WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1เซลฟ

อ๋อย เย้ยสูตร สส.'แกงโฮะ'พท.ยก 8 ข้อค้าน 'บิ๊กตู่'ครวญอีก ไม่มีคนสงสาร

     เพื่อไทยแถลง 8 ข้อ ค้านเลือกตั้ง'จัดสรรปันส่วนผสม'จาตุรนต์เย้ยสูตรแกงโฮะ ปชป. ก็ติงนับคะแนนคนแพ้ซ้ำ ไม่เป็นธรรมคนชนะ 'มีชัย'ยันเดินหน้าต่อ แต่ยังไม่ตกผลึกวิธีคำนวณ 'บิ๊กตู่'ย้ำอีกไม่ได้เข้ามารังแกใคร แต่มาเดินหน้ากระบวนการยุติธรรม ครวญไร้คนสงสาร บิ๊กป้อมชี้'ม.44'แค่มีให้จนท.อุ่นใจ'นพดล'วอนผู้มีอำนาจทบทวนใช้'ม.44'คดีข้าว เหตุขัดหลักนิติธรรม 'วรชัย'สงสัย จนท.ไม่ผิดจะกลัวอะไรถึงต้องคุ้มครอง สนช.นัด 13 พ.ย. ลงมติถอดถอน'ตือ'

วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9109 ข่าวสดรายวัน

เซลฟี่- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วมถ่ายรูปเซลฟี่กับนักเรียน ในโครงการจัดนิทรรศการและสื่อสารคดีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ ทำเนียบรัฐบาล 5 พ.ย.

 

'บิ๊กตู่'บ่นไม่มีใครสงสารตนเลย

     เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดสื่อสารคดีในโครงการจัดนิทรรศการและสื่อสารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

     พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ปัญหาในประเทศวันนี้ยังไม่จบ แต่เป็นไปด้วยดีในระดับที่ 1 ซึ่งระดับที่ 2 จะต้องดีกว่านี้ ในเวลาที่เหลืออยู่ 18 เดือน จากนั้นต้องพึ่งคนไทยทุกคนที่ต้องเลือกตั้งให้ประเทศเดินหน้าด้วยประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ มีรัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน และพูดได้อย่างที่ตนพูด วันนี้เริ่มเห็นทางสว่างในอนาคตว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปด้วยดี

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าไม่ได้เข้ามาเพื่อรังแกใคร แต่เข้ามาเดินหน้ากระบวนการยุติธรรม และสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ ไม่ได้อยากอยู่ให้เสียไปเรื่อยๆ ทำไมไม่มีใครสงสารตนเลย มัวแต่สงสารนางเอกในละคร แต่ตนและครม.เข้ามาทำเพื่อทุกคน เพราะเห็นอันตรายของบ้านเมือง ถ้าประเทศไม่เข้มแข็ง อีก 2-3 ปีเราจะตกไปอยู่อันดับท้ายสุดในอาเซียน เพราะไทยเอาแต่เรื่องเลือกตั้งเพื่อจะเข้ามาใหม่ แต่จะทำสิ่งที่ผิดพลาดเหมือนเดิมอีกหรือไม่ก็ไม่รู้

ลั่นความอดทนมีขีดจำกัด

     "วันนี้เราต้องต่อเลโก้ประเทศไทย เหมือนเอาตัวต่อที่เคยเป็นภาพของความเข้มแข็งตระหง่านเป็นที่หนึ่งในอาเซียน แต่ตัวต่อเหล่านั้นถูกทำให้กระจัดกระจายด้วยการเมือง ความขัดแย้งและวาทกรรมต่างๆ เราจึงต้องค่อยๆ เก็บรวบรวมมาต่อใหม่ แต่งเติมสีสันเพื่อไม่ให้กระจัดกระจายออกไปอีก ตอนนี้รัฐบาลมีเวลา 18 เดือน มีรัฐบาลใหม่ บอกว่าเป็นประชาธิปไตย 100% ผมไม่เถียง แต่ต้องบอกให้เขาทำแบบที่ผมทำ ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ต้องมีประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งและทำงานควบคู่ไปด้วย พอพูดแบบนี้ก็หาว่าผมอยากอยู่ต่อ ใครอยากเป็นนายกฯก็มาเลย ดูเหมือนดี แต่มันก็คงดี ทำไมคนอยากมาเป็นกันนัก ไม่เข้าใจ เงินก็น้อย คนด่าก็เยอะ ทำไมยังทนอยู่ได้ ผมไม่ค่อยทน เพราะความอดทนมีขีดจำกัด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

     เมื่อถามถึงการลงพื้นที่จังหวัดอุบลราช ธานี ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไปดูงาน ติดตามความก้าวหน้าของงาน ไปเยี่ยมเยือนประชาชนและไปถ่ายทอดสิ่งที่รัฐบาลทำ ไปตอบคำถามที่ประชาชนสงสัย และทำความเข้าใจถึงสถานการณ์บ้านเมือง จากนั้นก็จะไปจังหวัดอื่นๆ ตามลำดับความ เร่งด่วนและความจำเป็น โดยทีมงานกำลังวางแผนอยู่ ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงต้องดูว่าตรงไหนไปได้ ไปไม่ได้ มันพร้อมหรือไม่ กิจกรรมมีการขับเคลื่อนไปบ้างหรือยัง

     ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดถึงเลือกลงพื้นที่อุบลราชธานี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ไปดูอุทกภัยอีสาน ทำไม หรือไปดูพื้นที่เสื้อแดง ก็มองอยู่แค่นี้ แล้วเมื่อไรจะเลิกสีกัน ถามให้มันเป็นเรื่อง ผมไปทุกที่ จะสีอะไรผมไม่สนใจ เขาเป็นคนไทย เป็นประชาชน เขารู้ รึเปล่าใครพูดจาอะไรแล้วมันน่าเชื่อถือแค่ไหน วันหน้ามันจะได้เข้าใจกันสักที ผมจะไปทำให้เขานั่นแหละ"

โวยการเมืองไม่รับกติกาเลือกตั้ง

    เมื่อถามถึงการติดตามร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ติดตามอยู่เพราะเป็นผู้ตีกรอบไปเอง ส่วนข้อเสนอวิธีเลือกตั้งแบบใหม่นั้น ตนเคยบอกแล้วว่าถ้ามองว่าประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นไฮไลต์ของทั้งหมด ประเทศไทยก็กลับไปที่เดิม มันไปอย่างอื่นไม่ได้ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต้องคุยกันว่าทำอย่างไรประเทศปลอดภัยและเป็นประชาธิป ไตยที่ต่างชาติยอมรับได้ด้วย ทุกวันนี้เขาก็ คิดกัน หัวจะผุอยู่แล้ว

    พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คนที่จะไม่รับกติกาใหม่ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นนักการเมือง ยอมรับไม่ได้เพราะจะทำให้ยากในการเข้าสู่กระบวนการ สู่การมีอำนาจ หรือการใช้จ่ายงบประมาณ เขาเลยต้องการเหมือนเดิมเพราะต้องการได้คะแนนนิยมมากๆ เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ตนบอกแล้วว่าสังคมและประเทศมันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทั้งหมดมันคงไม่ได้แก้ด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมาย นักการเมือง ตน หรือรัฐประหารเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างมันต้องแก้ด้วยจิตสำนึกของทุกคนว่าจะช่วย ให้ประเทศปลอดภัยอย่างไร ความจริงไม่ ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มาให้ยาก ถ้าทุกคนยอมรับกติกาว่าจะให้ประเทศมีการเปลี่ยน แปลง

จี้สื่อช่วยแจงเหตุต้องคัดสรร

    "ง่ายที่สุดคือรัฐธรรมนูญเก่าเลยก็ได้ อันนี้ผมสมมติ แต่ต้องมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 4 ปีแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่เช่นนั้นก็กลับมาเหมือนเดิมหมด สื่อก็ไม่มีคำตอบตรงนี้เพราะอ้างแต่ว่าจะเสนอข่าวตรงกลางเพียงอย่างเดียว ใครมันจะเสนอซ้ายเสนอขวาก็ไม่สนใจ แล้วมันก็กัดกันเป็นหมาอยู่ทุกวันนี้ ชอบให้ผมพูดแบบนี้ ถ้าใครเอาคำของผมไปพาดหัว ไม่ต้องมาพูดกับผมแล้ว ชอบสร้างความขัดแย้งให้กับผม ทำอย่างไรสังคมมันจะสงบ ไม่ใช่อะไรก็ทำให้ผมอารมณ์เสีย แล้วมาบอกว่าเป็น นายกฯ ต้องอดทน แล้วผมจะอดทนไปทำไม อดทนแล้วให้ทุกคนขัดแย้งกันแบบนี้ ผมไม่อดทน ทุกวันนี้ทำแทบตายไม่ต้องมาบอก ผมก็ทำให้อยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับผมเหมือนกับคนอื่นทั่วไป มันไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น คิดทุกวันทำทุกนาทียังไม่ช่วยกันเลย" นายกฯ กล่าว

     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญจะออกอะไรมา ก็ต้องถามประชาชนส่วนใหญ่ ทำประชามติแต่ถ้าประชามติเสียงส่วนใหญ่บอกว่าไม่เอา จะทำอย่างไรกันต่อไป จะเลือกตั้งกันให้ได้อย่างนั้นหรือ วันนี้ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เหตุผลของการคัดสรรในเรื่องต่างๆ เข้ามาเพราะอะไร ถ้าชี้แจงแบบนี้ประชาชนก็น่าจะเข้าใจ แต่ถ้ามัวไปชี้แจงว่าคัดสรรเข้ามาเพื่อการมีอำนาจ พูดแต่เรื่องอำนาจอย่างเดียว ที่เถียง กันอยู่ทั้งหมดสื่อก็ขยายความไปเรื่อยๆ ประเทศไทยก็กลับที่เดิมคือการเลือกตั้ง ส่วนจะได้ใครกลับมาก็ไม่รู้ ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ สื่อทำกันแบบนี้ แล้วมากล่าวหาว่าตนโทษแต่สื่อ

โวยเรียกสื่อคุยแล้วไม่ยอมปรับปรุง

      "สื่อรู้ทั้งหมดแต่ไม่ยอมเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ถ้าเผื่อประเทศมีปัญหา ล้มลง เศรษฐกิจเดินหน้าไม่ได้ เกิดความขัดแย้ง เกิดจลาจลกันทั้งเมือง ใครจะมารับผิดชอบร่วมกับผม แต่ก็ยังเขียนทุกเรื่องที่มีปัญหา ผู้สื่อข่าวในสนาม ผมถือว่าโอเคเพราะอยู่ด้วยกันมานานแล้ว แต่ผมรังเกียจไอ้เจ้าของสำนักพิมพ์บางสำนักพิมพ์ จะว่าผมแรงก็ต้องแรง ไม่มีเลิก ตอนที่มีเรื่องมันอยู่ไหน เขียนเชียร์เขาอยู่นั่นแหละ ทุกวันนี้ก็ยังเชียร์อยู่ คนบังคับใช้กฎหมาย คนทำงานเดือดร้อน รู้อยู่แล้วว่าใครไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ได้ขู่ด้วย ผมสามารถชี้แจงกับคนอื่นได้ว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ถ้าผมจะต้องทำกับไอ้บางคนซึ่งจะทำตามกฎหมาย อย่าหาว่าผมไปรังแกสื่อ แบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสื่อ สร้างความแตกแยก" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

    เมื่อถามว่าแสดงว่านายกฯคิดจะทำอะไรอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนพูดให้ฟัง ทำไมจะไปเขียนว่า นายกฯจะเริ่มควบคุมสื่อละเมิดจรรยาบรรณสื่อ ไอ้ห่วยแบบนี้เขาไม่เรียกสื่อ ทุกคนทุกสำนักพิมพ์ต้องการรายได้ ไม่สนใจว่าประเทศมันจะเสียหายตรงไหน ไม่สนใจเลย แข่งกัน แข่งกันขายเท่านั้นเล่มเท่านี้เล่ม เอาเงินที่ขายเอามากิน ก็ใช่มันเป็นความจำเป็น แต่มันทำลายประเทศไปด้วย ตนอยากจะบอกคำนี้

     "บางคอลัมน์ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น พอผมถามกลับไปก็ตอบกลับมาว่าคุมไม่ได้ พอเรียกมาก็เป็นอย่างนี้หมด เชิญมาพบ ไม่ได้ละเมิดสิทธิ เรียกมาคุยตั้งโต๊ะคุยดีๆ ในห้องแอร์ถามว่าเขียนอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ก็บอกว่าเดี๋ยวจะแก้ไข จะปรับปรุงครั้งหน้า รับรองไม่มี มันก็มีอีก เรียกมาครั้งที่ 2 ก็ขอโทษ มันเป็นแบบนี้ ยังคุมคนเหล่านี้ไม่ได้ เดี๋ยว วันหน้าจะแก้ไขพูดอย่างนี้มา 7-8 ครั้งแล้ว ไอ้คนแบบนี้ถ้าประเทศนี้มันล่มสลายจะขึ้นชื่อให้ดูทั้งหมดว่าใครบ้าง ไม่รู้จักอับอายคนเขาบ้าง หากินบนความเดือดร้อน บนความสูญเสียของคนอื่นบ่อนทำลายชาติ ความจริงตั้งใจจะพูดแต่สิ่งดีๆ" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ป้อมชี้"ม.44"แค่มีให้จนท.อุ่นใจ

     ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์คัดค้านการใช้มาตรา 44 คุ้มครองเจ้าหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าวว่า เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย ความจริงรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ก็ได้ แต่ที่ใช้เพื่อความอุ่นใจและมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งนี้กระบวนการยุติธรรมใน ชั้นศาลก็มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว แต่พล.อ.ประยุทธ์อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้รู้สึกว่าปลอดภัยและมีกำลังใจทำงาน

      เมื่อถามถึงกลุ่มพลเมืองโต้กลับยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่อง รองนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้กำลังใจทุกคนที่อยากทำให้คนไทยอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ ถ้าเข้าใจกันก็จะ ไม่เกิดกลุ่มพลเมืองโต้กลับ รัฐบาลเข้ามาทำงานแค่ชั่วคราวและไม่ได้เป็นรัฐบาลถาวร เราตั้งใจทำงานให้ประชาชนโดยตรง

     "ยอมรับว่า ผมรู้สึกเหนื่อย รับราชการทหารมา 60 ปี เดินทางไปทุกพื้นที่ รบราฆ่าฟันมาก็มาก แต่ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้ ส่วนจะถอยหรือไม่ ให้ไปถามพล.อ.ประยุทธ์ เพราะผมเดินตามนายกฯ จะทำอย่างไรได้เพราะรับปากไว้ว่าจะช่วยกันและจะทำให้ดีที่สุดในทุกเรื่อง ทำด้วยความมั่นใจว่าเราไม่มีสิ่งใดแอบแฝงหรือมีนัยยะ" พล.อ.ประวิตรกล่าว

นพดลวอน-ทบทวนใช้"ม.44"

     ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 39/2558 ที่ออกตามมาตรา 44 นั้น ไม่ใช่การบิดเบือนการตรวจสอบ หรือปฏิเสธการตรวจสอบ แต่พรรคต้องการความยุติธรรมในการตรวจสอบ หรือเล่นตามกติกาอย่างเป็นธรรมหรือแฟร์เพลย์ ให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ตามกระบวนการยุติธรรม และฝ่ายผู้กล่าวหาหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐต้องพร้อมถูกตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินการใดที่ก่อให้เกิดความรับผิดหรือพาดพิงผู้ถูกกล่าวหาจะต้องทำตามกฎหมายและหลักนิติธรรม ต้องถูกตรวจสอบหรือทบทวนได้ตามกระบวนการยุติธรรม

     "แต่คำสั่งที่ 39/2558 ที่มีเนื้อหาในทำนองนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ล่วงหน้านั้น อาจขัดหลักนิติธรรม และมีคำถามว่าอาจขัดหลักการแบ่งแยกอำนาจที่อำนาจบริหารต้องไม่ก้าวล่วงอำนาจตุลาการ ซึ่งประเด็นนี้ผู้ไม่มีส่วนได้เสีย เช่น นักวิชาการและอดีตตุลาการหลายคนได้แสดงความกังวลถึงเนื้อหาของคำสั่ง จึงหวังว่าผู้มีอำนาจจะรับฟังและพิจารณายกเลิกคำสั่งดังกล่าว แล้วปล่อยให้เรื่องจำนำข้าวเป็นไปตามครรลองและหลักนิติธรรม จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย นำไปสู่ความสงบสุขและสมานฉันท์ในบ้านเมือง จึงหวังว่าผู้มีอำนาจจะรับฟังข้อเรียกร้องเหล่านี้" นายนพดลกล่าว

สงสัยจนท.ไม่ผิดต้องกลัวอะไร

     นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีคสช.ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวนั้น หากมีเจ้าหน้าที่เอาข้าวดีไปขายเป็นข้าวเสีย เหมือนกรณีการจัดการหนี้ในคดี ปรส. ใครจะรับผิดชอบ ใครจะรู้เรื่องนี้ การออกคำสั่งคุ้มครองนี้ ดาบหนึ่งก็ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่โกงได้ด้วย ทั้งนี้หากไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าใช้กระบวนการยุติธรรมปกติจะต้องกลัวอะไร

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ร่วม 2 เดือนแล้วที่รถทหารแบบนี้มาที่บ้านตนทุกวัน บางวันมาจอด บางวันขับช้าๆ หน้าบ้านแล้ววนกลับมาใหม่ เข้าใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ แต่ไม่เข้าใจคนออกคำสั่งว่าต้องการอะไร ซึ่งคิดว่าการเคารพในตัวตนของกันและกันเป็นเรื่องสำคัญ "ผมเป็นผมแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นปฏิปักษ์กับใครหรือหน่วยงานใด เพียงแต่ผมไม่ยอมรับการรัฐประหาร และไม่เชื่อว่าเผด็จการจะสร้างประชาธิปไตย"

พท.แถลงค้าน"จัดสรรปันส่วนผสม"

     วันเดียวกัน พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์กรณีระบบการเลือกตั้งที่กรธ.มีแนวคิดนำระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม มาใช้ว่า เป็นระบบที่ไม่เคยมีใช้มาก่อนในประเทศใด กรธ.ควรศึกษาผลดี ผลเสีย และผล กระทบที่จะเกิดขึ้นเพราะประเทศชาติไม่ใช่เครื่องทดลองทางความคิดของกรธ. อีกทั้งไม่เป็นระบบสากล ไม่เหมาะสมกับประเทศไทยและการเมืองไทย จะสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา ส่วนระบบการเลือกตั้งที่เหมาะสมกับประเทศไทยควรใช้แบบผสม ตามรัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2550 เป็นหลัก เนื่องจากสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน และเปิดให้ เลือกทั้งคนและพรรค โดยไม่ตัดคะแนนที่ประชาชนเลือกไม่ว่าพรรคที่แพ้หรือชนะเลือกตั้งหรือทิ้งไป

      พรรคมีความเห็น ดังนี้ 1.การจะนำระบบการเลือกตั้งแบบใดมาใช้ ควรพิจารณาปัจจัยและผลกระทบให้รอบด้าน เช่น โอกาส และความเท่าเทียมกันของพรรคในการส่ง ผู้สมัคร ความต้องการของประชาชน ความมีประสิทธิภาพและเสถียรภาพของรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 2.เมื่อกรธ.กำหนดให้มี ส.ส. 2 ประเภท ควรให้ประชาชนแสดงเจตนาเลือกตั้งตามประเภทของ ส.ส. ซึ่งการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวเพื่อเลือกผู้สมัครและพรรคไปพร้อมกัน จะไม่ทราบถึงความต้องการของประชาชนว่าเลือกผู้สมัครหรือเลือกพรรค เป็นการจำกัดสิทธิประชาชน ไม่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

ชี้อ้างเคารพทุกคะแนนไม่จริง

     3.การตัดคะแนนผู้สมัครที่ชนะเลือกตั้งในเขตทิ้ง และนำคะแนนของผู้สมัครที่แพ้เลือกตั้ง ไปคำนวณจำนวนส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เป็นการสร้างความสับสนให้กับประชาชน เพราะประชาชนอาจเลือกผู้สมัครแต่ไม่เลือกพรรค เลือกพรรคแต่ไม่เลือกผู้สมัคร หรือเลือกทั้งพรรคและผู้สมัคร ดังนั้น การตัดคะแนนที่เลือกพรรคทิ้ง อ้างว่าเคารพทุกคะแนนที่ประชาชนเลือกจึงไม่จริง ทำให้ระบบนี้ไม่เป็นธรรม ที่น่าห่วง คือพรรคที่ชนะเลือกตั้งในระบบเขตมีจำนวน ส.ส.มาก อาจไม่ใช่พรรคเสียงข้างมากในสภา เพราะถูกตัดคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อออกไปหมด

    4.ระบบการเลือกตั้งแบบผสมที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 เคยนำมาใช้เลือกตั้งหลายครั้ง ประชาชนคุ้นเคยและออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตัดสินใจว่าจะเลือกผู้สมัครหรือพรรค ผิดวัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งและทำให้พรรคไม่ต้องแข่งขันด้านนโยบาย เพราะแม้จะแพ้การเลือกตั้งก็นำคะแนนที่แพ้มาคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อได้

ซัดยิ่งทำซื้อเสียงเพิ่ม

     5.ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ไม่ให้ความเป็นธรรมและสะท้อนความนิยมของพรรคอย่างแท้จริง ต่างจากระบบสัดส่วน ที่สะท้อนทุกคะแนนไม่ให้สูญเปล่า เพราะจะนับคะแนนที่ประชาชนลงให้แต่ละพรรค แล้วคำนวณที่นั่งส.ส. ตามสัดส่วนคะแนนที่แต่ละพรรคได้มาทั้งประเทศ 6.ระบบจัดสรรปันส่วนผสม ไม่ได้ส่งผลให้การซื้อสิทธิ์ขายเสียงลดน้อยลง การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวยิ่งทำให้การซื้อเสียงทำได้ง่ายขึ้น ต่างจากระบบผสมที่กำหนดให้การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้งซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งใหญ่ และการซื้อสิทธิ์ขายเสียงจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับมาตรการทางกฎหมายและองค์กรจัดการเลือกตั้งมากกว่าจะขึ้นอยู่กับระบบการเลือกตั้ง

    7.กรธ.ควรฉุกคิดได้ว่าทำไมประเทศแม่แบบประชาธิปไตยและประเทศที่เจริญทั้งวัตถุและการเมือง จึงไม่ใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม การอ้างว่าไทยไม่จำเป็นต้องลอกตำราฝรั่งนั้น ต้องถามว่าระบบรัฐสภา องค์กรอิสระ การแบ่งแยกอำนาจ สิทธิเสรีภาพประชาชน การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การยุบสภา การจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เราคิดเองหรือนำองค์ความรู้มาจากต่างประเทศ และ8.ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ดี แต่เกิดจากปัจจัยอื่น เช่น ผู้แพ้เลือกตั้งไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง และใช้วิธีบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาล ใช้องค์กรและกระบวน การยุติธรรมที่ไม่เสมอภาคเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ระบบเลือกตั้งแบบผสมที่ใช้ในอดีต มีข้อดีมากกว่า แม้จะมีข้ออ้างว่ารัฐบาลเข้มแข็งเกินไป ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง เพื่อให้รัฐบาลอ่อนแอลง แต่ควรแก้ที่สาเหตุของปัญหา เช่น เพิ่มระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็งขึ้น สร้างระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจให้เหมาะสม เป็นต้น

อ๋อยชี้ชนะเขตคือชวดปาร์ตี้ลิสต์

    ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ แกนนำพรรคเพื่อไทย เขียนข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงแนวคิดระบบการเลือกตั้งของ กรธ.ว่า เห็นว่าระบบเลือกตั้งแบบนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. มีหลายแง่มุม เมื่อคิดตามและสมมติตัวเลขตามสูตร ได้พบความแปลกจนไม่แน่ใจว่าคำนวณผิดหรือไม่ สมมติว่าส.ส.เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อมีจำนวนเท่ากันอย่างละ 100 คน ถ้าพรรค ก. ได้ส.ส.ในทุกเขต จะได้ส.ส. 100 คน แต่พรรคนี้จะไม่ได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะเวลาคำนวณจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ จะเอาคะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งไปรวมกัน พรรค ก. ก็จะไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วนพรรคที่เหลือจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อไปทั้งหมด 100 คน

     แต่หากพรรค ก. ได้ส.ส.เขต 90 คน พรรค ก. มีแนวโน้มได้ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึง 10 คน พรรคอื่นได้ส.ส.เขต 10 คน และจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่า 90 คน หมายความว่าพรรค ก.ซึ่งได้ส.ส.เขต 90 คนจะกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภา ดังนั้นไม่ว่าพรรคจะได้ส.ส.เขตมากเพียงใด พรรคนั้นจะไม่ได้เสียงเกินครึ่ง หรืออาจกลายเป็นเสียงข้างน้อยในสภาเสมอ

ห่วงทำแกงโฮะแทนกับข้าวอื่น

    "ส่วนข้อโต้แย้งว่าส.ส.บัญชีรายชื่อ คงไม่มากเท่ากับส.ส.เขต เป็นเพียงการลดระดับการบิดเบือนเจตนาของผู้ลงคะแนน แต่ดูเหมือนนายมีชัย กลัวคนจะได้กินแกงไก่อย่างเดียว จึงอยากให้กินกับข้าวอย่างอื่นบ้าง แต่สุดท้ายอาจได้กินแกงโฮะหรือจับฉ่ายแทน และสูตรของนายมีชัยจะมีปัญหา คือคนอยากกินแกงไก่แต่ไม่ได้กินแกงไก่ กลับได้กินแกงโฮะแทน" นายจาตุรนต์ระบุ

     นายจาตุรนต์ ระบุว่า ระบบนี้แปลกประหลาดคือ เอาคะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในแบบแบ่งเขต ซึ่งเป็นคะแนนที่ได้มาจากการเน้นตัวบุคคล มาคำนวณหาสัดส่วนและจำนวนที่นั่งที่พรรคจะได้รับ ทั้งที่พรรคเป็นผู้กำหนดว่าใครจะได้เป็นส.ส. โดยที่คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้สมัครในแบบแบ่งเขต ไม่ใช่คนที่ประชาชนตั้งใจเลือก และอาจเกิดความขัดแย้งแตกแยกในพรรค เพราะผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อหลายรายอาจจะพยายามลุ้นให้ส.ส.เขตสอบตก เพื่อจะได้นำคะแนนที่ได้รับไปคำนวณที่นั่งแบบบัญชีรายชื่อและตนเองให้มีสิทธิ์ได้เป็นส.ส.มากขึ้น

สงสัยเจตนาร่างให้ไม่ผ่านอีก

     นายจาตุรนต์ระบุว่า สำหรับนายทุนพรรคและเป็นนักซื้อเสียง ก็พร้อมซื้อทุกคะแนน ถ้าชนะก็ได้ส.ส.เขต ถ้าแพ้ก็เอาไปคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ การซื้อเสียงจึงมีมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตที่แข่งขันสูสีกันมาก และพรรคขนาดกลางได้ประโยชน์จากระบบนี้ สำหรับพรรคเล็กและพรรคตั้งใหม่จะเกิดยากมาก เพราะต้องหาผู้สมัครมาลงครบทุกเขตเพื่อให้มีสิทธิ์มีส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยพรรคเหล่านี้ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดรู้อยู่แล้วว่าจะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ต้องลงสมัครเพื่อเอาคะแนนเสียงที่ได้ไปคำนวณที่นั่งให้กับพรรคของตน ซึ่งจะจัดสรรที่นั่งให้แก่สมาชิกพรรคคนอื่นที่ไม่ได้ลงสมัครแบบแบ่งเขตด้วย

     "ลองวิเคราะห์ไม่กี่ประเด็น รู้สึกแปลกใจว่าเขาคิดระบบนี้มาได้อย่างไรและต้องการอะไร หรือโยนประเด็นให้ถกเถียงเอาเป็นเอาตายแล้วอาจจะถอย แต่แอบไปทำเรื่องอื่นที่เลวร้ายไม่แพ้กัน หรือถ้าไม่มีใครสนใจทักท้วง ก็อาจเอาจริงก็เป็นได้ การร่างรัฐธรรม นูญแบบที่ทำกันอยู่นี้วิเคราะห์ยาก เขาอาจร่างให้แย่มากๆ แบบตั้งใจให้ผ่าน ถ้าผ่านประชามติก็ดีสำหรับผู้ร่าง ถ้าไม่ผ่าน คสช.จะทำอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ อาจให้คณะเดิมร่างอีกให้สนุกสนานกันไป หรือเขาอาจตั้งใจร่างให้แย่มากๆ เพื่อไม่ให้ผ่านก็ได้อีก คือได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง" นายจาตุรนต์ระบุ

กรณ์ติงนำคะแนนใช้แล้วนับใหม่

     ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงระบบ การเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ว่า วิธีดังกล่าวมีปัญหามากในหลายระดับ และผิดหลักการสำคัญที่สุด คือ น้ำหนักของแต่ละคะแนนไม่เท่ากัน เพราะเวลาเราเลือกตั้ง ไม่ว่าจะได้ผู้สมัครที่ต้องการหรือไม่ ต้องถือว่าเราได้ใช้สิทธิแล้วเท่ากัน แต่ระบบจัดสรรปันส่วนผสมกลับนำคะแนนที่ใช้แล้วมานับอีกครั้ง เท่ากับเราได้ใช้สิทธิ 2 ครั้ง อย่างนี้ไม่ยุติธรรมกับคะแนนของผู้ชนะ และปัญหาที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การกาบัตรใบเดียวโดยให้มีผลทั้งการเลือกคนและเลือกพรรคนั้น ไม่สอดคล้องกับวิธีคิดของประชาชนในการแยกการเลือกระหว่างคนกับพรรค ตามที่ปฏิบัติมาต่อเนื่องกว่า 10 ปี

     นายกรณ์ กล่าวว่า ดังนั้นระบบที่ดีกว่า คือ การแยกบัตรเป็น 2 ใบให้การตัดสินใจของประชาชนไม่สับสน หากอยากเลือกใครเป็น ส.ส. ก็เลือกคนนั้น อยากเลือกพรรคไหนเป็นรัฐบาลก็กาพรรคนั้น เพื่อให้แฟร์ที่สุด พรรคไหนได้คะแนนมากที่สุดให้พรรคนั้นจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งไม่มีระบบแบบไหนตรงไปตรงมากว่านี้แล้ว และจะช่วยลดการซื้อเสียงอย่างมาก เพราะปกติการซื้อขายเสียงจะเกิดขึ้น ในระดับเขต การซื้อทั่วประเทศทำได้ยากและถ้าถูกจับได้จะมีผลกระทบทั้งพรรค ดังนั้นพรรคต้องหันมาแข่งกันด้วยนโยบาย และผู้นำพรรค ทั้งนี้หากใครจะบอกว่าถ้าใช้ระบบนี้แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะได้ประโยชน์ ขอบอกว่าระบบนี้ ถ้านับจากคะแนนจริง พรรคเพื่อไทยก็เป็นรัฐบาลอยู่ดี


ขึ้นศาล - นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หรือพ่อน้องเฌอ เดินเท้าจากบ้านอ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี มาขึ้นศาลทหารกรุงเทพฯ คดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช. ขณะที่นัชชชา กองอุดม ขึ้นให้การคดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช.จากการชุมนุมหน้าหอศิลป์ กทม. เมื่อวันที่ 5 พ.ย.

      "เมื่อเรามีโอกาสนี้ที่จะปฏิรูปให้ระบบการเมืองดีขึ้น อย่าให้เสียของและเห็นว่าให้ประชาชนกาบัตร 2 ใบ เลือกพรรค เลือกคน แล้วใครได้คะแนนพรรคมากที่สุดก็ได้ตั้งรัฐบาล อย่างนี้ใครๆ ก็เข้าใจ" นายกรณ์กล่าว

มีชัยแจงยังไม่ตกผลึกนับคะแนน

     ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงกรณีหลายคนติติงวิธีนับคะแนน ส.ส.ที่อาจทำให้เกิดการสูญเปล่าของคะแนนว่า จากการทบทวนใหม่ของกรธ. ยังยืนยันหลักการใช้บัตรลงคะแนนใบเดียว เพราะจะทำให้คนลงคะแนนพิจารณาทั้งผู้สมัครและพรรคประกอบกัน เป็นไปตามเจตนารมณ์ให้พรรคเข้มแข็งในการเลือกคน แต่วิธีคำนวณสัดส่วนผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อมีหลายวิธี กรธ.กำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคะแนนเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรม ซึ่งยังไม่ตกผลึก

      นายมีชัย กล่าวว่า แต่ในส่วนของจำนวน ส.ส. แน่นอนแล้วว่ามี 500 คน แบบแบ่งเขต 350 คน เป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ส่วนระบบบัญชีรายชื่อมี 150 คน โดยใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง คำนวณจากคะแนนผู้มาใช้สิทธิ โดยเอาคะแนนของทุกพรรคจากเขตเลือกตั้งทั้งประเทศมาคำนวณหาจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอาจกำหนดให้มีตัวแทนจากทุกภาคในบัญชีรายชื่อด้วย ส่วนฐานที่มาของจำนวนสัดส่วนส.ส.นั้น เป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

ยันส.ส.ต้องชนะโหวตโนให้ได้

    นายมีชัยกล่าวว่า ส่วนข้อกังวลว่าพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กจะเสียเปรียบ ยืนยันว่าถ้าพรรคส่งส.ส.น้อยก็ได้จำนวนน้อยอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ ส่วนที่พรรคการเมืองต้องการให้การเลือกตั้งเป็น 2 ระบบแบบเก่า เราก็เคารพความคิด แต่ท่านต้องเคารพความคิดของเราเช่นกัน กรธ.ไม่ได้ทำเรื่องนี้โดยนึกถึงประโยชน์ของพรรคแต่ทำเพื่อประชาชนจริงๆ และไม่ได้คิดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากรณีที่รัฐบาลเข้มแข็งเกินไป แต่คิดว่าทำอย่างไรให้คนที่ไปลงคะแนนมีที่ยืนในสังคม ส่วนเรื่องคะแนนโหวตโน ยังยืนยันหลัก การเดิมที่ทุกคนต้องเอาชนะให้ได้ ถ้าแพ้ คนสมัครในเขตนั้นก็ไปกันหมด แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะให้ลงสมัครในครั้งต่อไปหรือไม่

      นายมีชัย กล่าวอีกว่า ข้อดีของระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม ถ้าส.ส.เขตใดทุจริต และถูกลงโทษ คะแนนในเขตของพรรคนั้นที่จะใช้คำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องถูกลบออก แล้วเลือกใหม่ก็ต้องใช้คะแนนใหม่มาคำนวณ คะแนนที่ได้มาใหม่ อาจจะน้อยลงหรือเท่าเดิมก็ได้ ดังนั้นพรรคต้องระวังการทุจริตให้มากขึ้น ส่วนจะให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลกลางคันหรือไม่นั้น ถ้าเกิดการทุจริตกระทั่งส.ส.น้อยลง รัฐบาลเขาควรจะอยู่ต่อหรือไม่ ส่วนการยุบพรรคอาจจะเปลี่ยนแปลง เป็นลงโทษเฉพาะคนที่รู้เห็นหรือกระทำผิด

ทินพันธุ์ย้ำปฏิรูป"สปท."ก่อน

      ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภา ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดสรรแต่งตั้งคณะกรรมาธิ การ(กมธ.)ชุดต่างๆ ของสปท.ว่า ตนออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองขึ้นมาหนึ่งชุด 6 คน เพื่อร่วมกันพิจารณาว่าใครจะดำรงตำแหน่งใดในกมธ.สามัญ 11 คณะ และกมธ.วิสามัญอีก 1 คณะ โดยเริ่มคัดสรรแล้ว ส่วนการเลือกประธานกมธ.แต่ละคณะ ตนจะไม่เข้าไปก้าวก่าย ปล่อยให้เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการกลั่นกรอง ส่วนจะเสร็จเมื่อใดนั้น เชื่อว่าการทำงานจะรวดเร็ว ไม่ให้ล่าช้า

     ร.อ.ทินพันธุ์ กล่าวว่า ยืนยันการทำงานสปท.ต่อจากนี้ 1.จะปฏิรูปตัวเองก่อน เพื่อการทำงานที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ 2.สปท.ไม่ใช่สภาการเมือง แต่เป็นสภาวิชาการ การทำงานจะต่างจากสภาชุดเดิมๆ จะหลีกเลี่ยงการเป็นสภาโต้วาที ต้องไม่ใช่สภาที่พูดมากแต่ไร้ผลงาน จะเป็นสภาที่ปรึกษานายกฯ มีเป้าหมายคือสานงานการออกกฎหมาย ล้าง กวาดขยะที่หมักหมมมายาวนานให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งขอขอบคุณสภาชุดก่อนที่ร่วมกัน คิดวิจัยผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากมายได้สำเร็จ มีประสิทธิภาพ ตนจะสานงานต่อให้เอง

สปท.ไม่ขวางแต่งตั้งปธ.กมธ.

      นายสมพงษ์ สระกวี สมาชิกสปท. กล่าวว่า คาดว่าวันที่ 9-10 พ.ย.น่าจะประกาศรายชื่อกมธ.ทั้ง 11 คณะได้ ส่วนประธานกมธ.ปฏิรูปแต่ละคณะ ที่ให้ร.อ.ทินพันธุ์เป็นผู้ลงนามแต่งตั้งตามข้อบังคับการประชุม แทนการให้สมาชิกเลือกกันเอง ยอมรับว่ามีสมาชิกสปท.บางส่วนที่เป็นอดีตนักการเมืองไม่เห็นด้วย เพราะอาจได้ตัวประธานที่ไม่ตรงใจของสมาชิก จึงอยากได้ประธานมาจากการเลือกของสมาชิกมากกว่า

     "ส่วนตัวรู้สึกแปลกๆ แปร่งๆ เช่นกัน แต่ในฐานะกมธ.ยกร่างข้อบังคับฯ พอเข้าใจเหตุผลว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ในทิศทางเดียวกันและลดการวิ่งล็อบบี้ตำแหน่งประธานกมธ. จึงให้ประธานสปท.เป็นผู้แต่งตั้ง ไม่อยากให้ยึดติดเรื่องชื่อเสียงและอาวุโสเหมือนที่ผ่านมา หากจะลองเปลี่ยนวิธีบ้างก็ไม่เสียหาย ทราบว่าขณะนี้มีสมาชิกสปท.บางส่วนพยายามเสนอตัวต่อประธานสปท.ว่า มีความถนัดและอยากทำงานปฏิรูปด้านนั้นด้านนี้ ดังนั้นประธานสปท.ต้องโชว์ฝีมือคัดเลือกเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาการแต่งตั้ง" นายสมพงษ์กล่าว

     ด้านนายสันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ สมาชิกสปท.กล่าวว่า เท่าที่คุยกับสมาชิกบางส่วนเห็นตรงกันอยากให้สมาชิกสปท.เป็น ผู้เลือกตัวประธานกมธ.ปฏิรูปแต่ละคณะเอง แต่คงพูดมากไม่ได้ เข้าใจว่าเพื่อให้การปฏิรูปขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียว ไม่ขัดแย้งกัน ดังนั้นอะไรที่ผ่อนผันเพื่อให้การปฏิรูปรวดเร็วก็สมควรทำ

เปิดชื่อ 6 กรรมการกลั่นกรอง

     นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปท. กล่าวว่า ร.อ.ทินพันธุ์ไม่ต้องการให้เกิดปัญหา ระหว่างผู้แพ้ ผู้ชนะ เกิดการล็อบบี้ จนการทำงานไม่เป็นเอกภาพ จึงให้แก้ข้อบังคับการประชุมสปท.ใหม่ ว่าให้ประธานสปท.เป็นผู้เลือกประธานกมธ.แต่ละคณะเองทั้งหมด แต่ต่อมาร.อ.ทินพันธุ์ระบุเพื่อความเป็นกลาง อีกทั้งไม่รู้ทั้งหมดว่าใครถนัดงานด้านใดบ้าง จึงให้ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรอง 1 ชุด เพื่อมาช่วยเลือกบุคคลที่เหมาะสม ให้เกิดผลสัมฤทธิ์กับงานมากกว่าตั้งเพื่อหวังผลในชื่อเสียง เกียรติยศ หรือจะให้คนที่เข้ามาทำงานที่มาจากการล็อบบี้

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการกลั่นกรอง 6 คนที่ประธานสปท.ตั้งขึ้น ประกอบด้วย 1.น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธานสปท.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธาน 2.นางนรรัตน์ พิมเสน 3.พล.อ.วัฒนา สรรพานิช 4.พล.อ. ชูศักดิ์ เมฆสุวรรณ์ 5.นายมนู เลียวไพโรจน์ และ 6.นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์

สนช.ถกถอดถอน"ตือ"

     วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) คนที่ 1 เป็นประธานประชุมสนช. พิจารณาวาระเร่งด่วนดำเนินกระบวนการถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ข้อหาร่ำรวยผิดปกติ กรณีการสร้างบ้านมูลค่า 16 ล้านบาท ที่ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง โดยซักถามตามประเด็นที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.)ซักถาม ได้พิจารณาแล้ว ซึ่งถามทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 8 คำถาม รวม 16 คำถาม

     นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็น ผู้ตอบข้อซักถาม ซึ่งมีทั้งหมด 8 คำถามว่า กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่านายสมศักดิ์จงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ เนื่องจากไม่แจ้งทรัพย์สินเรื่องการสร้างบ้านพักที่ จ.อ่างทอง ระหว่างดำรงตำแหน่งรมว.ศึกษาธิ การ ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นของการถอดถอน แต่จากประเด็นนี้ทำให้ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเรื่องการร่ำรวยผิดปกติ นำไปสู่กระบวนการถอดถอน

ปปช.ชี้ไม่พบโกงแต่รวยผิดปกติ

      นายณรงค์ กล่าวชี้แจงหลักเกณฑ์การชี้มูลกรณีร่ำรวยผิดปกติว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาจากหลายองค์ประกอบ เงินที่ได้รับสนับสนุนจากพรรค 29 ล้านบาทซึ่งนำไปซื้อหุ้นและกองทุนจากตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้น เงินที่เหลือจึงไม่เพียงพอต่อการสร้างบ้าน ป.ป.ช.จึงมีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ เพราะทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ของนายสมศักดิ์

     นายณรงค์ กล่าวว่า ระหว่างที่นายสมศักดิ์ดำรงตำแหน่งรมช.และรมว.ศึกษาธิการ ไม่มีหลักฐานทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ปรากฏหลักฐานเรื่องร่ำรวยผิดปกติ เพราะไม่มีที่มาของเงินที่อ้างว่าเป็นเงินสนับสนุนจากพรรค และไม่มีที่มาของเงินที่นำไปสร้างบ้าน ที่ถือว่าขัดกฎหมายป.ป.ช. จึงอยู่ในข่ายที่จะถอดถอนได้ ส่วนเหตุที่ไม่เคยเชิญผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการมาชี้แจงต่อป.ป.ช. เพราะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทุจริต ส่วนหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศนั้น นายสมศักดิ์เพิ่งจะนำมาต่อสู้ในชั้นสนช. ไม่ได้นำมาต่อสู้ในชั้นป.ป.ช. นอกจากนี้ทุกครั้งที่นายสมศักดิ์ยื่นบัญชีทรัพย์สิน ไม่เคยยื่นรายการเงินสด จึงไม่มีประเด็นที่ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบ

สมศักดิ์ยันบ้านเป็นของพี่เมีย

      ต่อมากมธ.ซักถามได้ถามคำถามนาย สมศักดิ์ 8 ข้อ โดยนายสมศักดิ์ตอบข้อซักถามว่า ครั้งแรกได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีวิเศษชัยชาญ ซึ่งมีชื่อภรรยามีหุ้นส่วนส่วนน้อย แต่ต่อมาได้ถามเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.และปรึกษากับเพื่อนนักการเมือง ซึ่งเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินในส่วนนี้ แต่ทำให้ถูกชี้ว่าจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน และจนถึงขณะนี้ ทั้งบ้านและโฉนดที่ดินที่จ.อ่างทอง ยังเป็นชื่อของนายไพโรจน์ ฉัตรบริรักษ์ พี่ชายของภรรยา ซึ่งบ้านและที่ดินส่วนนี้ปรากฏอยู่ในบัญชีทรัพย์สินของนายไพโรจน์ที่ยื่นต่อป.ป.ช.ด้วย ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้รับโอนบ้านหลังนี้แล้วจะไปแจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของตนได้อย่างไร ในเมื่อศาลฎีกาฯพิพากษาว่าทรัพย์สินคือบ้านและที่ดินเป็นของตน ก็ต้องยกเอาคำวินิจฉัยดังกล่าวมาอ้าง แต่ในความเป็นจริงยังไม่ได้รับโอนเลย

      ส่วนที่สนช.ถามถึงเงินที่ได้รับมา 41 ล้านบาทเศษ แต่ใช้จ่ายไป 23 ล้านบาทเศษ ได้ใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ชี้แจงว่าปรากฏการณ์ทั้งหมดก่อนปี 2540 ก่อนที่รัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ ตอนนั้นกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ใช้เงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อ 1 เขตเลือกตั้ง แต่ถามว่ามีนักการเมืองคนใดบ้างที่ใช้เงินไม่ถึง 1 ล้านบาท ยอมรับว่าใช้เกิน และในส่วนที่เหลือจากการเลือกตั้งจึงนำไปหมุนที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีวิเศษชัยชาญ

นัดลงมติถอดถอน 13 พ.ย.นี้

      นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนที่ไม่แจ้งทรัพย์สินในส่วนเงินสดต่อป.ป.ช. เพราะนักการเมืองต้องมีเงินสดสำรองติดอยู่กับบ้าน เพราะไม่รู้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง "ถามว่าผิดหรือไม่ที่ไม่แจ้งต่อป.ป.ช. ถือว่าผิด ซึ่งถูกศาลฎีกาฯลงโทษอย่างสาหัส ตัดสิทธิทางการเมือง ทุกอย่างใช้กรรมไปหมดแล้ว แต่การไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินกับการทุจริตต่อหน้าที่เป็นคนละเรื่อง ผมไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ กรณีทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนปี 2540 ก่อนมีป.ป.ช." นายสมศักดิ์กล่าว

     นายสมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าญัตติที่ป.ป.ช.ยื่นให้สนช.ถอดถอนตนเป็นเรื่องร่ำรวยผิดปกติ แต่คำถามทั้งหมดรู้สึกว่าเหมือนจงใจถามเรื่องปกปิดบัญชีทรัพย์สิน เป็นคนละประเด็นกัน และตนได้ถูกศาลฎีกาฯตัดสินลงโทษไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังพิจารณาข้อซักถามเสร็จ ประธานที่ประชุมได้นัดให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย แถลงปิดสำนวนคดีอีกครั้งในวันที่ 12 พ.ย. และลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ในวันที่ 13 พ.ย.

ทส.เล็งเปิดสรรหาขรก.นั่งซี 10

       เมื่อวันที่ 5 พ.ย. นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทส.เตรียมเปิดสรรหาข้าราชการระดับสูงหรือระดับ 10 ที่ว่างอยู่ 7 ตำแหน่ง ประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ 1 ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรฯ 4 ตำแหน่ง อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช 1 ตำแหน่ง และอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี 1 ตำแหน่ง โดยจะเข้าหารือกับพล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทส.ว่าจะใช้วิธีการแบบใด ระหว่างการสลับหมุนเวียนจากตำแหน่งระดับ 10 มาลงหรือเปิดสรรหาเอาข้าราชการระดับ 9 ขึ้นมา ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าการสรรหาจะเหมาะสมกว่า เพราะข้าราชการระดับ 10 ของ ทส.เพิ่งมีการแต่งตั้งโยกย้ายไปเร็วๆ นี้

     ปลัด ทส.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีตำแหน่ง ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) ว่างอยู่อีก 18 จังหวัด ขณะนี้กำลังเรียกประวัติข้าราชการแต่ละคนที่มีสิทธิ์มาดูเพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะ คุณสมบัติต้องตรงกับงาน

      นายธัญญา เนติธรรมกุล รองอธิบดี รักษาการอธิบดีกรมอุทยานฯ ได้ลงนามในคำสั่งแบ่งงานระดับรองอธิบดี โดยนายธัญญา ดูแลรับผิดชอบสำนักอุทยานแห่งชาติ สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟป่า สำนักบริหารงานกลาง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์(สบอ.)4 (สุราษฎร์ธานี) สบอ.5(นครศรีธรรมราช) สบอ.6(สงขลา) สบอ.13(แพร่) สบอ.15(เชียงราย) สบอ.16(เชียงใหม่), นายสมหมาย กิตยากุล ดูแล สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ สำนักแผนงานฯ สบอ.2(ศรีราชา) สบอ.3(บ้านโป่ง) สบอ.11(พิษณุโลก) สบอ.12(นครสวรรค์) สบอ.14(ตาก) และนายอดิศร นุชดำรงค์ ดูแล สำนักฟื้นฟูฯ สำนักวิจัยฯ สบอ.1(ปราจีนบุรี) สอบ.7(นครราชสีมา) สบอ.8(ขอนแก่น) สบอ.9(อุบลราชธานี) สบอ.10(อุดรธานี)

"บิ๊กป้อม"ยันไม่มีบัญชีดำมาเฟีย

      เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบูรณาการการแก้ปัญหาอิทธิพลท้องถิ่น โดยมีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

      พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า จะพูดคุยเรื่องการทำงานเพราะมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกำหนดรูปแบบการดำเนินการว่าต้องทำอย่างไร ตนต้องการให้ดำเนินการด้านการข่าวในทุกพื้นที่มากกว่าการจับกุมปิดล้อมตรวจค้น เน้นการพูดคุยทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อน ยืนยันว่าไม่มีแบล็กลิสต์หรือบัญชีดำรายชื่อผู้มีอิทธิพล รวมถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ก็ยืนยันแล้วเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะไปทำบัญชีดำว่าจังหวัดไหนมีแบล็กลิสต์เป็นใครบ้าง

      พล.อ.อนุพงษ์ เปิดเผยหลังการประชุมว่า พล.อ.ประวิตรให้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเรื่องนี้ เน้นจัดการแบบ 2 มิติ คือ ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทุกระดับ จนถึงระดับพื้นที่จะมีกลไกทำงานอย่างไร ก็ตั้งกรรมการทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ ส่วนพื้นที่ภูมิภาค ให้ผวจ.เป็นแม่งาน ทั้งนี้ยังไม่กำหนดพื้นที่ใดที่ต้องดูแลอย่างเข้มข้นเป็นพิเศษ ต้องรอคณะกรรมการจัดตั้งขึ้นมาก่อน

      พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในขั้นต้นที่ประชุมได้ ตั้งคณะทำงานเพื่อบูรณาการงานด้านการข่าวของทุกส่วนร่วมกันอย่างเข้มข้นและจริงจัง ในทุกพื้นที่ถึงระดับตำบลและหมู่บ้านทั่วประเทศ จากนั้นจะใช้วิธีการและมาตรการทางกฎหมายต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างเด็ดขาดและจริงจังต่อไป จึงขอความร่วมมือจากประชาชน ทุกคน เปิดเผยและให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อร่วมกันหยุดยั้งพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลและ ลดความรุนแรงทางสังคมที่เกิดขึ้นให้จงได้

"พ่อเฌอ"ยื่นค้านขึ้นศาลทหาร

      เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 พ.ย. ที่ศาลทหารกรุงเทพ นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของนายสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ ที่ถูกยิงเสียชีวิตบนถนนราชปรารภ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ช่วงสายวันที่ 15 พ.ค. 2553 ผู้ต้องหาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง จากกรณีจัดกิจกรรมเลือกตั้งที่รักและพลเมืองรุกเดิน เดินทางมาศาลทหารกรุงเทพ เพื่อสอบปากคำและขอให้ศาลพิจารณาคำร้องที่ยื่นขอให้ใช้กระบวนการปกติ คือศาลยุติธรรมในการพิจารณาคดี นอกจากนี้ยังมีนายนัชชชา กองอุดม นักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ หนึ่งในกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ผู้ต้องหาคดีขัดคำสั่ง คสช.ชุมนุมหอศิลป์ ก็มาสอบปากคำเพิ่มเติมเช่นกัน

     สำหรับ บรรยากาศโดยรอบ เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร จากกระทรวงกลาโหม นำแผงเหล็กมาปิดกั้นทางเข้า-ออก พร้อมมีเจ้าหน้าที่ทหาร เดินตรวจตราความเรียบร้อย โดยมีมวลชนจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจนายพันธ์ศักดิ์ อาทิ นางพะเยาว์ อัคฮาด หรือแม่น้องเกด

     นายพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้มาในคดีฝ่าฝืนประกาศคสช. ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน และคดีผิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116 ซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคง ยืนยันว่าเราไม่รับอำนาจศาลทหาร อยากให้คดีนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ คือขึ้นศาลยุติธรรม

     เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าการเดินเท้ามาขึ้นศาลทหาร จะทำให้โดนถอนการประกันตัว นายพันธ์ศักดิ์กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว มีลูกคนเดียวแล้วลูกถูกยิงตายก็ไม่มีอะไรให้กังวลอีกแล้ว

      จากนั้นเวลา 12.30 น. นายพันธ์ศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังสอบปากคำว่า ได้ยื่นหนังสือแสดงความเห็นไปว่าคดีในลักษณะเดียวกันไม่ได้อยู่ในอำนาจเขตศาลทหาร ซึ่งศาลทหารก็รับไว้พิจารณา ขั้นตอนต่อไปคือโจทก์ ซึ่งเป็นอัยการทหารต้องทำเรื่องว่าจะคัดค้านหรือไม่ ซึ่งศาลทหารให้เวลา 15 วัน จากนั้นศาลทหารกับศาลยุติธรรมจะประชุมร่วมกันแล้วสรุปอีกครั้งว่าจะต้องไปขึ้นศาลใด ทั้งนี้ ที่ยื่นเพราะศาลทหารน่าจะพิจารณาคดีเกี่ยวกับการกระทำผิดวินัยของทหาร ไม่ควรนำมาใช้กับพลเมือง

      เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าคำร้องจะไม่ไปอยู่ในศาลยุติธรรม นายพันธ์ศักดิ์กล่าวว่า เราก็ใช้กระบวนการตามปกติ เราก็แค่ประชาชนมือเปล่า ศาลทหารอยู่ในโครงสร้างเดียวกับกองทัพ การต่อสู้กับศาลทหารเท่ากับต่อสู้กับกองทัพ เราประชาชนมือเปล่าสู้เท่าที่สู้ได้ ใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน ส่วนการจัดกิจกรรมหลังจากนี้ กำลังคุยกันอยู่ แต่มีกิจกรรมแน่นอน

เตรียมถกแก้ปัญหาลอตเตอรี่

     วันที่ 5 พ.ย. นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการสลากฯ ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ เพื่อพิจารณาและประเมินสถานการณ์จากปัญหาความเดือดร้อนของผู้ค้าสลากรายย่อยที่ไม่สามารถหาซื้อสลาก ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดได้ โดยจะพิจารณาความต้องการสลากที่มากถึง 100 ล้านฉบับเป็นสัดส่วนที่มีความต้องการของประชาชนทั้งประเทศหรือไม่

     นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้พบว่าสลากที่ขายส่วนใหญ่ขายหมดอย่างรวดเร็ว จึงไม่แน่ชัดว่ามีการซื้อแบบกักตุนและขายใกล้วันสลากออกเพื่อโก่งราคาหรือไม่ ดังนั้น สำนักงานสลากฯ จะพิจารณาและสำรวจให้เกิดความชัดเจนว่าสลากกว่า 26 ล้านฉบับที่หมดลงอย่างรวดเร็วไปอยู่ในมือผู้ค้าสลากรายย่อยหรือกลุ่มที่ต้องการซื้อไว้กักตุน โดยการสั่งซื้อ-สั่งจองล่วงหน้าในเดือนม.ค.2559 การเพิ่มสลากจาก 26 ล้านฉบับ เป็น 44 ล้านฉบับ คาดว่าจะเพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้จะไปตรวจสอบทรัพย์สินหรือการเสียภาษีของบุคคล หลังจากนี้จะมีการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหา ซึ่งเบื้องต้นการแก้ไขปัญหาอาจจะลดยอดคำสั่งซื้อและ คำสั่งจองสลากล่วงหน้า เหลือ 5-10 ฉบับต่อคน เพื่อกระจายให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับสลาก

      ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวกรณีผู้ค้ารายย่อยขอให้ลดเงินค่าประกันสลาก ว่า ต้องไปดูเขาเก็บเพื่ออะไร รู้หรือไม่ เพื่อป้องกันคนที่ไม่มีเงินเข้ามาจองแล้วไปขายต่อ ไม่ต้องขายเอง เขากันเรื่องนี้ ให้คนที่มีศักยภาพจริงๆ เข้ามา ตนได้สั่งแก้ไปแล้วว่าต้องดูทุกมิติ ในช่องทางออนไลน์ที่มีคนจองเยอะ คนที่จะขายจริงๆ ก็ไม่ได้ แต่ตรงนี้มันมีศักยภาพเพราะการจองไปแล้วจะคืนไม่ได้ ถ้ารับคืนจะคืนไหวหรือไม่กี่ร้อยล้านฉบับ ทุกประเทศเขาก็ทำแบบนี้ รัฐบาลขายขาดมา ก็ต้องรับผิดชอบไป ถ้ายิ่งให้ทั้งหมด ยิ่งป่วนกว่านี้อีก แค่นี้ยังคุมไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นก็เลิกขายเสีย

"ตู่"รับย้ายนอภ.บางคนโยงทุจริต

     เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการโยกย้ายนายอำเภอของกระทรวงมหาดไทย ที่มีกระแสข่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุรจิต ว่ามีบางส่วนที่โยกย้ายไม่ปกติ แต่ไม่ใช่ทุกคน

       "การทุจริตอาจมีอยู่บ้าง แต่ยังไม่บอกว่าย้ายเพราะทุจริต ถ้าทุจริตต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งทั้งหมดต้องมาจากการร้องทุกข์กล่าวโทษ มิเช่นนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรัฐมนตรีจะรู้ได้อย่างไร ผมยิ่งไม่รู้ใหญ่เพราะอยู่ข้างบนรับผิดชอบนโยบาย ซึ่งแสดงว่าผู้ว่าฯเขาไปสอบมาจากเรื่องร้องเรียน ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการปรับย้ายตามวาระ ไม่ใช่ย้ายแบบไม่ปกติทั้งหมด คงมีไม่กี่คน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

      พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ได้กำชับทุกกระทรวงในเรื่องการป้องกันทุจริต ซึ่งได้ย้ำให้ ผู้ตรวจราชการ รวมถึงคสช.ลงไปดูว่ามีการทุจริตตรงไหน การขับเคลื่อนอย่างไร จะไปถามประชาชนว่าพอใจหรือไม่ ข้าราชการทำตามนโยบายที่มอบไปหรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็พิจารณากันใหม่ แต่งานต้องเดินหน้ากันต่อ

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!