่ไหมเล่า คนเราต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผมเป็นนายกฯแล้วไม่มีสิทธิหรือ ต้องอดทนทุกอย่างเพราะเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร ผมไม่ได้อยากเป็น ถ้าทุกคนให้เกียรติซึ่งกันและกันก็จบ วิพากย์วิจารณ์ในสิ่งที่เหมาะสม ไม่ใช่ไล่ล่าฆ่าฟันจะจับบุตรสาวผมบ้าง ประเทศไทยมันเป็นอย่างนี้หรือ ผมถามว่าประเทศอื่นมีหรือไม่ โซเชียลมีเดียแบบนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาบอกผมว่า ถ้าเขาเชื่อโซเชียลมีเดีย เขาจะคบกับใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เขาต้องมีสติ และผมถามว่า ท่านให้เกียรติรัฐบาลไทยแค่ไหน ท่านบอกว่า ท่านจะพูดกับรัฐบาลประยุทธ์ เพราะเราเป็นทหารเก่าด้วยกัน รู้ใจกันว่าทำอย่างไรแล้วประชาชนมีความสุข แต่ผมต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทรัพย์สมบัติและทรัพยากรที่อยู่ในพื้นที่ที่ปัญหา คุยได้ก็คุย คุยไม่ได้ก็ให้มันอยู่ในดิน 5,000 ปีก็ทิ้งไป คุยได้เมื่อไหร่เขาพร้อมคุย เราคุยเปิดเผย ผลประโยชน์ เขตแดนว่ากันทีหลังได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็อยู่แบบนี้ไป

    การทำอะไรต่างๆ ต้องสอดคล้องกันหมด เช่น เปลี่ยนการปลูกพืชต้องหาพืชทดแทน ต้องไม่มีแล้งซ้ำซากอีกแล้ว ปีนี้จะปรับงบประมาณลงพื้นที่แล้งซ้ำซากให้หมด ใช้ระยะเวลาที่มีอยู่ทำโครงสร้างใหญ่คงไม่ได้ ต้องปรับลดในส่วนที่เกิดประโยชน์กับประชาชนก่อน ทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ชลประทาน บางคนบอกทำไมไม่เพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 25 เปอร์เซ็นต์ แล้วตอนนี้มีต้นทุนน้ำเท่าไหร่ ไม่ให้ทำนาปรังก็จะทำ จ้างงานก็ไม่เอา บอกว่าเหนื่อย แล้วจะไปอย่างไร เราต้องสร้างความเข้าใจ ผมไม่ได้บังคับคนแก่มาขุดดินขุดหญ้า ให้ลูกหลานมาทำคนแก่ก็อยู่เฝ้าบ้านไป วันนี้การเกษตรพ่อแม่เป็นคนทำ ลูกเข้าเมืองหมดแล้ว แล้ววันหน้าใครจะมาทำวันนี้ต้นทุนมันสูงเพราะใช้โทรศัพท์สั่ง เราต้องมาคิดว่ารวมนาอย่างไรให้เป็นผืนใหญ่ ลดค่าเช่านา จดทะเบียนก็ไม่อยากจด แล้วก็แก้อะไรไม่ได้ ส่วนปัญหาที่ดินทำกิน กระทรวงที่เกี่ยวข้องกำลังแก้อยู่ โดยมี 2 อย่าง อันไหนที่ครอบครองอยู่แล้วก็ครอบครอง แต่จะมอบให้ทำกิน ไม่ได้ให้เป็นเจ้าของ ผมไม่เอาที่หลวงมาให้บุกรุก แต่ถ้าอยู่แล้วสร้างป่าแล้วทำกินด้วย ไม่ใช่แบบเดิมคือเป็นชุมชน ต้องจัดที่ดินทำกินใหม่ วันหน้าอยากให้รัฐบาลมาจัดแจกก็เชิญ มีอยู่ 5 แสนกว่าไร่หมดแล้ว ประเทศไทยมีเท่านี้ บางคนมีที่เยอะเพราะเขาซื้อไป ถ้าถูกกฎหมายก็ให้เขาไป แต่ทำอย่างไรให้เขาเผื่อแผ่แบ่งปัน เรากำลังออกกฎหมายภาษีที่ดินเพื่อให้กระจายปล่อยออกมา ถ้าเขาไม่ทำกิน เก็บไว้ ก็ต้องเสียภาษีมาก นี่คือวิธีการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน อะไรที่เป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับคนจนต้องใช้ทั้ง รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ เรากำลังใช้พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้ง 3 อำนาจ หากคนใช้ไม่เป็น ต้องหาคนใช้ให้เป็น โซเชียลมีเดียกว้างไกลคุมไม่ได้ เราต้องใช้ปรับปรุงระบบไอซีที เราต้องพัฒนาในเรื่องของเศรษฐกิจดิจิตอล

   ต่อไปนี้อีก 3 เดือนข้างหน้าผมจะกำหนดจุดประสงค์ที่ต้องการ ทุกกระทรวงต้องทำตามให้ได้ วิธีการสอน ตำราจะเปลี่ยนอย่างไร กีฬาเริ่มอย่างไร ไม่ใช่โหมประโคมกันไป ได้ถ้วยได้เหรียญ จากนั้นก็ลืมเขาไป อย่างนักแบดมินตันเป็นอย่างไร ระยะหลังแพ้ตลอด ดังนั้น ต้องเอาเขากลับมาเรียนรู้ สร้างความเข้มแข็ง ไม่ใช่ผลักดันเขาไปเรื่อยอย่างนั้นไม่ไหว ดังนั้น การสร้างนักกีฬาไทยไม่ได้สร้างจากสมาคม เป็นหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไปหามา พวกมีพรสวรรค์ ต่อไปนี้ทุกสมาคมเงินมากทำมาก เงินน้อยทำน้อย ไม่มีขอรัฐบาล ทุกกระทรวงต้องไปผลิตนักกีฬามา มาแข่งกันใครชนะเลิศเอาคนนั้นเป็นตัวแทน ที่ผ่านมาสมาคมฟุตบอลทำไม่ได้ แต่ที่ทำได้เพราะวันนี้เกิดไทยพรีเมียร์ลีกขึ้นมา ไปคัดจากไทยพรีเมียร์ลีกเข้ามา กระทรวงศึกษาธิการภาคไหนไม่อยากเรียนให้เปลี่ยนเป็นห้องกีฬา ปรับหน่วยกิตให้เขา เล่นกีฬาให้เก่งแล้วกัน สร้างกันตั้งแต่เด็ก ภาคใต้ทำได้เลยเพราะมีคนเรียนน้อยมาก หาครูกีฬาลงไป เด็กชอบเล่นกีฬา ภาคใต้จะได้สงบ เขาได้เล่นในสิ่งที่เขาได้ระบาย มันแรงมีขับเคลื่อน อยากให้คิดแบบนี้ คิดนอกกรอบกันบ้าง

   ขณะนี้เราต้องแก้โครงสร้างพลังงานให้สอดคล้องกับน้ำมันข้างนอก มีคนถามว่าทำไมราคาน้ำมันข้างนอกลดลง 50 แต่ของเราทำไมไม่ลดลง 50 ผมถามว่าน้ำมัน 1 บาร์เรล มันทำดีเซลหรือเบนซินได้ทั้งหมด 1 บาร์เรลหรือไม่ ซึ่ง 1 บาร์เรลมันทำได้ไม่เท่าไร เพราะต้องแยกไปตั้งหลายอย่าง บางอย่างขาดทุนบ้าง กำไรถัวเฉลี่ยกันไป ต้องบวกค่ากลั่น บวกภาษีสรรพสามิตอีก ยุบไปทั้งหมดแล้วอย่างไรก็ไม่ลด วันนี้ต้องสร้างทั้งระบบ ขนส่งมวลชน รถเมล์ ซึ่งจะมีการปรับทั้งหมด แต่จะทันหรือไม่ยังไม่รู้เลย เรื่องการประมูลรถเมล์ผมอยากให้เร็วกว่านี้ ปีหน้าควรจะมีรถเมล์คันใหม่วิ่งในกทม.บ้าง มีทางลาดให้คนพิการ ต้องนึกถึงเขาบ้าง ถ้าบอกว่าต้องตรวจสอบให้ดีก่อนคิดว่าชาติหน้า แต่ถ้าซื้อแล้วทุจริตไม่ยอม วันหน้าต้องไปสร้าง ต้องการ 4,000 คัน วันนี้ซื้อมา 300 คันก่อน ต้องทำให้ได้อย่างนี้ ไทยเองต้องเป็นศูนย์กลางในเรื่องของการขนส่ง วันนี้สิ่งที่ต้องทำคือ แก้ปัญหาระยะสั้น ระยะยาวอย่างยั่งยืนส่งต่อไปยังรัฐบาลต่อไป ใครจะทำทำไป จะมีกฎหมายให้เขาทำได้ให้ว่ามา จะองค์กรไหนไปทำให้เขียนมา จะเขียนตรงไหนตนไม่รู้ อย่างไรก็ไม่อยู่ด้วยอยู่แล้ว ไม่ไหว

    วันนี้ เราทำงานเหมือนกับเราเป็นทีมฟุตบอล 1 ทีม เพื่อได้รับรางวัลชนะเลิศมา 1 ทีม มีทั้งกองหน้า กองกลาง บางทีกองหลังก็โหว่บ้าง บางครั้งกองหน้าก็แหลมไปบ้าง ผมก็เหมือนกองหน้าเหมือนกัน หน้าแหกตลอดเวลา แต่วันนี้เห็นพี่เลี้ยงของผมอยู่รวมกันที่นี่ทั้งหมดผมก็มีกำลังใจที่จะไปสู้กับเขา วิธีการนำเสนองานของรองนายกฯ แต่ละท่านวันนี้ก็แตกต่างกัน บางคนก็เหมือนชกมวยไทย บางคนก็เหมือนชกมวยสากล อาทิ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เหมือนมวยไทย ไหว้พระสวยงาม พูดไม่ผิดเลยเป็นตัวอย่างของภาษาไทยเข้มแข็ง ส่วนผมพูดผิดตลอดพูดเร็ว

    สรุปการทำงานวันนี้ประเทศไทยต้องมีความเข้มแข็งและทันสมัย เพิ่มนักวิจัย ค้นคว้าและเทคโนโลยี โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ต้องเป็นหลักเราจะต้องเอาวิทยาศาสตร์มานำประเทศ จึงจำเป็นต้องมีนักวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้น ต้องมีการเรียนรู้ไม่ใช่เรียนเลขแล้วปวดหัว ต้องสอนคนให้มีความคิด มีกระบวนการและวิสัยทัศน์ เข้าใจอย่างมีเหตุและผล ไม่ใช่วันนี้แถลงเสียเวลาไป 4 ชั่วโมง ทั้งง่วงและหิว แต่สุดท้ายก็มีคำถามว่าจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ นายกฯจะมาจากตรงไหน ต้องทำให้ประเทศมั่นคงและแข็งแรงถึงวันนั้นใครจะเข้ามาเป็นนายกฯ ก็ได้ เอารูปปั้นมาตั้งเป็นนายกฯยังได้เลย ถ้าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน วันนี้เราต้องให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!