WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Somkit

 

'สมคิด'โชว์ตัว ทำเนียบ ป้อมชี้ปรับครม. แล้วแต่นายกฯตู่ 'สมชัย'โวยกมธ. แฉตีตกข้าวมาร์ค ปปช.อ้างไม่มีมูล

     'สมคิด'โผล่ทำเนียบ บิ๊กป้อมปัดทาบนั่งรมต. 'บิ๊กตู่'โวยสื่อปูดกันเองปรับครม. กำชับ'รมต.-ขรก.' สร้างผลงานที่จับต้องได้ ป.ป.ช.เปิดเซฟ 'ครม.ปู-อดีตส.ว.' ขู่ฟัน 'จารุพงศ์'ไม่ยื่นบัญชี แฉปมป.ป.ช.ตีตกคดีข้าวยุคมาร์ค ระบุข้อกล่าวหาไม่มีมูล สมชัยโผล่จวก 'กมธ.'ร่างรธน.ไม่ได้เรื่อง เหตุริบใบแดง-ให้ศาลแจกหลังรับรองผล

 

 

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 8998 ข่าวสดรายวัน

 

 

      ร่วมประชุม - นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคสช. เข้าร่วมประชุมแก้ปัญหาประมง ร่วมกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ท่ามกลางกระแสข่าวถูกทาบทามเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 17 ก.ค.

 

'ตู่'โวยสื่อปูดกันเองปรับครม.

      เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะรมว.คลัง และรมว.เกษตรและสหกรณ์ว่า ไม่ตอบแล้ว ไม่เอา ไม่ขอตอบ กระแสข่าวที่ออกมาเพราะพวกสื่อเขียนกันเอง ตนอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ตนยังไม่ได้พูดสักคำ

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าขณะนี้ยังไม่มีการปรับครม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าไม่รู้ ไม่แสดงอะไรทั้งสิ้น พูดอะไรไปเดี๋ยวสื่อก็บอกว่าที่บอกว่าไม่รู้ แสดงว่าแตกต่างจากคำว่าไม่ปรับ ก็จะมาตีความกับตนอีก เอาเป็นว่าเดี๋ยวตนจัดการของตนเอง

 

ปัดไม่มีชื่อ'สมคิด-ประสาร'

      เมื่อถามว่ามีชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคสช.และประธานที่ปรึกษานายกฯด้านเศรษฐกิจ และนายประสาร ไตรรัตน์ วรกุล อดีตผู้ว่าฯธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าสื่อจะสมัครหรือไม่ ก็มีความรู้ จบปริญญากันมาทั้งหมด เมื่อถามย้ำว่ามีชื่อนายสมคิดใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่มี ยังไม่มีข่าว เป็นข่าวของพวกคุณ ไม่ใช่ข่าวผม และไม่มีชื่อของคุณประสารด้วย ไม่มีใครทั้งนั้น ยังไม่มี มีก็อยู่ในใจผม ทำไมต้องบอก"

เมื่อถามว่าแสดงว่ามีแนวโน้มที่จะปรับครม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าไม่มี ฝนยังไม่ตกเลย เค้าฝนมาหรือยัง เค้ารางยังไม่มา เปลี่ยนเรื่องอื่นเถอะพอแล้ว

 

เร่งสร้างผลงานที่จับต้องได้

     ต่อมาเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยตอนหนึ่งว่า วันนี้การเดินหน้าของรัฐบาล ของคสช.มาสู่ระยะที่ 2 ก็เหลือระยะที่ 3 ที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องของการมีรัฐบาลต่อไป เมื่อมีความพร้อมขอรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ การเลือกตั้ง ก็เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิม แต่สิ่งที่ตนเร่งรัดขณะนี้คือเร่งรัดการดำเนินการทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้ทำงานได้ผลสัมฤทธิ์ในทุกกิจกรรมที่นายกฯ หรือครม. สั่งการไปแล้ว ต้องจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ความพึงพอใจของประชาชน หรือตรงกับความต้องการของประชาชน โดยรับฟังความคิดเห็นแล้วหาความร่วมมือให้ได้ อย่าให้มีความขัดแย้งกันอีกต่อไป 

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่าอยากให้รัฐมนตรี ข้าราชการตั้งแต่ปลัดกระทรวงลงไปเร่งรัดดำเนินโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลในเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุนประเทศด้วย ที่ผ่านมานั้นเราได้แก้ไขกฎระเบียบต่างๆ แก้ไขกฎหมายทันสมัย ลดขั้นตอน ลดระยะเวลาต่างๆ ไปเรียบร้อยหมดแล้ว วันนี้ต้องมาดูว่ากิจกรรมที่สั่งไปแล้วไม่ว่าเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ การลงทุน เทคโนโลยี หรือเรื่องที่เป็นปัญหาของประเทศทั้ง 5 กลุ่มงาน ทุกกระทรวงต้องสรุปรายงานผลให้ตนทราบได้ภายในเดือนก.ย.นี้ เพื่อจับต้องได้เป็นรูปธรรม แล้วตนจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในเรื่องการบริหารราชการ การกำหนดนโยบายเพิ่มเติมเพื่อให้ทันเวลาที่มีอยู่และเตรียมส่งมอบรายละเอียดที่เหลือให้กับคณะปฏิรูปหรือสวช. ซึ่งต้องรับไปแล้วทำต่อให้เรียบร้อยในเรื่องการแถลงการณ์ปฏิรูปในอนาคตในรัฐบาลจากการเลือกตั้ง

 

ลั่น"รมต.-ขรก."ต้องทำให้ได้

     "ผมขอเร่งรัดให้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เราได้กำหนดโจทย์ไปแล้ว วิธีบริหารจัดการและแก้ไขข้อติดขัดไปให้แล้ว ฉะนั้นอยู่ที่จะทำอย่างไร มันจะสำเร็จเมื่อไร ระยะที่ 1 คือเสร็จไปแล้ว คสช. ระยะที่ 2 คือตอนนี้ถึงก.ย. ผมสรุปแค่นั้นก่อนตามโรดแม็ป ที่เหลือจากนั้นก็ไปเดินหน้าในรัฐบาลต่อไป ถ้ามันเกิดขึ้นตามโรดแม็ป ดังนั้น ต้องเตรียมการตั้งแต่บัดนี้"พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ขอแจ้งเตือน ตนจะพิจารณาเป็นรายกระทรวง ทุกกระทรวง ทั้งในส่วนการเมือง ข้าราชการการเมือง ต้องจำด้วย ต้องชี้แจงได้ทุกอย่าง ขอให้รองนายกฯ รัฐมนตรี ข้าราชการทุกกระทรวงร่วมขับเคลื่อนมาให้ได้ ตอบคำถามให้ได้ ระยะที่ 1-2 ทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง ที่ผ่านมาทุกคนรู้แต่ปัญหา รัฐบาลใดรู้ปัญหาทั้งหมดแต่ทำไม่ได้ หรือทำไม่ได้เท่าที่ควร ไม่มีประสิทธิภาพ มันติดขัดหลายเรื่อง กฎหมาย กติกา สัญญาต่างๆ ซึ่งแก้ให้หมดแล้ว ปัญหาก็ต้องหมดไป ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าอะไรจบไปแล้วบ้าง ต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน

 

บิ๊กป้อมย้ำไม่รู้"ปรับครม."

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวปรับครม.ว่า เคยตอบเรื่องนี้ไปแล้ว และพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้คุยกับตน ส่วนจะคุยกับใครนั้นไม่รู้ ตอนนี้ทำงานหนักอยู่แล้ว จะมาพูดเรื่องปรับครม.อะไร หาก จำเป็นจริงๆ นายกฯ คงดำเนินการด้วยตัวเอง ต้องดูสถานการณ์ต่างๆ ว่าเหมาะสมขนาดไหนและควรอย่างไร ไม่ใช่ทำไปแล้วกลับทำให้ลำบากเหมือนมาเริ่มต้นใหม่ เชื่อว่า นายกฯ รู้ เพราะติดตามทุกเรื่องตลอด

เมื่อถามถึงกระแสข่าวดึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช.มาร่วมครม.เพื่อทำให้ครม.เข้มแข็งขึ้น พล.อ.ประวิตรกล่าวย้อนว่า ข่าวใคร ใครบอก ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์บอกให้คุยกันเอง ตนไม่รู้ สำหรับนายสมคิดเวลานี้ก็ช่วยงานอยู่แล้ว ส่วนที่ถามว่าช่วยเต็มตัวนั้นช่วยแบบไหน เพราะช่วยทุกเรื่องทั้งในคณะกรรมการขับเคลื่อนคสช. เป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ ด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว 

 

"สมคิด"โผล่ประชุมที่ทำเนียบ

ผู้สื่อข่าวถามถึงความสัมพันธ์ในการทำ งานของครม.ยังเป็นไปด้วยดีหรือไม่ พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ทุกคนตั้งใจ ส่วนดีหรือไม่ดี ให้คำตอบไม่ได้ ต้องให้สื่อพิจารณา และจากผลโพลสำรวจความเห็นประชาชนก็ออกมาดี ย้ำว่าทุกคนที่เข้ามาตั้งใจดีและเสียสละทำงานให้ประชาชน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้ พล.อ. ประวิตรเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องประชุมแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยมีนายสมคิดเข้าร่วมประชุมด้วย ท่ามกลางกระแสข่าวพล.อ.ประยุทธ์จะปรับครม.ด้านเศรษฐกิจ โดยมีชื่อนายสมคิดเข้าร่วมบริหารงานฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้มีจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม หลังประชุม นายสมคิดเดินมาจากตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเดินทางกลับ แต่เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวจึงรับคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดและโทร.ออก พร้อมเดินไปที่รถประจำตัวและเดินทางออกจากทำเนียบทันที

 

รมต.เศรษฐกิจไม่สนลือปรับ

ด้านนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกระแสการปรับครม.ฝ่ายเศรษฐกิจ ที่อาจปรับในส่วนของ กระทรวงเกษตรฯ ว่า ยังไม่มีการคุยเรื่องนี้ กระแสข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้สร้างความกดดันให้ตนเอง ยืนยันยังทำงานด้วยความสบายใจ ที่ผ่านมาก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ ซึ่งนายกฯ ได้ให้กำลังใจทุกคนในการทำงาน

นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ไม่ได้ตกใจกับข่าวนี้ เพราะงานที่ทำก็ทำกันเต็มที่ไม่ว่าตนหรือนายปีติพงศ์ การที่เราจะหยุดหรือเดินต่อมันมีกติกาของมันอยู่แล้ว ซึ่งตนแน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ในทีมนี้สปิริตมี 100 เปอร์เซ็นต์ คืออย่างไรก็ได้แล้วแต่นาย ส่วนที่รัฐมนตรีบ่นว่าเหนื่อยนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา เหนื่อยก็เหนื่อยจริง ไม่มีใครบอกว่าไม่เหนื่อยเพราะงานมันหนัก มันเป็นงานที่เกิดขึ้นเรื้อรังมานาน และไม่มีใครที่แก้ปัญหาอย่างจริงจังและเป็นระบบ พอมันต้องรื้อก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา แค่คิดว่าจะรื้อก็เหนื่อยแล้ว และต้องมาลงมืออีก ฉะนั้นเรื่องเหนื่อยธรรมดา แต่ตนไม่เคยได้ยินมีรัฐมนตรีคนใดบอกว่าจะลาออก ได้ยินแต่ว่าพวกเราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ดีที่สุด และเวลาก็เป็นไปตามโรดแม็ป

 

เหวงแนะ"บิ๊กตู่"-จัดเลือกตั้ง

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ระบุ เป็นรัฐบาลม้าขาเป๋ว่า ขอให้นายกฯ ระมัดระวังการใช้คำพูดให้มาก พูดในสิ่งที่ควรพูด ไม่พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ รู้หรือไม่ว่าทั่วโลกปฏิบัติต่อม้าขาเป๋อย่างไร ถ้านายกฯ เหนื่อยยากอย่างแสนสาหัส จนจะทนทานต่อไปได้แล้ว ก็ใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จัดให้เลือกตั้งภายใน 3 เดือนข้างหน้า ส่วนการร่างรัฐธรรม นูญฉบับใหม่ ขอให้เป็นความรับผิดชอบของรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งส.ส.และส.ว.เป็นผู้รับผิดชอบ และนำเอาบางหมวดบางมาตราของรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ระหว่างที่รัฐสภาชุดใหม่ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

"เท่านี้ภาระสาหัสต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ปล่อยวางลงได้ทันที เว้นแต่ว่าไม่ประสงค์จะปล่อยวาง ถ้าเช่นนั้น พายุทุกด้านจะโหมกระหน่ำใส่อย่างไม่หยุดยั้ง และจะยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ว่าพายุการเมือง พายุเศรษฐกิจ พายุตั้งผบ.ทบ. พายุต่างชาติกดดันทั้งเศรษฐกิจการเมือง พายุมุสลิมเรื่องอุยกูร์ นายกฯจะเลือกอย่างไร ผมดูวิถีดำเนินของนายกฯแล้วดูจะสาหัสยิ่งขึ้นทุกวัน ซึ่งเกิดจากการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องของตนเอง"นพ.เหวงกล่าว

 

"วัฒนา"จวกวิธีคิดคสช.

ด้านนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทราบมาว่าคสช.ไม่อนุญาตให้ตนเดินทางไปต่างประเทศตามที่ขอ เพราะช่วงที่ผ่านมาตนให้ความเห็นวิจารณ์คสช.ผ่านสื่อ คสช.จึงให้ตนชะลอเรื่องขอเดินทางออกไปอย่างน้อย 90 วัน หรือหลังวันที่ 18 ก.ย.นี้ จึงจะพิจารณาให้เดินทางใหม่ รับฟังถึงวิธีคิดและวิธีทำงานของคสช. แล้วไม่แปลกใจผลงาน 1 ปีกว่าที่ยึดอำนาจจากประชาชน ขนาดไม่มีฝ่ายค้านยังทำได้แค่นี้ แล้วจะไม่ให้วิจารณ์ได้อย่างไร

"อย่าเที่ยวมาอ้างทวงบุญคุณอีกว่าไม่อยากออกมาหรือไม่ได้อยากในอำนาจ แต่คสช.ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน ความสงบที่เกิดขึ้นเกิดจากใช้อำนาจปืนบังคับไม่ให้คนพูดหรือแสดงความเห็น ไม่ใช่ความสงบที่แท้จริง ส่วนสิทธิในการเดินทางเป็นสิทธิที่ติดตัวทุกคนมาแต่เกิด เรียกว่าสิทธิมนุษยชนซึ่งสหประชาชาติได้บัญญัติรับรองไว้ ทั้งนี้อย่าได้เอาสิทธิความเป็นคนมาต่อรองหรือเอามาขู่ผมอีก"นายวัฒนากล่าว

 

ปปช.เปิดเซฟ"ครม.ปู-อดีตสว."

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี ทางสำนักงานป.ป.ช.ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์และหนี้สินในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2558 และเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินฯของส.ว. กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี วันที่ 23 พ.ค. 2558 

นายธวัชชัย ศิริสธนพันธ์ ผอ.สำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง กล่าวว่า ป.ป.ช. แสดงบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯของรัฐมนตรีในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ 25 ราย 28 ตำแหน่ง แต่ยื่นมา 24 ราย 27 ตำแหน่ง โดยผู้ที่ยังไม่ยื่นคือนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย ส่วนการแสดงบัญชีทรัพย์สินฯของส.ว. 150 ราย และยื่นมาครบ 150 ราย 

นายธวัชชัยกล่าวว่า รัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมากที่สุดคือนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,933,879,338 บาท ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุดคือนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีตรมช.คลัง มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,430,867 บาท ส่วนส.ว.ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดคือนางพิไลพรรณ สมบัติศิริ อดีตส.ว.สรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,318,776,005 บาท ส.ว.ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุดคือนายวิริยะ ทองผา อดีตส.ว.มุกดาหาร มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 3,407 บาท

 

ขู่ฟัน"จารุพงศ์"ไม่ยื่นบัญชี

นายธวัชชัยกล่าวว่า จากการตรวจ สอบเบื้องต้นพบว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลน.ส. ยิ่งลักษณ์ ผู้ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 54 ล้านบาทเศษ แต่ทางสำนักฯ ยังไม่ได้ตรวจสอบโดยละเอียดว่ามีที่มาจากเหตุผลใด การเปิดเผยบัญชีครั้งนี้เทียบจากครั้งเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี ส่วนรายละเอียดว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในส่วนใดบ้างนั้น จะให้ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ต้องดูว่าส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้นสัมพันธ์กับรายได้หรือไม่ และได้ทรัพย์สินมาด้วยเหตุใด 

นายธวัชชัยกล่าวว่า ส่วนนายจารุพงศ์ ซึ่งขณะนี้หลบหนีอยู่ต่างประเทศนั้นทาง สำนักฯจะส่งหนังสือไปตามฐานที่อยู่ของนายจารุพงศ์ เพื่อให้ชี้แจงผลของการไม่ยื่นบัญชี โดยจะมีหนังสือทยอยไปทั้งหมด 3 ฉบับตามระยะเวลาคือ 30 วัน 15 วัน และ 15 วัน รวมเวลา 2 เดือน หากนายจารุพงศ์ยังไม่ชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด หลังจากมีหนังสือครบทั้ง 3 ฉบับแล้ว จะนำเรื่องเสนอคณะกรรมการป.ป.ช.ให้พิจารณาว่านายจารุพงศ์จงใจไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินฯหรือไม่ หากที่ประชุมป.ป.ช.เห็นว่าจงใจก็จะส่งเรื่องต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้ศาลพิพากษาต่อไป หากมีความผิดจริงนั้น โทษคือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท

 

เผยเหตุตีตกคดีข้าวยุคมาร์ค

รายงานข่าวจากป.ป.ช.แจ้งว่า กรณีรายงานข่าวระบุว่า การไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ขณะนั้น ในฐานะรองประธานกขช. นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ในขณะนั้น ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาการระบายข้าว และนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ปี 2553 เป็นไปโดยล่าช้า ที่ระบุว่า ข้อกล่าวหาอื่นๆ ของนายอภิสิทธิ์ นายไตรรงค์ และนายมนัส ให้ตกไปนั้น เป็นไปตามการพิจารณาเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2557

โดยครั้งนั้นสำนักงานป.ป.ช. ออกเอกสารชี้แจงว่า 1.กรณีกล่าวหา นางพรทิวา อนุมัติจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาล เมื่อปี 2552 ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด และไม่อนุมัติขายข้าวสารให้กับบริษัท วุฒิกวี จำกัด และบริษัท สิงโตทองไรซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทั้งที่อยู่ในกลุ่มผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด ไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางพรทิวาอนุมัติจำหน่ายข้าวสารให้กับบริษัท สิงโตทองไรซ์ฯแล้ว แต่บริษัท วุฒิกวีฯ เคยมีประวัติละทิ้งการเสนอราคา จึงไม่อนุมัติให้จำหน่ายข้าวสารให้แก่บริษัทดังกล่าว ข้อกล่าวหาจึงไม่มีมูลตามที่กล่าวหา

 

ชี้ข้อกล่าวหาไม่มีมูล

2.กรณีป.ป.ช.มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการทุจริตในการระบายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาล เมื่อปี 2553 เกี่ยวกับพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ นายไตรรงค์ นางพรทิวา และนายมนัส ใน 4 ข้อกล่าวหา จากการไต่สวนข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาที่ 1-3 ปรากฏว่า 

ข้อกล่าวหาที่ 1 ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย ปรับเปลี่ยนวิธีการระบายข้าวสารให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศในปริมาณมากเสนอซื้อข้าวในสต๊อกของรัฐบาล โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวน เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางราย และกีดกัน ผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม 

ในการระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล เมื่อเดือนม.ค.-ก.ค. 2553 วิธีการระบายข้าวสารโดยออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจเสนอซื้อข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ก่อให้เกิดกระแสข่าวที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อราคาข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้การระบายข้าวสารในสต๊อกต้องหยุดชะงัก และเสียโอกาสการระบายข้าวในช่วงเวลาที่เหมาะสม จึงปรับเปลี่ยนวิธีโดยให้ผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อข้าวในปริมาณมาก เสนอขอซื้อข้าวในสต๊อกของรัฐบาล วิธีนี้เคยนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2546 ก่อนแล้ว และมีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาซื้อและคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศของผู้เสนอราคาซื้อด้วย 

 

ระบายข้าวตามกติกา

ข้อกล่าวหาที่ 2 ทั้ง 4 ราย อนุมัติให้ความเห็นชอบจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 

กรณีนี้เนื่องจากเป็นการขายส่งข้าวสาร และมีการเสนอซื้อ/ขายตามราคาหน้าคลังสินค้า การกำหนดราคาขายจึงต้องหักค่าขนส่งเฉลี่ยถึงโกดังกลาง และค่าเสื่อมสภาพข้าวสารตามอายุการเก็บรักษา ซึ่งการจำหน่ายข้าวสารในครั้งนี้ มีการเจรจาต่อรองราคากับบริษัทที่เสนอราคาซื้อที่อยู่ในเกณฑ์ราคาที่ตั้งไว้เท่านั้น และเมื่อพิจารณาราคาขายหลังการเจรจาต่อรองกับผู้เสนอราคาซื้อทุกรายแล้ว ปรากฏว่ากำหนดราคาขายที่สูงกว่าเกณฑ์ราคาที่ตั้งไว้ทั้งสิ้น และวิธีระบายข้าวสารที่อยู่ในกรอบของยุทธศาสตร์การระบายข้าวสารที่กำหนดแนวทางไว้และได้รับความเห็นชอบจากกขช. และครม.อนุมัติแล้ว ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อปริมาณ และราคาข้าวในตลาดภายในประเทศ

ข้อกล่าวหาที่ 3 กรณีนายไตรรงค์ และนายมนัส ทำการระบายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลโดยดำเนินการในทางลับ 

นายมนัสได้แจ้งให้อคส. และอ.ต.ก.ดำเนินการในทางลับ ตามอำนาจหน้าที่ที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายข้าวสาร เพื่อไม่ให้ตกเป็นข่าว มีจุดมุ่งหมายเพื่อมิให้อคส.และอ.ต.ก.เปิดเผยเรื่องปริมาณข้าวสารและราคาจำหน่ายข้าวสาร มิให้เกิดผลกระทบต่อราคาข้าวสารเท่านั้น และแจ้งให้ดำเนินการหลังจากผ่าน ขั้นตอนการอนุมัติให้จำหน่ายข้าวสารให้แก่ ผู้เสนอราคาซื้อข้าวสารที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว มิใช่คำสั่งให้อคส.และอ.ต.ก.ระบายข้าวสารโดยวิธีลับ

 

ยังเหลือสืบต่ออีก 1 ข้อกล่าวหา

ส่วนข้อกล่าวหาที่ 4 กรณีนางพรทิวามีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท เอ็มทีฯ เนื่องจากนายวีระศักดิ์ นำแคชเชียร์เช็คเงินกยศ. ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 25 ล้านบาท มาวางค้ำประกันการทำสัญญาของบริษัท กับอ.ต.ก.

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ป.ป.ช.มีมติขยายผลการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีนายวีระศักดิ์ออกไป หลังไต่สวนข้อเท็จจริง ปรากฏว่านายวีระศักดิ์มอบแคชเชียร์เช็คเงินกยศ. ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้บริษัท เอ็มทีฯ มาวางค้ำประกันการทำสัญญากับอ.ต.ก.จริง แต่พยานหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอพิจารณาได้ว่านางพรทิวามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งต้องไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้ชัดเจนก่อน หากพบว่านางพรทิวา หรือบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องจะแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป ทั้งนี้ ป.ป.ช.จะเร่งรีบไต่สวนข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็วต่อไป

 

กมธ.ถกยกร่างวันที่ห้า

ที่โรงแรมเอเชีย พัทยา จ.ชลบุรี ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ นอกสถานที่วันที่ห้า มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างฯ เป็นประธาน โดยพิจารณาในบทบัญญัติที่กมธ. ยกร่างฯ ได้ชะลอการพิจารณาเอาไว้ก่อน หน้านี้ เช่น คณะกรรมการสรรหาส.ว. และเอกสิทธิ์คุ้มครองของสมาชิกรัฐสภา 

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกกมธ. ยกร่างฯ แถลงผลการประชุมว่า กมธ.พิจารณาจบมาตราที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เว้นในส่วนองค์กรปฏิรูปและสร้างความปรองดองและบทเฉพาะกาลที่ยังไม่พิจารณา โดยในวันนี้ได้ทบทวนมาตราสำคัญที่แขวนไว้ 7 แห่ง คือ มาตรา 33/1 ว่าด้วย การให้อำนาจฟ้องร้องพรรคการเมืองที่ดำเนินการในลักษณะล้มล้างการปกครอง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำเข้าข่ายให้สั่งเลิกการกระทำ และอาจมีคำสั่งยุบพรรคนั้นได้ ส่วนมาตราจริยธรรม หมวดที่ 2 มาตรา 73 กำหนดให้บัญญัติกฎหมายประมวลจริยธรรม ให้มีกลไกเป็นตามมาตราฐาน เพิ่มมาตรา 74/1 ดำเนินการตรวจสอบแบบฟอร์มการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง 5 ปี สำหรับการเข้าสู่ตำแหน่งที่สำคัญ อย่าง องค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ นอกจากให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสำหรับผู้ที่ได้รับเลือกอีกครั้ง 

 

ยังแบนชั่วชีวิต-คนทุจริตเลือกตั้ง

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ส่วนคุณสมบัติ ผู้สมัคร ส.ส.ในมาตรา 111 (8) ให้คงไว้ตามเดิม คือ เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่าการกระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบหรือกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม แต่เพิ่มข้อความ (14) อยู่ระหว่างห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 247 ว่าด้วยเรื่องการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์ หรือ ถูกถอดถอนเหตุมาจากจงใจใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายและการประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง ส่วน (15) เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเพราะเหตุที่ว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อทุจริตในหน้าที่ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม 

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ผู้ที่เข้าข่ายใน มาตรา 111 (8) และ(15) นั้นหมายความว่าจะถูกตัดสิทธิในการสมัครเป็นส.ส.ตลอดชีวิต ส่วนในมาตรา 111 (14) จะถูกตัดสิทธิเพียง 5 ปี ซึ่งการปรับเปลี่ยนในส่วนนี้เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว 57 มาตรา 35 (4) และให้มีกลไกดำเนินการกับผู้ที่ทุจริตประพฤติมิชอบในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองต่อไป และให้สอดคล้องกับมาตรา 254 ว่าด้วยการถอดถอน ซึ่งแบ่งความผิดไว้ 2 กลุ่ม คือ ฐานความผิดขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายและกระทำผิดต่อจริยธรรมร้ายแรงและมีผลพวง คือ ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตจากฐานความผิดที่บัญญัติไว้ในมาตรา 111 (15) อย่างไรก็ตามตนจะไม่ยกตัวอย่างบุคคลที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว แต่หากบุคคลที่จะสมัครเป็น ส.ส.เข้าข่ายลักษณะนี้และสงสัยสามารถร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ 

เมื่อถามว่าเรื่องการล้มล้างการปกครองต้องมีพฤติการณ์อย่างไร พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ตรงนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ อย่างไรก็ตามไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะเป็นหน้าที่ของ ส.ส. 

 

คงเอกสิทธิ์"ส.ส.-ส.ว"

แหล่งข่าวในที่ประชุมกมธ.ยกร่างฯ เปิดเผยว่า กมธ.ยกร่างฯได้พิจารณาเรื่องเอกสิทธิ์คุ้มครองของสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว. ได้ข้อยุติแล้ว โดยกำหนดให้ระหว่างสมัยประชุมจะทำการจับกุม คุมขัง หรือออกหมายเรียกส.ส.หรือส.ว.ไม่ได้ เว้นแต่กรณีที่จะได้รับอนุญาตจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่ถ้าเป็นกรณีที่ถูกจับกุมขณะทำความผิดหรือในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือความผิดอื่นที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ส.ส.หรือส.ว.สามารถถูกสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องหาได้ อย่างไรก็ตาม หากจับกุมส.ส.หรือส.ว.ในขณะทำความผิด จะต้องรายงานไปยังประธานสภาหรือประธานวุฒิสภา โดยทันที และประธานสภาทั้งสองอาจสั่งร้องขอให้ปล่อยตัวได้

เช่นเดียวกับการฟ้องร้องส.ส.และส.ว. ในคดีอาญาไม่ว่าจะฟ้องนอกหรือในสมัยประชุมสภา ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในสมัยประชุมไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาหรือวุฒิสภา แต่ถ้าเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือคดีเกี่ยวกับพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง หรือความผิดอื่นที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป รวมถึงส.ส.หรือส.ว.ผู้นั้นยินยอมให้ดำเนินคดี ศาลจะพิจารณาคดีนั้นได้ แต่การพิจารณาคดีต้องไม่ขัดขวางต่อการที่ส.ส.หรือส.ว.มาประชุมสภา

มีรายงานว่า การประชุมกมธ.ยกร่างฯในวันที่ 18 ก.ค. จะพิจารณาทบทวนเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด พร้อมพิจารณาทบทวนเรื่องคณะกรรมการสรรหาส.ว.

 

สมชัยฉุนขวางแจกใบแดง

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงกรณีกมธ. ยกร่างฯ ตัดอำนาจให้ใบแดงของกตต.ก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้งว่า การออกแบบ ในร่างรัฐธรรมนูญของกมธ.ยกร่างฯ จะไม่สามารถจัดการคนทุจริตได้ก่อนเลือกตั้งและก่อนประกาศได้ผลเลย รวมทั้งเมื่อประกาศรับรองผลเลือกตั้งแล้ว กว่าศาลจะใช้เวลา 1-2 ปีจัดการคนทุจริต เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญออกแบบเป็นระบบ 2 ศาล คือศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา 

นายสมชัยกล่าวว่า จากสถิติตั้งแต่ปี 2552-57 พบว่าศาลไม่เห็นตามกกต.เสนอ โดยยกฟ้องถึงร้อยละ 43.5 เชื่อว่าไม่ใช่เพราะนักการเมืองที่ถูกร้องสุจริต แต่เพราะนักการเมืองเข้าไปมีตำแหน่ง จะใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคามพยาน กดดันให้ออกจากพื้นที่ ไม่สามารถเรียกพยานมาให้การต่อศาลได้ ที่สำคัญกระบวนการพิจารณาของศาล เป็นการไต่สวนแบบเผชิญหน้าทำให้ประชาชนเกรงกลัวได้ การร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่จินตนาการ ให้ดูข้อเท็จจริง หากกมธ.ยกร่างฯไม่มาเป็นชาวบ้าน จะไม่รู้ว่าการมาเป็นพยานหรือมาร้องกกต. ซึ่งเผชิญหน้ากับนักการเมืองเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน 

 

จวก"กมธ."ร่างไม่ได้เรื่อง

"กลไกที่กมธ.ยกร่างฯคิดขึ้น ไม่ใช่กลไกแก้ปัญหาทุจริตเลือกตั้งที่ทวีความรุนแรงขึ้น ถ้าจะร่างก็ต้องร่างให้ดี ทำออกมาแบบนี้ ไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถแก้ปัญหาทุจริตได้ ทำเสร็จแล้วทุกอย่างเหมือนเดิม เข้าทางนักการเมือง ตกเป็นเครื่องมือนักการเมืองโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดถ้ารัฐธรรมนูญเป็นแบบนี้จะเหมือนการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2557 ที่ผมบอกว่าเลือกตั้งแล้วจะมีปัญหา รัฐบาลต้องรับผิดชอบ วันนี้ผมขอใช้คำพูดนี้ ว่าถ้าหากเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้แล้วมีปัญหา กมธ.ยกร่างฯต้องรับผิดชอบและขอให้จำชื่อกมธ.ยกร่างฯเอาไว้"นายสมชัยกล่าว 

นายสมชัยกล่าวว่าประเด็นที่กกต.เสนอคือ ต้องเร่งรัดให้ออกใบแดงก่อนประกาศผลได้ โดยใครก็ได้จะเป็นกกต.ส่งให้กฤษฎีกาช่วยพิจารณาหรือให้ศาลพิจารณาก็ได้ แต่ถ้ารอให้ศาลตัดสินให้ใบแดง จะเข้าสู่วงรอบที่ตนเสนอคือ 1-2 ปีจึงจะเอานักการเมืองออกจากตำแหน่งได้ ส่วนที่เสนอให้ใบเหลือง 2 ใบเท่ากับ 1 ใบส้ม เพื่อเอานักการเมืองออกจากสนามเลือกตั้ง แม้จะกำหนดไว้ในกฎหมายลูกได้ แต่เสี่ยงต่อการถูกโต้แย้ง ควรมีกำหนดให้ชัดเจนไว้ในรัฐธรรมนูญ

 

"ป้อม"เล็งตั้งกุนซือกม.แก้ไอยูยู

      เมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) โดยมีนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคสช. และตัวแทนจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยใช้เวลาหารือ 1 ชั่วโมง

พล.อ.ประวิตร เผยว่า กองทัพเรือและศปมผ.เร่งรัดดำเนินการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมมือกับกรมประมง จัดทำกฎหมายให้มีความสมบูรณ์ จึงตั้งคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับการประมง เพื่อดูว่าส่วนใดของกฎหมายที่ยังไม่เป็นไปตามที่อียูต้องการ และอาจจ้างที่ปรึกษาเข้ามาช่วยดำเนินการ เราต้องสร้างความเข้าใจให้อียูรู้ว่าหน่วยงานของไทยทั้งกรมประมง กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า ทำอะไรไปแล้ว รวมทั้งให้เอ็นจีโอทั้งในและต่างประเทศรับรู้ด้วย ที่ผ่านมาเราทำทุกเรื่อง ไม่ได้อยู่เฉยหรือปล่อยปละละเลย 

      พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อว่า ส่วนเรือผิดกฎหมายที่ยังมีปัญหาเรื่องอวนลาก อวนรุน ยังไม่อนุญาตให้ออกทะเลเพราะต้องทำตามกฎหมายก่อน มีการอำนวยความสะดวกเป็นวันสต็อปเซอร์วิส ให้ไปรับขึ้นทะเบียนเรือกลางทะเล ดังนั้นชาวประมงจะไม่ยอมไม่ได้เพราะมีเวลาอีก 2 เดือนที่อียูส่งเจ้าหน้าที่มาประเมินผลช่วงเดือนต.ค. ว่าจะให้ใบเหลืองหรือใบเขียวหรือใบแดง คิดว่าการแก้ปัญหาเราคงไม่ได้ต่ำกว่าใบเหลืองแน่นอน หรืออาจอยู่ที่เดิมที่ต้องแก้ไขต่อไป และหวังว่าอียูจะเข้าใจว่าเราทำเต็มที่ 

      นายปีติพงศ์กล่าวว่า ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ ตนจะหารือกับไอยูยูถึงรายละเอียดต่างๆ โดยเฉพาะข้อกฎหมายอีกครั้ง

 

 

บิ๊กตู่"ลั่นเดี๋ยวจัดการเอง มีชื่อในใจ กั๊กสมคิด-ประสารนั่งรมต.'ป้อม'ชี้นายกฯรู้ดีปรับครม. สะพัด'พินิจ'โผล่คุมเกษตร กมธ.เคาะโกง-รวยผิดปกติ ห้ามสมัครส.ส.ตลอดชีวิต

 

      'บิ๊กตู่'ชี้ปรับ ครม.-เดี๋ยวจัดการเอง 'ปีติพงศ์-อำนวย'ไม่กดดันกระแสพ้นทีมเศรษฐกิจ ยันทำงานเต็มที่ "ประวิตร"เชื่อนายกฯรู้ดีจะขยับเมื่อไร กมธ.ยกร่าง รธน.เคาะคนที่ถูกตัดสินโกงเลือกตั้ง-รวยผิดปกติ-ถูกถอดถอน ห้ามลงสมัคร ส.ส.ตลอดชีวิต

มติชนออนไลน์ :

 

 

'บิ๊กตู่"'ชี้ปรับครม.-เดี๋ยวจัดการเอง

กำลังยุ่ง - นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช. รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยธุระ ขณะผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามกรณีถูกคาดหมายจะเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ภายหลังมีกระแสข่าวการปรับ ครม. ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 

 

    เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า "ไม่ตอบแล้ว ไม่เอา ไม่ขอตอบ กระแสข่าวที่ออกมาก็เป็นเพราะพวกสื่อเขียนกันเอง ผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ผมยังไม่ได้พูดสักคำ"

       ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แสดงว่าขณะนี้ยังไม่มีการปรับ ครม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่รู้ ไม่แสดงอะไรทั้งสิ้น พูดอะไรไป เดี๋ยวพวกคุณก็บอกว่า ที่บอกว่าไม่รู้แสดงว่าแตกต่างจากคำว่าไม่ปรับ คุณก็จะมาตีความกับผมอีก เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจัดการของผมเองแหละ" เมื่อถามว่ามีชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช. และประธานที่ปรึกษานายกฯด้านเศรษฐกิจ และนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ในข่ายที่จะเข้าร่วมรัฐบาล หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "พวกคุณจะสมัครหรือไม่เล่า พวกคุณเองก็มีความรู้ จบปริญญากันมาทั้งหมด"

เมื่อถามย้ำว่ามีชื่อนายสมคิดใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่มี ไม่มีหรอก ยังไม่มีข่าว เป็นข่าวของพวกคุณ ไม่ใช่ข่าวผม และไม่มีชื่อของคุณประสารด้วย ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ ยังไม่มี มีก็อยู่ในใจผม ทำไมต้องบอกล่ะ" เมื่อถามว่า แสดงว่ามีเค้าที่จะปรับ ครม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไม่มี ฝนยังไม่ตกเลย เค้าฝนมาหรือยังล่ะ เค้าลางยังไม่มา เปลี่ยนเรื่องอื่นเถอะพอแล้ว"

 

'บิ๊กป้อม'ย้ำอยู่ที่'บิ๊กตู่'

 

ประสาร ไตรรัตน์วรกุล

     พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้าร่วมการประชุม ถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เคยตอบเรื่องนี้ไปแล้ว เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. บ้างหรือยัง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ยังไม่ได้คุย นายกฯไม่ได้คุยกับผม ส่วนจะคุยกับใครนั้นไม่รู้ ตอนนี้ทำงานก็หนักกันอยู่แล้ว จะมาพูดเรื่องปรับ ครม.อะไร หากจำเป็นจริงๆ นายกฯคงดำเนินการด้วยตัวเอง โดยต้องดูสถานการณ์ต่างๆ ว่าเหมาะสมขนาดไหนและควรทำอย่างไร ไม่ใช่ทำไปแล้วกลับทำให้ลำบาก เหมือนเริ่มต้นใหม่ เชื่อว่านายกฯรู้ เพราะติดตามทุกเรื่องมาตลอด" 

 

ย้ำ"สมคิด"ช่วยงานอยู่แล้ว

      เมื่อถามว่าหากนายกฯขอคำปรึกษาเรื่องนี้จะให้คำปรึกษาอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยังไม่ได้ปรึกษาเลย ยังไม่ได้คิด เมื่อนายกฯยังไม่ได้พูดก็ยังไม่คิด ยังไม่ตอบ 

เมื่อถามถึงกระแสข่าวการดึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช. เข้ามาร่วม ครม. พล.อ.ประวิตรกล่าวย้อนว่า ข่าวใคร ใครบอก ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์บอกให้คุยกันเอง ตนไม่รู้ เมื่อถามย้ำว่าในฐานะที่ร่วมงานกับนายสมคิดมานาน มองว่าสามารถเข้ามาช่วยงานเต็มตัวได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เวลานี้นายสมคิดช่วยอยู่แล้ว ส่วนที่ถามว่าช่วยเต็มตัวนั้นช่วยแบบไหน เพราะช่วยทุกเรื่องทั้งในคณะกรรมการขับเคลื่อน คสช. เป็นประธานที่ปรึกษานายกฯด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว 

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ในการทำงานของ ครม.ยังเป็นไปด้วยดีหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทุกคนตั้งใจ ส่วนดีหรือไม่ดีตอบไม่ได้ ต้องให้สื่อพิจารณา แต่จากผลโพลสำรวจความเห็นประชาชนก็ออกมาดี ย้ำว่าทุกคนที่เข้ามาตั้งใจดีและเสียสละเพื่อทำงานให้ประชาชนทั้งนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการประชุมแก้ปัญหาไอยูยูที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร่วมประชุมด้วยนั้น นายสมคิดได้เดินลงมาจากตึกบัญชาการ แต่เมื่อเห็นผู้สื่อข่าวจึงรีบนำโทรศัพท์ขึ้นมากดและโทรพูดคุยทันที พร้อมกับรีบเดินไปที่รถประจำตัวและเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล

 

"ปีติพงศ์-อำนวย"ไม่กดดันรื้อครม.

นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงข่าวกระแสการปรับ ครม.ที่อาจปรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯว่า ยังไม่มีการคุยในเรื่องการปรับ ครม. กระแสข่าวที่ออกมาก็ไม่ได้สร้างความกดดันให้ตน ยืนยันว่ายังทำงานด้วยความสบายใจ ที่ผ่านมาก็ได้ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ และนายกฯให้กำลังใจทุกคนในการทำงาน

นายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ไม่ตกใจกับข่าวนี้เลย เพราะทำงานกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นตนหรือนายปีติพงศ์ การที่จะหยุดหรือเดินต่อมันมีกติกา แน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ในทีมนี้ สปิริตมี 100% คืออย่างไรก็ได้แล้วแต่นายกฯ แต่รัฐมนตรีที่บ่นว่าเหนื่อยนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา เหนื่อยก็เหนื่อยจริง ไม่มีใครบอกว่าไม่เหนื่อยหรอกเพราะงานมันหนัก มันเป็นงานที่เรื้อรังมานานและไม่มีใครแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเป็นระบบ พอจะรื้อต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา แค่คิดว่าจะรื้อก็เหนื่อยแล้ว และต้องมาลงมืออีก เพราะฉะนั้นเรื่องเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่ตนไม่เคยได้ยินรัฐมนตรีท่านใดบอกว่าจะลาออก

 

สะพัดดึง'พินิจ'นั่งก.เกษตรฯ 

รายงานข่าวแจ้งว่า การปรับ ครม.ที่มีแนวคิดเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเศรษฐกิจเกือบยกชุดที่จะมีขึ้นปลายเดือนกรกฎาคมนี้ หรือไม่ก็ช่วงต้นเดือนสิงหาคม มีรัฐมนตรีอยู่ในข่ายปรับเปลี่ยน อาทิ นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯมีกระแสข่าวการทาบทามนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกฯ และนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เข้ามาดูแลเพื่อช่วยแก้ปัญหา

สินค้าราคาเกษตรตกต่ำ 

 

'วัฒนา'ซัด'คสช.'ห้ามไปนอก

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา เลขาฯตนส่งข่าวมาว่าคณะทำงาน คสช.ฝากแจ้งให้ทราบว่าไม่อนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศตามที่ขอ เพราะช่วงที่ผ่านมาวิพากษ์วิจารณ์ คสช.ผ่านสื่อ จึงให้ชะลอเรื่องขอเดินทางออกไปอย่างน้อย 90 วัน หรือหลังวันที่ 18 กันยายน จึงจะพิจารณาให้เดินทางใหม่ รับฟังแล้วไม่แปลกใจว่าเพราะเหตุใด 1 ปีกว่าที่ผ่านมาถึงบริหารประเทศจนเกิดความเสียหายได้อย่างมากมายขนาดนี้ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลวทุกด้าน การแก้ปัญหาเรื่องความสงบภายในและการสร้างความปรองดองก็ล้มเหลว ความสงบที่เกิดจากใช้อำนาจบังคับไม่ให้คนพูดหรือแสดงความเห็นนั้นไม่ยั่งยืนและไม่สงบจริง 

นายวัฒนากล่าวว่า สิทธิในการเดินทางเป็นสิทธิที่ติดตัวทุกคนมาแต่เกิด เขาเรียกว่าสิทธิมนุษยชน สิทธินี้สหประชาชาติได้บัญญัติรับรองไว้ในข้อ 12 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ว่า "บุคคลย่อมมีเสรีที่จะเดินทางออกจากประเทศใดรวมทั้งประเทศของตนได้" ประเทศไทยเราก็เป็นภาคีโดยการภาคยานุวัติตั้งแต่ปี 2540 ตนจะยังคงมีความเห็นต่อไป แม้จะเอามาเป็นเหตุห้ามเดินทางก็ตาม ทุกวันนี้อยู่ในสภาพที่จำยอมแต่ไม่มีทางเลือก 

"จงอย่าเอาสิทธิความเป็นคนที่พวกคุณไม่รู้จักมาต่อรองหรือเอามาขู่กันอีก เพราะรู้สึกกับพวกคุณเหมือนกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ในคอลัมน์ "ซอยสวนพลู" หนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 ใครจำได้ช่วยบอกคนพวกนี้ให้ด้วย" นายวัฒนากล่าว

 

'สุรพงษ์"เหน็บโรดแมปศรีธนญชัย

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ออกมายอมรับว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหา โดยอ้างว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดีขึ้น และอ้างว่าเศรษฐกิจไม่ดีมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนว่า การเป็นผู้นำแล้วกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจรัฐบาลที่ผ่านมากำลังไปได้ด้วยดี จู่ๆ ก็มีขบวนการออกมาล้มรัฐบาลจนทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย จึงตัดสินใจยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ แต่ก็มีขบวนการขัดขวางการเลือกตั้ง 

"สุดท้ายเกิดการยึดอำนาจโดย คสช. รัฐบาล คสช.ก็ทำท่าจะไปได้ดี ถ้าเดินหน้าด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเดินไปตามโรดแมป แต่ทำไปทำมากลายเป็นโรดแมปฉบับศรีธนญชัย ดังนั้นขอให้รีบผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ให้มีเลือกตั้งโดยเร็ว น่าจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่รัฐธรรมนูญต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะช่วยได้" นายสุรพงษ์กล่าว

 

เปิดบัญชีรบ.ปู-พงศ์เทพ 2.9 พันล.

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 และบัญชีแสดงรายการทรัพย์และหนี้สินของอดีต ส.ว. กรณีพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2558 

นายธวัชชัย ศิริสธนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมือง สำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวว่า บัญชีทรัพย์สินของรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ 25 ราย 28 ตำแหน่ง แต่ยื่นมา 24 ราย 27 ตำแหน่ง ผู้ที่ยังไม่ยื่นคือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่วนบัญชีทรัพย์สินของ ส.ว.มีทั้งสิ้น 150 ราย ยื่นเข้ามาครบ 150 ราย 

นายธวัชชัยกล่าวว่า สำหรับรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดคือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 2,933,879,338 บาท ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุดคือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โดยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,430,867 บาท ส่วน ส.ว.ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดคือ นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ ส.ว.สรรหา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,318,776,005 บาท ส่วน ส.ว.ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุดคือ นายวิริยะ ทองผา ส.ว.มุกดาหาร มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 3,407 บาท

 

แม่ยกที่ดินให้"ชัชชาติ"เพิ่ม 54 ล.

นายธวัชชัยกล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ารัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 54 ล้านบาทเศษ ทางสำนักฯจะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่าส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความสัมพันธ์กับรายได้หรือไม่ และได้ทรัพย์สินมาด้วยเหตุใด ส่วนรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินลดลงคือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โดยมีทรัพย์สินลดลง 151 ล้านบาท 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของอดีตรัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่ง ส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก มีเพียงนายชัชชาติที่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 54,285,939 บาท โดยแจ้งว่ามารดายกที่ดินให้ 2 แปลง รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ขณะที่นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีทรัพย์สินลดลงมากถึง 54,110,550 บาท แจ้งว่าโอนที่ดิน 16 แปลง รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท และบ้านตึกแถว 3 หลัง 5 โฉนด รวมมูลค่า 18 ล้านบาท ให้แก่บุตร ส่วนนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรักษานายกฯ ทรัพย์สินลดลง 11,478,238 บาท แจ้งว่าโอนทองคำแท่งน้ำหนัก 585 บาท มูลค่ากว่า 11 ล้านบาท ให้บุตร 2 คน 

 

'จารุพงศ์'ไม่ยื่นบัญชี-จ่อฟ้องศาล

นายธวัชชัยกล่าวว่า ส่วนนายจารุพงศ์ ซึ่งขณะนี้หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ทางสำนักพัฒนาระบบตรวจสอบจะส่งหนังสือไปตามฐานที่อยู่ของนายจารุพงศ์ เพื่อให้เจ้าตัวได้ชี้แจงผลของการไม่ยื่นบัญชี โดยจะมีหนังสือทยอยไปทั้งหมด 3 ฉบับ ตามระยะเวลาที่กำหนด คือ 30 วัน, 15 วัน และ 15 วัน รวมประมาณ 2 เดือน หากนายจารุพงศ์ยังไม่ชี้แจงภายในระยะเวลาที่กำหนด หลังมีหนังสือแจ้งครบทั้ง 3 ฉบับแล้ว จะนำเรื่องเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้พิจารณาว่านายจารุพงศ์จงใจไม่ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหรือไม่ 

"หลังจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเพื่อให้ส่งเรื่องต่อไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้ศาลพิพากษาต่อไป หากมีความผิดจริง โทษคือห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท" นายธวัชชัยกล่าว 

 

กกต.ซัดกมธ.แก้โกงเลือกตั้งไม่ได้

วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงกรณี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญตัดอำนาจให้ใบแดงของ กตต.ก่อนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งว่า จะทำให้ไม่สามารถจัดการคนทุจริตได้ก่อนการเลือกตั้งและก่อนการประกาศได้ผลเลย รวมทั้งเมื่อประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว ศาลจะใช้ระยะเวลา 1-2 ปีกว่าจะจัดการคนทุจริต เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญออกแบบเป็นระบบ 2 ศาล คือ ศาลอุทธรณ์และ

ศาลฎีกา จากสถิติตั้งแต่ปี 2552-2557 พบว่าศาลไม่เห็นตาม กกต.เสนอ โดยยกฟ้องถึงร้อยละ 43.5 เชื่อว่าไม่ใช่เพราะนักการเมืองที่ถูกร้องสุจริต แต่เพราะนักการเมืองเข้าไปมีตำแหน่งจะใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคามพยาน กดดันให้ออกจากพื้นที่ ไม่สามารถเรียกพยานมาให้การต่อศาลได้ ที่สำคัญกระบวนการพิจารณาของศาลเป็นการไต่สวนแบบเผชิญหน้า ทำให้ประชาชนเกรงกลัว 

นายสมชัยกล่าวว่า การร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่จินตนาการให้ดูข้อเท็จจริง หาก กมธ.ยกร่างฯไม่มาเป็นชาวบ้าน จะไม่รู้ว่าการมาเป็นพยานหรือมาร้อง กกต.เป็นการเผชิญหน้ากับนักการเมืองที่เสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน 

 

ยันไม่แก้เลือกตั้งใหม่มีปัญหาแน่

"กลไกที่ กมธ.ยกร่างฯคิดขึ้น ไม่ใช่กลไกแก้ปัญหาทุจริตเลือกตั้งที่ฝังรากลึกและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ถ้าออกมาแบบนี้ไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถแก้ปัญหาทุจริตได้ ทุกอย่างเหมือนเดิม เข้าทางนักการเมือง จะตกเป็นเครื่องมือนักการเมืองโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดถ้ารัฐธรรมนูญออกมาเป็นแบบนี้ก็จะเหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผมบอกไว้ว่าเลือกตั้งแล้วจะมีปัญหา รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ผมเคยพูดผิดที่ไหน วันนี้ผมก็ขอใช้คำพูดนี้ว่า ถ้าหากเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญแบบนี้แล้วมีปัญหา กมธ.ยกร่างฯต้องรับผิดชอบ และขอให้จำชื่อ กมธ.ยกร่างฯเอาไว้" นายสมชัยกล่าว 

นายสมชัยกล่าวว่า ประเด็นที่ กกต.เสนอคือ ต้องเร่งรัดให้ออกใบแดงก่อนประกาศผล โดยใครก็ได้ จะเป็น กกต.ส่งให้กฤษฎีกาช่วยพิจารณาหรือให้ศาลพิจารณาก็ได้ แต่ถ้ารอให้ศาลตัดสินให้ใบแดง ก็จะเข้าสู่วงรอบที่ตนเสนอคือ 1-2 ปี จึงจะเอานักการเมืองออกจากตำแหน่งได้ การให้ใบแดงก่อนเลือกตั้งหรือก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้งจะเป็นเรื่องในตำนานของประเทศไทย ส่วนที่เสนอให้ใบเหลือง 2 ใบ เท่ากับ 1 ใบส้ม เพื่อเอานักการเมืองออกจากสนามเลือกตั้ง แม้จะกำหนดไว้ในกฎหมายลูกได้ แต่ก็เห็นว่าเสี่ยงต่อการถูกโต้แย้ง ควรกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

 

ยังมียุบพรรคถ้าล้มการปกครอง

วันเดียวกัน ที่โรงแรมเอเชีย พัทยา จังหวัดชลบุรี มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญนอกสถานที่วันที่ 5 โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน กมธ.ยกร่างฯ เป็นประธาน

ต่อมา พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงผลการประชุมว่าพิจารณาจบมาตราที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว เว้นในส่วนองค์กรปฏิรูปและสร้างความปรองดองและบทเฉพาะกาลที่ยังไม่พิจารณา โดยได้ทบทวนมาตราสำคัญที่แขวนไว้ 7 ประเด็น คือ มาตรา 33/1 ว่าด้วยการให้อำนาจฟ้องร้องพรรคการเมืองที่ดำเนินการในลักษณะล้มล้างการปกครอง หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำเข้าข่ายให้สั่งเลิกการกระทำและอาจมีคำสั่งยุบพรรคนั้นได้ 

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ส่วนมาตราจริยธรรม หมวดที่ 2 มาตรา 73 กำหนดให้บัญญัติกฎหมายประมวลจริยธรรม ให้มีกลไกเป็นตามมาตราฐาน เพิ่มมาตรา 74/1 ดำเนินการตรวจสอบแบบฟอร์มการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง 5 ปี สำหรับการเข้าสู่ตำแหน่งที่สำคัญ อย่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ นอกจากให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสำหรับผู้ที่ได้รับเลือกอีกครั้ง 

 

ผิดโกง-ห้ามสมัครส.ส.ตลอดชีวิต

พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ส่วนคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.ในมาตรา 111 (8) ให้คงไว้ตามเดิมคือ เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่าการกระทำการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม แต่เพิ่มข้อความ (14) อยู่ระหว่างห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 247 ว่าด้วยเรื่องการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์ หรือถูกถอดถอนเหตุมาจากการจงใจใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และการประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง ส่วน (15) เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เพราะเหตุที่ว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อทุจริตในหน้าที่ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม 

"ผู้ที่เข้าข่ายในมาตรา 111 (8) และ (15) นั้น จะถูกตัดสิทธิในการสมัครเป็น ส.ส.ตลอดชีวิต ส่วนใน มาตรา 111 (14) จะถูกตัดสิทธิเพียง 5 ปี" พล.อ.เลิศรัตน์กล่าว และว่า การปรับเปลี่ยนในส่วนนี้เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 35 (4) และให้มีกลไกดำเนินการกับผู้ที่ทุจริตประพฤติมิชอบในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองต่อไป และให้สอดคล้องกับมาตรา 254 ว่าด้วยการถอดถอน ซึ่งแบ่งความผิดไว้ 2 กลุ่ม คือ ฐานความผิดขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายกับกระทำผิดต่อจริยธรรมร้ายแรง และมีผลพวงคือ ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตจากฐานความผิดที่บัญญัติไว้ในมาตรา 111 (15) ตนจะไม่ยกตัวอย่างบุคคลที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าว แต่หากบุคคลที่จะสมัครเป็น ส.ส.เข้าข่ายลักษณะนี้และสงสัยก็สามารถร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้

 

คาด"ปู"เข้าข่ายถูกห้ามลงชิงส.ส.

เมื่อถามว่าเรื่องการล้มล้างการปกครองต้องมีพฤติการณ์อย่างไร พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า ตรงนี้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความ อย่างไรก็ตามไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นหน้าที่ของ ส.ส. เมื่อถามว่า เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.เอาไว้เช่นนี้ จะมีผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 

ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ตลอดชีวิตหรือไม่ พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวว่า "อย่าให้ผมยกตัวอย่าง บางอย่างต้องไปตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ที่พูดไปนี้มีความชัดเจนว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น" 

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติถอดถอน อาจจะเข้าข่ายมาตรา 111 (15) คือเคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เพราะเหตุที่ว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อทุจริตในหน้าที่ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งราชการ ส่อกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งจะถูกตัดสิทธิในการสมัครเป็น ส.ส.ตลอดชีวิต

 

ส.ส.-ส.ว.ผิดโทษคุก10 ปีจับตัวได้

รายงานข่าวจากที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯแจ้งว่า กมธ.ยกร่างฯได้พิจารณาเรื่องเอกสิทธิ์คุ้มครองของสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ได้ข้อยุติแล้ว โดยกำหนดให้ระหว่างสมัยประชุมจะทำการจับกุม คุมขัง หรือออกหมายเรียก ส.ส.หรือ ส.ว.ไม่ได้ เว้นแต่กรณีได้รับอนุญาตจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา แต่ถ้าเป็นกรณีที่ถูกจับกุมขณะทำความผิดหรือในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือความผิดอื่นที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ส.ส.หรือ ส.ว.สามารถถูกสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องหาได้ 

ข่าวแจ้งว่า อย่างไรก็ตามหากมีการจับกุม ส.ส.หรือ ส.ว.ขณะทำความผิด จะต้องรายงานประธานสภาหรือประธานวุฒิสภาโดยทันที และประธานสภาทั้งสองอาจสั่งร้องขอให้ปล่อยตัวได้ เช่นเดียวกับการฟ้องร้อง ส.ส.และ ส.ว.ในคดีอาญา ไม่ว่าจะฟ้องนอกหรือในสมัยประชุมสภา และศาลจะพิจารณาคดีนั้นในสมัยประชุมไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาหรือวุฒิสภา แต่ถ้าเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หรือความผิดอื่นที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป รวมไปถึง ส.ส.หรือ ส.ว.ผู้นั้นยินยอมให้ดำเนินคดี ศาลจะสามารถพิจารณาคดีนั้นได้ แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่ ส.ส.หรือ ส.ว.มาประชุมสภา 

ทั้งนี้ มีรายงานว่าการประชุม กมธ.ยกร่างฯวันที่ 18 กรกฎาคม จะพิจารณาทบทวนเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด พร้อมพิจารณาทบทวนเรื่องคณะกรรมการสรรหา ส.ว.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!