WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1ทตสหรฐจไทย

ป้อมป้อง บิ๊กตู่ไม่คิดปิดปท. ทูตสหรัฐจี้ไทย เปิดพื้นที่ให้ปชช. ปูขึ้นศาลคดีข้าว กองเชียร์คับคั่ง แม้วซื้อเสื้อแดง

      'บิ๊กตู่'เปิดทำเนียบ ต้อนรับทูตสหรัฐ 'เดวีส์' จี้ไทยเร่งคืนประชาธิป ไตย เปิดพื้นที่ประชาชนร่วมร่างรธน.'บิ๊กป้อม' ป้องนายกฯ ยันไม่ปิดประเทศ วอนอย่าคิดมาก มองภาพเลอะเทอะ 'มีชัย' แจงระบบเลือกตั้งใหม่ ทุกคะแนนมีความหมาย พรรคการเมืองเข้มแข็ง ยันคนแพ้ โหวตโน ถูกตัดสิทธิแค่ครั้งเดียว กองเชียร์พรึ่บให้กำลังใจ'ปู' ขึ้นศาลตรวจพยานคดีจำนำข้าว เตือนนัดแต่งแดง 1 พ.ย. ระวังคำสั่งคสช. 'แม้ว' โพสต์ถอยเสื้อแดง ชี้ปรองดองเกิดได้ต้องมาจากใจที่เป็นธรรม สนช.แถลงเปิดคดี'สมศักดิ์'ปกปิดทรัพย์สิน'ดาว์พงษ์'สั่งล่ามือแฮ็กเว็บศธ.

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9102 ข่าวสดรายวัน

ต้อนรับ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้อนรับนายกลิน ทาว์นเซนต์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 ต.ค.

'บิ๊กตู่"ถกทูตสหรัฐ

      เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ เอกอัคร ราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยใช้เวลาพูดคุยนาน ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
    นายเดวีส์ เปิดเผยว่า การพบปะครั้งนี้ถือว่าใช้เวลาค่อนข้างยาว ยอมรับว่าส่วนใหญ่ตนเป็นผู้รับฟังมากกว่า และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายประเด็น อาทิ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสาธารณสุข ซึ่งต้องขอบคุณนายกฯที่ให้การต้อนรับอย่างดี หวังว่าจะได้พบปะพูดคุยกับนายกฯอีกในโอกาสต่างๆ ส่วนเรื่องสำคัญที่วางแผนจะดำเนินการในปีนี้มีจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ร่วมกันของสหรัฐและไทย ซึ่ง เป็นเรื่องเศรษฐกิจการค้า และการลงทุน ส่วนความสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคนั้น สหรัฐอยากเห็นประเทศไทยมีบทบาทนำในอาเซียน และมีขีดความสามารถเหมือนในอดีต

'เดวีส์'ย้ำให้เร่งคืนปชต.
     นายเดวีส์ กล่าวว่า ในการพูดคุยยังมีโอกาสได้พูดถึงประชาธิปไตยของไทย รวมถึงเรื่องโรดแม็ปและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นด้วย ซึ่งแนวคิดของสหรัฐที่มีต่อประเทศไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง และยังไม่เปลี่ยนแปลงจนถึง วันนี้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าอยากเห็นประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตย แต่ ตนไม่สามารถลงรายละเอียดในคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ ที่หารือกันได้เพราะจะเสียมารยาท ต้องให้พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้พูดเอง แต่ในฐานะมิตรประเทศ หวังว่าประเทศไทยจะเดินไปตามโรดแม็ป และเปิดพื้นที่ให้ การมีส่วนร่วมของสาธารณะและการถกเถียง มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนของประเทศไทย
      "ผมพึงพอใจในความต้องการของนายกฯที่ต้องการให้ไทยกลับสู่ประชาธิปไตยอีกด้วย เพราะในจุดยืนของสหรัฐนั้น สิ่งนี้จะสร้างความยั่งยืนของมิติด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ในการที่จะมีรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุน จากประชาชนทุกส่วนของประเทศไทย และผม มีแผนจะไปพบปะกับประชาชนกลุ่มต่างๆ โดยจะออกไปในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย ในหลายๆ ที่ เพื่อพบปะกับประชาชน ทุกกลุ่ม"นายเดวีส์กล่าว
      เมื่อถามถึงความร่วมมือยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี) และความร่วมมือคอบร้าโกลด์ของไทยและสหรัฐ นายเดวีส์กล่าวว่า ไม่ได้คุยกันในรายละเอียด แต่คุยกันในภาพรวมในเรื่องความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐว่ามีอะไรบ้างที่สหรัฐจะแบ่งปันร่วมกันกับไทยได้

นายกฯท้าพิสูจน์ความจริง
     ด้านพล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐ มายืนยันถึงความสำคัญที่ไทยมีต่อสหรัฐ และไม่ได้มากดดันไทย โดยมองว่าทุกอย่างเป็นแนวทางการแก้ปัญหาของคนไทยและประเทศไทย ซึ่งทูตสหรัฐเชื่อในความตั้งใจและความจริงใจของรัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ ว่ากำลังทำเพื่อประเทศไปสู่จุดหมายอย่างไร
     พล.วีรชน กล่าวว่า นายกฯได้อธิบายถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นในไทย มาจากอะไร มีความแตกแยกในสังคมอย่างไร สิ่งสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ได้บอกว่าไม่ต้องเชื่อเรา และเน้นย้ำว่าทูตสหรัฐไม่จำเป็นต้องฟังและ เชื่อ แต่ขอให้ฟังและนำข้อมูลเหล่านี้ไปศึกษา ไปสอบถามจากหลายๆ กลุ่มเพื่อมายืนยันข้อมูลว่า สิ่งที่พูดนั้นเป็นความเท็จหรือ ความจริง เมื่อถึงขั้นตอนนั้นสหรัฐจะเข้าใจ ในสิ่งที่เกิดในไทยมากยิ่งขึ้น
     นอกจากนี้ สหรัฐยังยืนยันเป็นมิตรกับไทยเหมือนเดิม ถึงแม้ตามกฎหมายต่างๆ ของเขา อาจมีปัญหาในด้านการปกครอง แต่ในด้านความร่วมมือต่างๆ ทูตสหรัฐยืนยันว่าจะสานต่อความสัมพันธ์และจะดำเนินการให้ไทย มีความร่วมมือกับสหรัฐอย่างแน่นแฟ้นใน ทุกด้าน ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร การศึกษา ไม่มีด้านใดลดลง

ยันใช้ม.44 สร้างสรรค์
     ผู้สื่อข่าวถามว่าได้ชี้แจงโรดแม็ปอย่างไร พล.ต.วีรชนกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าขั้นตอนที่ผ่านมาเราดำเนินการและใช้กติกาอย่างไร เช่น ใช้กฎอัยการศึกในช่วงต้น รวมถึงการใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ซึ่งที่ผ่านมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ไม่มีการทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน เว้นแต่บุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีคดีความก็ต้องว่าตามระบบ และนายกฯ ได้ยืนยันถึงระบบยุติธรรมของไทย ที่มีบางฝ่ายพูดดิสเครดิตว่าไม่น่าเชื่อถือ โดยนายกฯ อยากให้มองว่าที่ผ่านมาเป็น 10 ปี ระบบยุติธรรมเราทำงานมาตลอด ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐาน พยานข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้
     พล.ต.วีรชน กล่าวว่า นายกฯได้เล่าเกือบ 2 ชั่วโมงถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่าน โดยนายเดวีส์ ได้บอกว่าเชื่อในสิ่งที่นายกฯพูด เชื่อในความจริงใจและตั้งใจ และมีคำแนะนำว่า อยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการร่างรัฐธรรมนูญ ให้คน ที่ไม่ได้ออกเสียงมีพื้นที่มากขึ้น ซึ่งพล.อ. ประยุทธ์เห็นด้วย และให้ศึกษาว่าจะมีวิธีการอย่างไร วันนี้เป็นการพบปะที่สร้างสรรค์ และเป็นการยืนยันจากสหรัฐที่บอกว่าได้รับคำนโยบายมาจากวอชิงตัน ให้มาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทย

สหรัฐเชื่อมั่นไทย 99%
     "นายกฯได้ชี้แจงว่า การพบกันครั้งนี้ถือว่ามีความพิเศษ เพราะถูกจับตาจากหลายฝ่าย และได้ชี้แจงถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอด 10 ปี เกิดจากคน 2 กลุ่ม ทำให้รัฐบาลนี้ต้องเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งรัฐบาลจะเข้ามาชั่วคราวตามโรดแม็ป เพื่อเร่งสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น นายกฯชี้แจงด้วยว่าสิ่งที่พูดวันนี้ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด แต่อยากให้เปิดใจให้กว้าง รับฟังในส่วนรัฐบาลไทย และข้อมูลรอบๆ ด้านแล้วจะรู้ว่าความจริงคืออะไร ซึ่งทูตสหรัฐให้เกียรตินายกฯมาก เข้าใจถึงสถานการณ์ประเทศและเข้าใจในตัวนายกฯเป็นอย่างดี" พล.ต.วีรชนกล่าว
     พล.ต.วีรชน กล่าวว่า ทั้งหมดถือว่าท่าทีของสหรัฐต่อไทยดีขึ้นและเข้าใจไทยมากขึ้น เขาเชื่อมั่นเรา 99% ติดแค่เปอร์เซ็นต์เดียว คือเรื่องกฎหมาย และการพูดคุยครั้งนี้เป็น ไปอย่างสร้างสรรค์ การแนะนำต่างๆ ก็สร้างสรรค์ ไม่ใช่ต้องการแทรกแซง

'บิ๊กป้อม'ป้องนายกฯปมปิดปท.
      พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะนำไปสู่ความขัดแย้งว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพิ่งเริ่มดำเนินการ เขียนไปบรรทัดหรือครึ่งบรรทัดก็โวยวายกันแล้ว เป็นอย่างนี้ตายกันพอดี คนที่ทำไม่ต้องเขียนอะไร รอให้เขาทำก่อน ต้องไว้ใจ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ด้วย
     ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ ระบุหากประเทศมีความวุ่นวายจะปิดประเทศ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ใช่ นายกฯไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ความหมายจริงคือหากมีความรุนแรง วุ่นวาย ออกมาตีกันและมี คนตาย จนทำให้โรดแม็ปเดินต่อไปไม่ได้ อะไรแบบนั้นต่างหาก ดังนั้น อย่าไปมองภาพเลอะเทอะ ถ้าเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ได้ จะให้ทำอย่างไร จะให้คนออกมาตีกัน ยิงกัน มันก็ทำไม่ได้ นายกฯคงหมายความแบบนี้ต่างหาก อย่าไปคิดมาก
      ต่อข้อถามว่า คสช.มีแผนรองรับหากสถานการณ์ประเทศเลวร้ายขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า นายกฯพูดว่าถ้าโรดแม็ปเดินไปไม่ได้ เกิดความไม่ปรองดอง แต่การข่าวของเราระบุว่าสถานการณ์ไม่เป็นแบบนั้น คงไม่ต้องเตรียมแผนรองรับ ตนขอร้องว่าอย่าไปคิดมากเพราะประเทศกำลังเดินไปได้ดีอยู่แล้ว

หลอมทุกฝ่ายเป็นเนื้อเดียว
      ผู้สื่อข่าวถามว่าคำพูดของนายกฯบ่งบอกว่าสถานการณ์หวั่นไหวในช่วงนี้ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า "ถ้าคิดว่าหวั่นไหวก็คิดไป แต่ผมอธิบายแล้วหวั่นไหวหรือไม่ ถ้าเข้าใจ ก็ขอบคุณมาก" ต่อข้อถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีคนสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งจนเลือกตั้งไม่ได้ รองนายกฯกล่าวว่า อะไรที่เป็นเงื่อนไข รัฐบาลไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดเงื่อนไข และไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ถ้าเป็นเงื่อนไขของสองฝ่าย ตนไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อใดเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำทั้งสองฝ่าย ดังนั้น จึงไม่มีเงื่อนไข และมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่เกิดความ ขัดแย้งกันเอง และสร้างเงื่อนไขกันเอง รัฐบาลต้องการทำให้ทุกฝ่ายเป็นเนื้อเดียวกันหมด เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความสงบ


สู้คดี - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับมอบดอกไม้ให้กำลังใจจากประชาชน ขณะไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อตรวจหลักฐานคดีจำนำข้าว โดยศาลนัดไต่สวนพยานนัดแรก 15 ม.ค. จนถึงพ.ย. 59

      พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงการปราบผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ ว่า ไม่ใช่การปราบปราบผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แต่ดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยในพื้นที่โดยเฉพาะปัญหาอาวุธสงคราม ตอนนี้ไม่ค่อยมีแล้ว แต่ถ้ามีพื้นที่ใดเราจะส่งเจ้าหน้าที่ไปดูทุกพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งนายกฯได้ลงนามแต่งตั้งคณะทำงานเรียบร้อยแล้ว โดยมีตนเป็นประธาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการร่วมกัน ไม่ว่าจะคสช. กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ส่วนจะเริ่มดำเนินการเมื่อใดนั้น ต้องรอตนประชุมอีกที

'มีชัย'แจงระบบเลือกตั้งใหม่
     ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. แถลงทำความเข้าใจประเด็นระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่จะนำคะแนนของ ผู้สมัครที่ไม่ได้รับเลือกตั้งส.ส.ในระบบเขต มาคำนวณเพื่อให้ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า แนวคิดนี้เกิดจากการดูตัวเลขครั้งที่ผ่านๆ มา ที่ทุกฝ่ายต้องการให้ทุกคะแนนมีความหมาย ไม่ให้รู้สึกว่าคะแนนหายไป กรธ.จึงหาทางให้ทุกคะแนนได้รับการยอมรับและเป็นธรรม สมกับที่พูดว่าการเลือกตั้งระบอบประชาธิปไตยต้องเคารพเสียงประชาชน ซึ่งทั่วโลกก็คิดแบบนี้ และจัดระบบการเลือกตั้งให้มีทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ เชื่อว่าแต่ละพรรคต้องเลือกคนดีมาสมัครรับเลือกตั้ง เพราะคนเลือกจะดูว่าพรรคให้เกียรติคนเลือกมากแค่ไหน จะได้ไม่มีคำพูดว่าส่งเสาโทรเลขลงก็ชนะ
     นายมีชัย กล่าวว่า ระบบเลือกตั้งดังกล่าว จะไม่ทำให้พรรคอ่อนแอ แต่จะยิ่งทำให้ เข้มแข็งมากขึ้น ทั้งพรรคกับคนต้องไป ด้วยกัน ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นที่แต่ละภาคเป็นของพรรคนั้นพรรคนี้ จะไม่เป็นเช่นนั้นอีก จะไม่เกิดการแบ่งแยก ไม่มีการได้เปรียบ เสียเปรียบ ซึ่งระบบนี้ กรธ.นึกถึงประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ได้คำนึงว่าพรรคใดได้เปรียบเสียเปรียบ โดยพรรคต้องทำให้เกิดความนิยมเอง ผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อ จากเดิมที่อยู่เฉยๆ ก็ต้องลงไปช่วยหาเสียง ทำให้ใกล้ชิดประชาชนมากกว่าเดิม อีกทั้งยังกระตุ้นให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ เพราะคนเคยคิดว่าเขตนี้พรรคที่ชอบสู้ไม่ได้ก็ไม่ออกไปใช้สิทธิ์ แต่ระบบใหม่ทุกคะแนนมีความหมาย ทำให้คนอยากออกไปใช้สิทธิ์

ยันแพ้โหวตโนไม่ตัดสิทธิ์
      "ส่วนที่กลัวว่าระบบนี้จะไม่เป็นสากลนั้น เราเป็นประเทศเอกราช มีสิทธิคิดได้เอง อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนสากลก็ได้ หวังว่าระบบเลือกตั้งแบบนี้จะช่วยให้การทุจริตน้อยลง รวมถึงกรธ.จะสร้างกลไกอื่นเพื่อควบคุมการทุจริตเลือกตั้งควบคู่ไปด้วย และประชาชนต้องช่วยกันดูไม่ให้คะแนนเสียงมีค่าน้อยลง หรือเพิ่มขึ้นแบบผิดปกติ" นายมีชัยกล่าว
      นายมีชัย กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าคนแพ้โหวตโน จะลงสมัครเลือกตั้งไม่ได้ตลอดชีวิตว่า เป็นการบิดเบือน หลอกลวง ทำให้ดู ร้ายแรง กรธ.ไม่ได้คิดเช่นนั้น การที่ประชาชนลงคะแนนโหวตโน แปลว่าเขาเห็นว่าคนที่มาลงสมัครไม่ได้เรื่องสักคน ซึ่งบอกให้พรรครู้ว่าไม่ถูกใจ ต้องหาคนใหม่ กรธ.เพียงแต่คิดว่าเมื่อไม่มีใครได้รับเลือกตั้งในครั้งนั้น การจัดเลือกตั้งใหม่ ผู้สมัครเดิมจะยังควรมีสิทธิ์ลงสมัครในครั้งนั้นหรือไม่ หรือให้พรรคต้อง ส่งคนใหม่ลง ส่วนคนเดิมไปลงสมัครครั้ง ต่อไปได้ แต่เรื่องนี้ยังไม่สรุปแน่นอน
      ประธานกรธ.กล่าวว่า ยืนยันว่ากรธ.ไม่มีแนวคิดตัดสิทธิ์ตลอดชีวิตของคนที่แพ้โหวตโน ซึ่งแตกต่างกับคนทุจริต ส่วนตัวมั่นใจว่าควรใช้คุณสมบัติเดียวกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ห้ามลงสมัครอีกต่อไป ส่วนที่ผิดกฎหมายเลือกตั้งนั้น กรธ.กำลังพิจารณาว่าจะตัดสิทธิ์ขนาดไหน นอกจากนี้แนวโน้มของผู้สมัครรับเลือกตั้ง เบื้องต้นกรธ.เห็นว่ายังต้องสังกัดพรรค เพื่อให้เป็นกลุ่มก้อน ลดการซื้อขายเสียงในสภา ทั้งนี้ ภายใน 1-2 สัปดาห์ น่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง

เปิด 7 ช่องทางรับฟังร่างรธน.
      ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรธ. ในฐานะประธานอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างด้านนิติบัญญัติกล่าวว่า เราได้ศึกษาและวิเคราะห์ระบบเลือกตั้งจากทั่วโลกใช้อยู่ พบว่าแนวคิดของเราเป็นระบบเลือกตั้งแบบผสมคู่ขนานประเภทหนึ่ง ที่เข้ากับวิถีคนไทยที่ใช้กันมา ไม่ขัดหลักสากล ซึ่งส.ส.ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน วิธีการไม่ซับซ้อน กาบัตรเพียงใบเดียว และให้ทุกคะแนนมีความหมาย ไม่สูญเปล่า และยังทำให้คนที่ลงสมัครส.ส.เขตต้องปรับตัวจากเดิมเสนอแต่ตัวเอง ก็ต้องนำเสนอนโยบายพรรคด้วย กรณีที่ตัวเองไม่ได้เป็นส.ส.เขต แต่พรรคยังได้คะแนน
      นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกกรธ. แถลงความคืบหน้าการประชุมว่า คณะอนุกรรม การรับฟังและสรุปความเห็นที่มีผู้เสนอแนะในกรธ.ได้เปิดช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 7 ช่องทางคือ ตู้ปณ 9 ปณฝ.รัฐสภา 10305 เว็บไซต์ กรธ. เฟซบุ๊ก และ ไลน์ ชื่อ "รัฐธรรมนูญใหม่ของเรา" อีเมล์ ourcons59@paliament.go.th และกล่องรับฟังความเห็นที่ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ หรือยื่นตรงต่อกรธ.ที่รัฐสภา โดยหวังว่าประชาชนจะเข้ามาแสดงความคิดเห็นตามช่องทางดังกล่าว
     รายงานข่าวจาก กรธ.แจ้งว่า ที่ประชุม ได้พิจารณาถึงกระบวนการและระบบเลือกตั้ง เกี่ยวกับหลักการนับคะแนนที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่าให้นำคะแนนของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.ระบบเขต ไปคำนวณให้กับส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะทำให้ทุกคะแนนที่ประชาชนลงคะแนนไปนั้นไม่สูญเปล่า โดยที่ประชุมเห็นว่า เพื่อให้ประชาชนเข้าใจง่าย และไม่ถูกนำตีความหมายให้ผิดเพี้ยน จึงมีความเห็นร่วมกันให้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ระบบจัดสรรปันส่วนผสม" หรือภาษาชาวบ้านว่า "นับทุกคะแนนเพื่อผู้แทนของทุกคน" หมายถึงรวมทุกคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ โดยรวมถึงคะแนนโหวตโนด้วย ถือว่าชื่อดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กรธ.ต้องการทำให้เสียงของประชาชนเป็นใหญ่ และคะแนนเสียง ทุกเสียงมีความหมาย

'มาร์ค'จี้กรธ.ทบทวน
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวคิดระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ของกรธ.ว่า ควรปรับแก้ในรายละเอียด อยากให้ทบทวนว่าการเลือกตั้งแบบใช้บัตรเพียง 1 ใบนั้นดีจริงหรือไม่ คะแนนควรนับคะแนนคนชนะด้วยหรือไม่ รวมถึง จะป้องกันการซื้อเสียง การมีพรรคนอมินีอย่างไร แต่กรธ.ตั้งหลักแบบนี้ถูกแล้ว ตนเห็นด้วยกับการตั้งหลักการเลือกตั้ง คือ 1.ให้ความสำคัญกับเจตนารมณ์ของประชาชนไม่โยนคะแนนทิ้งไป 2.หาทางช่วยลดการทุจริต การซื้อเสียง และ 3.เป็นการเลือกตั้งที่ไม่นำไปสู่ความแตกแยกจนเกินไป แต่ถ้าจะตอบโจทย์ทั้งหมด กรธ.อาจจะต้องทบทวนปรับแก้
    นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าอยากให้คนไปกาใบเดียว แต่ความจริงการกา 2 ใบ ไม่ได้ซับซ้อน ที่สำคัญคือเวลากาใบเดียว การค้นหาเจตนารมณ์ประชาชนยากขึ้น จึงขอเสนอว่าให้กรธ.พิจารณาให้ดี เพราะการซื้อเสียงรุนแรงมากถ้าซื้อเสียงผ่านระบบเขต การซื้อเสียงระบบบัญชีนั้นยาก เพราะถ้า เหลือใบเดียว คะแนนผู้ชนะถูกทิ้งไป เห็นว่า จะทำให้การแข่งขันรุนแรง จึงต้องไปคิดวิธีว่าจะต้องปรับแก้อย่างไร

ศาลนัดตรวจพยานคดีข้าว
      เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ ศาลฎีกาฯ นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางมาถึงศาลฎีกาฯ ในเวลา 09.00 น. ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทย และ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง ขณะที่บริเวณหน้าศาลฎีกามีประชาชนกว่า 200 คน มามอบดอกไม้ให้กำลังใจ พร้อมชูป้ายข้อความระบุว่า ประชาธิปไตยจงเจริญ นายกฯมาจากการเลือกตั้งต้องได้รับความยุติธรรม และอย่ารังแกผู้หญิงของประชาชน เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เข้าไปทักทาย ประชาชนก็ตะโกนคำว่า "นายกฯ สู้ๆ" ท่ามกลาง การรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อย และเจ้าหน้าที่ทหารทั้งในและ นอกเครื่องแบบ

กำหนดไต่สวนต้นปีหน้า
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.30 น. ก่อนเริ่มกระบวนการพิจารณา ศาลแจ้งให้คู่ความทราบว่า นายศิริชัย วัฒนโยธิน ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไปดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ และที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาอนุญาตให้นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิม ซึ่งเป็นประธานศาลฎีกา ถอนตัวจากองค์คณะผู้พิพากษา ในคดีนี้ ทำให้องค์คณะผู้พิพากษาทั้งสอง พ้นหน้าที่จากการเป็นองค์คณะผู้พิพากษา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงเลือกนายโสภณ โรจน์อนนท์ และนายพิศล พิรุณ เป็นองค์คณะผู้พิพากษาแทน คู่ความแถลงไม่ติดใจคัดค้าน องค์คณะผู้พิพากษาจึงพิจารณาเลือกนายชีพ จุลมนต์ เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน
      ขณะที่การตรวจพยานหลักฐาน องค์คณะได้พิจารณาตามบัญชีของพยานโจทก์ และจำเลย ที่เสนอมาแล้ว เห็นว่าให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวน 14 ปาก จากเดิมที่ยื่นบัญชีพยาน 17 ปาก และกำหนดให้ไต่สวนพยานโจทก์ 5 นัด เริ่มนัดแรกวันที่ 15 ม.ค.2559 วันที่ 17 และ 26 ก.พ.2559 วันที่ 4 และ 23 มี.ค.2559
    สำหรับ จำเลย ศาลอนุญาตให้นำพยาน เข้าไต่สวน 42 ปาก จากเดิมยื่นขอ 43 ปาก ใช้เวลาไต่สวนพยานจำเลย 16 นัด เริ่มวันที่ 1 และ 22 เม.ย.2559 วันที่ 13 และ 18 พ.ค.2559 วันที่ 17 และ 24 มิ.ย.2559 วันที่ 8 และ 22 ก.ค.2559 วันที่ 5 และ 19 ส.ค.2559 วันที่ 9 และ 23 ก.ย.2559 วันที่ 7 และ 21 ต.ค.2559 วันที่ 4 และ 18 พ.ย.2559 เวลา 09.30 น.

'ปู'มั่นใจได้ความเป็นธรรม
      ส่วนนายบรรยง อินทนา นางสวีณา พลพืชน์ น.ส.ศิรษา กันต์พิทยา พยานโจทก์อีก 3 ปาก และนางสดศรี สัตยธรรม อดีตกกต. พยานจำเลยอีกหนึ่งปากให้รอพิจารณาสั่งว่าจะให้ไต่สวนหรือไม่ เมื่อศาลได้ไต่สวนพยานแต่ละฝ่ายเสร็จสิ้นแล้ว
      โดยศาลฎีกาฯ ได้กำชับให้คู่ความทั้ง สองฝ่าย ส่งคำเบิกความพยานให้ศาลก่อน วันนัด 14 วัน และส่งประเด็นคำถามเสนอศาลก่อน 7 วัน พร้อมกำชับให้นำพยานที่จะเข้าไต่สวนมาตามนัด
    น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับฟังผลการตรวจพยาน ถึงกรณีศาลฎีกาฯให้เพิ่มเติมพยานว่า พยาน 42 ปาก มีหลายปาก ที่ป.ป.ช.ไม่รับ แต่ศาลเห็นควรให้เพิ่มเติม เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ และผู้เชี่ยวชาญในโครงการรับจำนำข้าว ส่วนที่ศาลรับพยานที่ป.ป.ช.ไม่รับ ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ก็เห็นว่าดีขึ้น อย่างน้อยได้มีพยานที่ป.ป.ช.ได้ตัดออกเข้ามาซึ่งตนมั่นใจในพยานทั้งหมด ทั้งนี้ได้ยื่นพยานเบื้องต้นทั้งหมดกว่า 80 ปาก ได้รับอนุญาตจากศาลทั้งหมด 42 ปาก หากรวมนางสดศรี จะเป็น 43 ปาก เชื่อว่าศาลฎีกาฯจะให้ความเป็นธรรม และตนก็พร้อมต่อสู้ตามกระบวนกฎหมาย

ขอบคุณทุกกำลังใจ
     ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสการแต่งเสื้อแดง ให้กำลังใจต่อสู้คดีจำนำข้าวในวันที่ 1 พ.ย.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ส่งกำลังใจให้ตน แต่ขอให้คำนึงถึงคำสั่งของคสช. และรัฐบาล เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และอยากให้เข้าสู่การปรองดอง เมื่อถามว่าคสช.ได้ขอความร่วมมือไม่ให้แต่งเสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย.หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามพร้อมขึ้นรถกลับในทันที
     ด้านนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า พยานสำคัญ ที่จะนำไต่สวนในคดีนี้ อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์ นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และอดีตที่ปรึกษานายกฯสมัย รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ นายสัตวแพทย์ ชัย วัชรงค์ นักวิชาการอิสระ นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะกรรมการผู้บริหารกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (เครือเจริญโภคภัณฑ์) นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ส่วนนางสดศรีที่ศาลให้ รอฟังว่าจะให้นำเข้าไต่สวนเพิ่มจากพยาน 42 ปากหรือไม่นั้น ในการต่อสู้คดีเราต้องการให้นางสดศรีเข้าเบิกความประเด็นนโยบายการเมืองที่หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง
      นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ส่วนการนัดสืบพยานทั้ง 21 นัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องมาเองทุกนัด เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ก็ทำคำร้องขอมายังศาล ซึ่งพยานปากสุดท้ายจะให้ปากคำในวันที่ 18 พ.ย.2559 หลังจากนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องมาแถลงปิดคดีและนัดตัดสินต่อไป เวลานี้ต้องทำให้ดีที่สุด จะกังวลอะไรไม่ได้แล้ว ซึ่งเราจะชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้ไม่ได้ทำประเทศเสียหายอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวหา และไม่ใช่น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำเพียงลำพัง แต่ทำผ่านครม.

'วิษณุ'คาดคลังยืดสอบ 30 วัน
     ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบพยานโครงการรับจำนำข้าวของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความรับผิดทางละเมิดกระทรวงการคลัง ว่า กรรมการยังมีเวลาสอบอีก 1 วันที่จะครบกำหนดสรุปข้อเท็จจริงภายหลังการขยายเวลาที่จะสิ้นสุดสิ้นต.ค.นี้ แต่หากยังไม่แล้วเสร็จสามารถขยายระยะเวลาเพิ่มอีกได้ และคาดคณะกรรมการจะขยายเวลาไปอีก 30 วัน โดยต้องขอกับพล.อ.ประยุทธ์ และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ซึ่งมีอำนาจลงนามคำสั่ง เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาขอระบุพยานและคณะกรรมการจะได้มีเวลารับฟังพยานเหล่านั้น พยาน บางส่วนเข้ามาให้ข้อมูลแล้วแต่ยังมี 2-3 คน ที่ติดภารกิจและจะว่างเดือนพ.ย.นี้ ส่วนน.ส. ยิ่งลักษณ์ เข้าใจว่ายังไม่ได้เดินทางไปให้ปากคำเพราะถ้ามาให้ข้อมูลสื่อคงทราบแล้ว
     รองนายกฯ กล่าวว่า สำหรับข้อมูลความเสียหายที่คณะกรรมการของกระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบและส่งมาถึงตนนั้น กำลังจะส่ง ให้พล.อ.ประยุทธ์ เดิมจะส่งไปพร้อมข้อมูล ของกระทรวงการคลังแต่มีการขยายเวลาจึงต้องส่งของกระทรวงพาณิชย์ไปก่อน สำหรับตัวเลขที่ยังไม่ชัดเจนซึ่งรัฐบาลได้สอบถามกลับไปยังกระทรวงพาณิชย์ได้ส่งมาแล้ว เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาว่ามีการคำนวณตัวเลขความเสียหาย กันอย่างไร โดยที่ตนยังไม่เห็นข้อมูล

ระบุเหตุเร่งรัดข้อหาละเมิด
     นายวิษณุ กล่าวว่า ส่วนที่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อว่าเป็นใครเพราะต้องให้เกียรติเขาด้วย รู้สึกเป็นการเร่งรัดพิจารณาและเพื่อกลั่นแกล้งนั้นไม่ได้เร่งรัดแต่มีเหตุผล 3-4 ข้อ คือ 1.กำหนดเวลามีอายุความ 2 ปี จะไม่เร่งรัดไม่ได้ 2.ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าในเมื่อมีเวลา 2 ปี ไปจนถึงปี 2560 ยังมีเหลือเวลาอีกนานนั้น อย่าลืมว่ากระบวนการสอบสวนมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากและขั้นตอนยังอีกยาว ฉะนั้นต้องให้กระบวนการสอบจบโดยเร็วเพื่อไปสู่กระบวนการของกระทรวงการคลังที่จะตั้งกรรมการเพื่อพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ตรงนี้เขาจะต้องรื้อสอบใหม่ทั้งหมด บวกกับต้องดำเนินการเพื่อออกคำสั่งทางปกครอง ซึ่งกระบวนการยาวกว่าที่ผ่านมา
      3.กระบวนที่ดูเหมือนจะมีการเร่งรัดแต่ไม่มีการกลั่นแกล้ง เพราะขั้นตอนต้องเดินตามแบบ โดยมีการกำชับว่าต้องให้เป็นธรรม ถึงได้ขยายเวลาสอบพยานเพิ่มเพื่อรับฟังพยาน และกรณีของกระทรวงพาณิชย์ในการขายข้าวแบบจีทูจี ต้องฟ้องหรือดำเนินคดีกับเอกชนอีกหลายรายซึ่งมีอายุความที่สั้นกว่าคือต้องดำเนินการภายใน 1 ปี แต่ตอนนี้ยังทำอะไร ไม่ได้ เพราะต้องรอฟังคดีของของหน้าที่รัฐ ที่ต้องรับผิดก่อน จนรู้ว่าใครต้องรับผิดเท่าไร อย่างไร จึงจะไปคิดในส่วนของเอกชน ซึ่งต่างจากคดีของอดีตนายกฯ ที่ไม่มีเรื่องต้องดำเนินคดีกับเอกชน ดังนั้นต้องทำเรื่องที่ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เสร็จโดยเร็วก่อน

'แม้ว'โพสต์ถอยเสื้อแดง
    วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว ระบุว่า "ไม่รู้แฟชั่นปีนี้ ทุกแบรนด์ดังๆ มีแต่สีแดง ทั้งๆ ที่ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ปกติน่าจะเน้นสีมืดๆ ปีนี้ ผมก็กลัวจะตกเทรนด์ เลยเข้าไปถอยเสื้อแดงจาก Fanconnable และจาก Billionaire มาใส่ แต่เป็นสีแดงที่มีเหลืองปนนิดๆ ความปรองดอง ความยุติธรรมจะเกิดได้จากใจที่เป็นธรรมด้วย"
     นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การโพสต์อินสตา แกรมของนายทักษิณ เชื่อว่าไม่ได้ส่งสัญญาณหวังให้คนออกมาใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ปกตินายทักษิณ ก็ใส่เสื้อแดงบ่อยอยู่แล้ว คงไม่เกี่ยวกับการนัดในวันดังกล่าว ฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ต้องกังวลเกินเหตุ หากจะมีคน ใส่เสื้อแดงในวันนั้นก็คงใส่อยู่ในบ้านใครบ้านมันเท่านั้น
     นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผวจ.เชียงใหม่ กล่าวถึงกระแสข่าวกลุ่มคนเสื้อแดงในเชียงใหม่และทั่วประเทศจะรวมตัวกันใส่เสื้อแดงในวันที่ 1 พ.ย.เพื่อให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ตนได้รับข่าวมาเหมือนกัน แต่ขอให้เป็นหน้าที่ของทหาร และตำรวจ ภาค 5 ดำเนินการ คิดว่าคงไม่มีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ใดๆ

3 สนช.ใหม่ปฏิบัติหน้าที่
     เมื่อเวลา 08.30 น. ที่รัฐสภา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ได้รับพระ บรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเพิ่มเติม 3 คน ได้แก่ พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. พล.ร.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ และพล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. ได้เข้ารายงานตัวที่หน้าห้องประชุมรัฐสภา ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 1 โดยพล.ต.อ.พงศพัศกล่าวว่า ตนจะนำประสบการณ์มาปรับใช้ ส่วนจะทำหน้าที่ ในคณะกรรมาธิการ(กมธ.)สามัญคณะใดนั้น ต้องรอดูก่อน แต่สนใจทำหน้าที่ในกมธ. การกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ แทนพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ที่ลาออก ซึ่งเคยทำหน้าที่ในกมธ.ดังกล่าว
    เวลา 10.00 น. มีการประชุมสนช. โดยมีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. คน ที่ 2 เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯประกาศแต่งตั้งสมาชิกสนช.เพิ่มเติม 3 คน ก่อนจะให้สมาชิกปฏิญาณตน ปฏิบัติหน้าที่ในทันที

แถลงเปิดคดี"ตือ"รวยผิดปกติ
     จากนั้นที่ประชุม พิจารณาวาระกระบวน การถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยเป็นการแถลงเปิดสำนวนคดี ของฝ่ายผู้กล่าวหา คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และผู้ถูกกล่าวหา คือนายสมศักดิ์
     นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการป.ป.ช. แถลงเปิดสำนวนคดีว่า ข้อกล่าวหานายสมศักดิ์ กรณีร่ำรวยผิดปกติและจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 เนื่องจากตรวจสอบพบว่านายสมศักดิ์ ไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์ในส่วนของบ้านพักเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มูลค่า 16 ล้านบาท แม้นายสมศักดิ์จะยืนยันว่าเป็นบ้านของนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ และนายเกรียงศักดิ์ ฉัตรบริรักษ์ พี่ชายภรรยา ไม่ใช่บ้านของตนเอง และใช้เงินจากโรงสีวิเศษชัยชาญเจริญกิจในการปลูกสร้าง แต่ป.ป.ช.ไต่สวนพบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านของนายสมศักดิ์ ที่ปลูกสร้างในปี 2541 ช่วงที่นายสมศักดิ์เป็นรมช.ศึกษาธิการ ซึ่งก่อสร้างต่อเนื่องจนเสร็จปี 2544 ในช่วงที่นายสมศักดิ์ เป็นรมว.ศึกษาธิการ

จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน
     นายณรงค์ กล่าวว่า นายสมศักดิ์ ยังไม่ได้แสดงบัญชีเงินฝากของนายสมศักดิ์และคู่สมรสที่ใช้ชื่อบัญชีบุคคลอื่น ป.ป.ช.จึงมีมติว่านายสมศักดิ์ ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังมีคำพิพากษาว่า นายสมศักดิ์ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ส่งผลให้นายสมศักดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี รวมทั้งมีโทษทางอาญาด้วย
      นายณรงค์ กล่าวว่า ส่วนนายสมศักดิ์ นำเงินจากที่ใดมาปลูกสร้างนั้น จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ที่ศาลฎีกาฯ อีกทั้งนายสมศักดิ์ เบิกความมาตลอดว่าไม่ใช่บ้านของตนเอง แต่เมื่อศาลฎีกาฯมีคำพิพากษาแล้ว นายสมศักดิ์กลับคำให้การโดยยืนยันว่า บ้านหลังดังกล่าวปลูกสร้างด้วยเงินสด และเงินที่ได้มานั้นได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคชาติไทยขณะนั้น
      "ตามคำให้การและคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯ ได้ฟังข้อเท็จจริงจากอดีตเหรัญญิกพรรคชาติไทย ที่ยืนยันว่าช่วงปลายปี 2549 นายสมศักดิ์ ได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคและบุคคลไม่ทราบชื่อ รวม 29 ล้านบาทเศษ แต่ตรวจสอบภาษีเงินได้ พบว่านายสมศักดิ์ มีรายได้ในช่วงปี 2541-49 จำนวน 5 ล้านบาทเศษ ป.ป.ช.จึงเห็นว่าเงินกับทรัพย์สินไม่สอดคล้องกัน จึงเห็นว่านายสมศักดิ์ ร่ำรวย ผิดปกติ ป.ป.ช.จึงยื่นเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็น ของแผ่นดิน และได้ส่งรายงานมายังประธานวุฒิสภา เพื่อถอดถอนนายสมศักดิ์ ส่วนที่ป.ป.ช.ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ขณะนี้อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องแล้วและศาลได้รับเรื่อง เป็นคดีแล้ว" นายณรงค์กล่าว

'สมศักดิ์'อ้างไม่รู้กฎหมาย
     ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเข้าใจผิดว่าทรัพย์สินที่ไม่ใช้ชื่อตัวเอง ไม่ต้องแจ้ง จึงไม่ได้แจ้ง และเงินสดนั้นเป็นเงินสดที่ได้มาจากการเลือกตั้งและเหลือจากการเลือกตั้ง เมื่อได้เงินมาแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งไปหมุนในกิจการโรงสี เนื่องจากช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงมาก และเมื่อนำเงินไปใช้ทำโรงสีจึงไม่ได้แจ้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เงินกลับมาจึงนำมาใช้สร้างบ้าน จึงเป็นที่มาว่า ตนแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
    "ช่วงที่ผมเป็นรมว.ศึกษาธิการ อยู่ในภาวะเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง นายชวน หลีกภัย นายกฯขณะนั้น มีนโยบายให้ใช้สติ อย่าใช้เงินแก้ปัญหา ผมจึงไม่เคยทำเรื่องขออนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่แม้แต่ครั้งเดียว หรือใช้อำนาจหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ใดๆ และไม่เคยถูกร้องเรียนทุจริตหรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่แทรกแซงการทำงานของกรมใด" นายสมศักดิ์กล่าว

จวกป.ป.ช.อนุมานเอง
      นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง พรรคจะให้เงินสนับสนุนกับผู้สมัครที่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งสูง และแต่ละพรรคยังมีมุ้งที่ผู้ใหญ่พรรคอยากได้เสียงมาสนับสนุนเป็นรัฐมนตรี ซึ่งตนจดไว้หมด การเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงเหลือเงินสด แต่ไม่ได้แจ้งแก่ป.ป.ช. และไม่มีนักการเมืองคนไหนชี้แจง เพราะเป็นเงินที่ใช้ดูแลชาวบ้านในการลงพื้นที่ นี่คือเหตุผลและเป็นความจริงที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าป.ป.ช.ไม่ใช่นักการเมือง ไม่รู้นักการเมืองทำอย่างไร แต่ใช้ตรรกะและอนุมานเอาเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร พร้อมยอมรับ แต่ไม่อยากให้การตัดสินใจของ สนช.ที่ตัดสินใจแล้วจะทำให้เสียหลักการ และสังคมต้อง สูญเสียความยุติธรรม
      จากนั้น ที่ประชุมได้ตั้งคณะกรรมการซักถาม 1 คณะ เพื่อพิจารณาประเด็นซักถามของสมาชิก สนช. โดยจะเปิดให้สมาชิกยื่นญัตติซักถามได้ภายในเวลา 12.00 น.ของวันที่ 30 ต.ค.นี้ และนัดประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นซักถามในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.
        ต่อมา ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่คณะกรรมการสรรหาเป็นผู้เสนอ โดยมีการประชุมลับเพื่อพิจารณาคุณสมบัติและความเหมาะสม ก่อนลงมติเห็นชอบให้ นายปัญญา อุดชาชน เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนน 151 ต่อ 28 งดออกเสียง 11 โดยประธานสนช.จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไป

'ดาว์พงษ์'ยัวะเว็บศธ.โดนแฮ็ก
      เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีเว็บไซต์ www.moe.go.th ของกระทรวงศึกษาธิการ โดนมือดีแฮ็กเข้าไปลบรูปภาพ และข้อมูลภารกิจงานของรัฐมนตรีออก พร้อมเปลี่ยนรูปภาพและแสดงข้อความ Hacked By KlaKil /TurkHack Team.Net/ แทนว่า ทราบว่าเหตุเกิดช่วงค่ำวันที่ 28 ต.ค. แต่เจ้าหน้าที่แก้ไขให้กลับสู่หน้าเว็บปกติแล้ว ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานเหตุการณ์มาโดยด่วน แม้วันนี้ยังไม่มีอะไรแต่วันหน้าอาจเป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่สามารถ นิ่งนอนใจได้
      "เรื่องนี้ปล่อยไม่ได้ ต้องกัดติด จะมาเล่นกับผมแบบนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าคนที่ทำคิดอะไร ที่ผ่านมากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) หรือกระทรวงกลาโหม เคยโดนแฮ็กมาแล้ว คิดว่าคนแฮ็กคงไล่เข้าไปเช็กดูรายละเอียดของเว็บต่างๆ ว่ามีช่องว่าง ให้เข้าไปแฮ็กที่ไหนได้บ้าง" พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าว
      พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีแนวคิดจะตั้งซีอีโอด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอซีทีศึกษาธิการขึ้นมาดูแลงานด้านไอซีทีขององค์กรหลักกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 5 แท่ง โดยมอบให้นายอนุสรณ์ ฟูเจริญ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานคณะทำงาน เพื่อให้เห็นภาพรวมงานด้านไอซีทีทั้งหมด จากปัจจุบันที่ต่างคนต่างทำ ส่วนจะ แจ้งความดำเนินคดีกับคนที่แฮ็กเว็บไซต์นี้หรือไม่นั้น ขอเวลาตรวจสอบก่อน

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!