WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

 1ลกอสาน

ปชป.อัดวิตถาร สูตร'คนนอก'ชาวอุบลฯคึกคัก แห่ดูเลขรถบิ๊กตู่ เสี่ยตือลุ้นระทึก สนช.โหวตวันนี้

     'บิ๊กตู่' ลุยงานอุบลฯ ชื่นมื่น ชาวบ้านแห่ดูป้ายทะเบียนรถ ลั่นเดินหน้าเชื่อมโยงทุกภาคส่วนสู่ประชารัฐปรามเอ็นจีโอช่วยดูแลประเทศให้ดีขึ้น ลั่นอย่าระแวงร่างรัฐธรรมนูญเรื่องนายกฯคนนอก ชี้หวังแก้ปมนายกฯ มาตรา 7 กรธ.ยันแนวคิดยังไม่ตกผลึก ระบุหากทหาร มาตามกติกาไม่ผิด ปชป.จวกแนวคิดวิตถาร เพื่อไทยอัดซ้ำลิดรอนสิทธิ เตือนเป็นร่างฉบับเรียกแขก ศาลฎีกาฯ ตัดพยานคดีข้าว จีทูจี"บุญทรง"จาก 1,000 คนเหลือ 92 คน นัดไต่สวน 2 มี.ค.-21 ธ.ค.59 "เสี่ยตือ"ระทึก เสียงสนช.ก้ำกึ่งโหวตถอดถอนวันนี้ ลุ้นคะแนนสายทหารชี้ขาด

วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9116 ข่าวสดรายวัน

ลูกอีสาน - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนโยบาย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่บ้านยางกระเดา อ.ดอนมดแดง จ.อุบล ราชธานี ขณะที่ชาวบ้านแห่กันมาดูเลขทะเบียนรถนายกฯ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.

 'บิ๊กตู่'นำทีมรมต.ลุยอุบลฯ

      เมื่อเวลา 07.45 น. วันที่ 12 พ.ย. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นาย สุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เดินทางจากฝูงเครื่องบิน กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้าย กองทัพบก ดอนเมือง โดยเครื่องบินแอมแบร์ บ.ท.135 มายังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 จ.อุบลราชธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ พร้อมด้วยทหาร ตำรวจ และข้าราชการให้การต้อนรับ

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์และคณะเดินทางมายังบ้านยางกะเดา ต.ท่าเมือง อ.ดอนมดแดง จ.อุบลราชธานี เพื่อรับทราบการรายงานและบรรยายสรุปโครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการสนับสนุนด้านการเกษตร ตรวจเยี่ยมการดำเนินนโยบายการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ในกิจการกองทุนหมู่บ้านตำบลละ 5 ล้านบาท โรงสีหมู่บ้าน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และตลาดประชารัฐ ซึ่งมีการจัดนิทรรศการนำเสนอผลการดำเนินการของชุมชนใน ด้านต่างๆ ด้วย และระหว่างการเยี่ยมชมนิทรรศการ พร้อมเปิดธนาคารข้าวของหมู่บ้านยางกะเดา พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดคุยกับชาวบ้านว่า ไม่อยากให้เป็นแค่ธนาคารข้าว แต่อยากให้เป็นธนาคารพืชผลทางการเกษตร ธนาคารปุ๋ย หรือธนาคารเมล็ดพันธุ์ ซึ่งต้องมีการบูรณาการ

โอดนายกฯเสี่ยง-ปลื้มนปช.กลับใจ

     พล.อ.ประยุทธ์ยังถามชาวบ้านว่า นอกจากปลูกไว้กินเองแล้ว เหลือแล้วเอาไปไหน ซึ่งชาวบ้านตะโกนตอบว่า เอาไปขาย พล.อ.ประยุทธ์ได้หยอกล้อพร้อมทำท่าจะ ทุบและกล่าวว่า "เดี๋ยวทุบเลย เหลือก็ต้องแบ่งปัน ไม่มีเพื่อนกันหรือไง" จากนั้นชาวบ้านได้ขอให้นายกฯ จับเชือกที่มีตัวรอกไว้สำหรับการชักลากข้าวเพื่อเก็บในธนาคาร พร้อมบอกให้ระวัง โดยนายกฯ ดึงเชือกแล้วชี้ไปที่ตัวรอก และกล่าวว่า "ผมเข้ามาเป็น นายกฯ ก็เสี่ยงเหมือนตัวรอกนี่แหละ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่พล.อ. ประยุทธ์เยี่ยมชมนิทรรศการและตลาดประชารัฐ มีนายจำรูญศักดิ์ จันทรมัย ชาวอุบลราชธานีเข้าไปพบและบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยเป็นสมาชิกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แต่ตอนนี้กลับใจแล้ว อยากจะมาช่วยนายกฯ ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่ลงมาถึงประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ชอบใจ พร้อมเข้าไปกอดคอและตบไหล่ นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้เติมน้ำมันให้กับรถจักรยานยนต์จากปั๊มชุมชนที่ชาวบ้านร่วมมือกันตั้งขึ้น และกล่าวกับชาวบ้านอย่างอารมณ์ดีว่า "วันนี้เติมน้ำมัน แต่อย่าเติมเชื้อไฟเข้าไปสร้างความขัดแย้งอีก เรามาช่วยกันทำมาหากินดีกว่า"

รปภ.เข้ม-แห่ดูทะเบียนรถ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของชาวบ้านนอกจากอยากใกล้ชิดและเห็นนายกฯ ตัวจริงแล้ว หลายคนยังสนใจกับทะเบียนรถที่นายกฯ ใช้ปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ ซึ่งนายกฯ ใช้รถโตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว กข 2002 อุบลราชธานี

สำหรับบรรยากาศการรักษาความปลอดภัยในครั้งนี้เป็นไปอย่างเข้มงวด มีการสนธิกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารจากกองทัพภาค 2 รวมทั้งอาสาสมัครต่างๆ คอยตรวจดูความเรียบร้อยรอบงาน รวมถึงมีหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดคอยสแกนพื้นที่โดยรอบ ขณะที่การตรวจค้นบุคคลเข้า-ออก ที่ทางเข้างานนอกจากต้องผ่านเครื่องสแกนแล้ว ยังขึงผ้าแยกเป็น 2 ห้อง ชายและหญิง เพื่อตรวจค้นร่างกายของผู้เข้า-ออกอย่างละเอียด

ขณะเดียวกัน ก่อนคณะนายกฯ จะเดินทางมาถึง มีการสั่งให้รื้อถอนป้ายไวนิลขนาดใหญ่ สูงกว่า 2 เมตร กว้าง 8 เมตร ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้างาน โดยมีข้อความร้องเรียนขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อดำเนินโครงการเลี้ยงโค-กระบือ ของกลุ่มสหกรณ์เกษตรกรไทยพอเพียงจำกัด โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า สาเหตุที่ต้องรื้อถอนเนื่องจากเป็นหนังสือร้องเรียน ซึ่งในพื้นที่ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์จากศูนย์ดำรงธรรมไว้อยู่แล้ว

ยันไทยต้องเป็นประชารัฐ

จากนั้นเวลา 12.00 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปราศรัยกับประชาชนกว่า 2,000 คน ที่บริเวณบ้านยางกระเดาว่า ตนมาอุบลฯครั้งนี้มีคนพยายามเข้ามาใกล้ๆ เข้าใจว่าชื่นชอบ คงไม่ใช่เข้ามาดูป้ายทะเบียนรถที่ตนนั่งมา ส่วนตัวไม่สนับสนุนให้เล่นหวยแต่เข้าใจว่าหวยเป็นความหวังของชาวบ้าน สิ่งที่ตนและรัฐบาลทำ คือทำให้ทุกคนมีอาชีพและมี รายได้ที่พอเพียง ไม่หลงใหลในสิ่งสวยงาม หรือทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ตนพูดแบบนี้มาตั้งแต่เดือนพ.ค.57 ซึ่งเกือบ 2 ปีแล้ว เวลาของรัฐบาลและคสช.ก็เหลือน้อยลงทุกที ซึ่ง เราไม่ต้องการฝืนวิถีทางของประชาชน แต่ต้องการสร้างความเข้มแข็ง

"ผมปฏิเสธประชาธิปไตยไม่ได้ ประชา ธิปไตยต้องเป็นสากล แต่ต้องปรับให้เหมาะกับสังคมไทยด้วยและต้องเป็นประชารัฐ เชื่อมโยงการทำงานทั้งรัฐบาล ประชาชน ภาคเอกชนและเอ็นจีโอ การเป็นประชารัฐได้จะต้องมีความรู้และเรียนรู้ว่าจะอยู่อย่างไร ร่วมมือกันอย่างไรไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก อย่าให้ใครมาชักจูง และผมไม่เคยชักจูงให้ใครมารัก มาชอบ เพราะยิ่งเกลียดผม ผม ก็ยิ่งรัก และคนที่เกลียดผมอาจเป็นเพราะไม่เข้าใจ เว้นแต่คนที่พยายามไม่เข้าใจ แต่ต้องมีกรอบกติกา และรัฐบาลพยายามทำเพื่อประชาชน ไม่บังคับใคร ยกเว้นคนที่ทำผิดกฎหมาย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

อย่าให้คนแบ่งซีกปชต.กลับมา

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของบ้านเราคือการเมือง การเป็นประชาธิปไตย ซึ่งตนไม่ได้ปฏิเสธ และพยายามทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ จะได้ไม่ต้องมาเจอพวกตนอีก แต่ร้อนใจว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ผิดถูกต้องว่ากันตามกฎหมาย ทำผิดก็ต้องติดคุก ขออย่าเอาอดีตมาตีกับสิ่งที่ทำใหม่ เพราะจะนำไปสู่จุดสุดท้ายคือไม่มีใครได้อะไรเลย ไม่อยากให้มีใครติดคุกอย่างกรณีตัดสินให้จำคุก 13 ปีเพราะไปเยี่ยมศาลากลางจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งคนที่นำมาไม่เคยติดคุก มีแต่ประชาชน ถ้าไม่โดนวันนี้วันหน้าก็ต้องโดน ถ้าไม่มีกฎหมาย ประเทศนี้ก็ไม่มีความสุข ใครจะทำอะไรก็ลองดู จะทำได้หรือเปล่า

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้อย่าเชื่อใครที่พยายามบิดเบือน เพราะตนไม่เคยโกหก ทหารโกหกไม่ได้ ทหารที่ไม่ดีก็ไม่ดี เป็นคนละคน คนละเรื่อง อย่าเอามาเหมารวมว่าเลวทั้งหมด ตนยังไม่เคยเหมารวมว่าใครเลว อยู่ที่ทำผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องฟังและคิดอย่างมีเหตุผล ประชาธิปไตยก็ต้องเป็นไปตามโรดแม็ป แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ดูแลคนทั้งหมด ไม่ใช่ดูแลเฉพาะกลุ่ม ก็รู้กันอยู่ อย่าให้คนแบบนั้นกลับเข้ามาอีก ตนไม่พูดว่าใคร คนดีก็เยอะ วันนี้จะมีใครประท้วงตนหรือไม่ ถ้าจะมาประท้วงก็มา ตนจะได้อธิบายให้เข้าใจ ตนก็เป็นลูกอีสานเพราะเกิดที่โคราช ไม่ทำร้ายคนอีสานอยู่แล้ว มีแต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นและคนทั้งประเทศด้วย

ปรามเอ็นจีโออย่าปลุกปั่น

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเอ็นจีโอ ตนรู้ดีว่าพวกเขามีหน้าที่ แต่อย่าลืมว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ดูแลประเทศด้วย จะเลือกทำอย่างหนึ่ง ไม่ทำอีกอย่างหรือขัดขวาง ทำให้เกิดความขัดแย้งนั้นไม่ได้ และต้องไม่มีปัญหากับประชาคมโลก วันนี้ขออย่าให้มีการยุยงปลุกปั่น การลงพื้นที่ครั้งนี้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนจำนวนมาก เป็นปัญหาที่แก้ไม่ยากแต่ก็แก้ ไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน จึงเดินหน้าต่อไม่ได้ เราต้องทำเรื่องที่ง่ายทำเรื่องใหญ่ลดให้เล็กลง รวมถึงเรื่องปรองดองที่จะต้องทำเรื่องง่ายก่อน จะแก้ไขทั้งหมดเลยไม่ได้ ทะเลาะกันเป็นสิบเรื่องจะให้เลิกกันไปไม่มีทาง แต่กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย อย่าใช้วิธีหยวน ยังไงก็ได้ อย่าให้ใครบิดเบือน

ต่อมาเวลา 15.20 น. ที่ห้องพิมานทิพย์ ชั้น 7 ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี พล.อ. ประยุทธ์เป็นประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจกลุ่มจังหวัด (กรอ.กลุ่มจังหวัด) พื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง(อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ) โดยมีภาคเอกชน 4 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้แทนภาครัฐ ประชาสังคม และเอกชนเข้าร่วม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวมอบนโยบายว่า ต้องการให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มี รายได้เพิ่มขึ้น มีอาชีพรองรับมากกว่าการทำอาชีพเกษตรกร และปรับปรุงสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ต้องทำในรูปแบบประชารัฐไปพร้อมกัน อาศัยกรอ.กลุ่มจังหวัด ภาคเอกชน ประชาชน และกลุ่มเอ็นจีโอ พร้อมให้ภาคเอกชนทำความเข้าใจกับกลุ่มเอ็นจีโอให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจให้ความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศในทิศทางที่ดีขึ้น สู่การเป็นประชาธิปไตยตามโรดแม็ปของรัฐบาล และขออย่าให้ทุกคนมุ่งหวังให้เกิดการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด ยืนยันว่าการลงพื้นที่วันนี้เพื่อนำความปราถนาดี เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ยันตำบล 5 ล้านไม่พบทุจริต

พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังประชุมว่า การลงพื้นที่อุบลฯในวันนี้ ประชาชนมีความเข้าใจรัฐบาลมากขึ้น เข้าใจถึงความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา อาจมีอุปสรรคบ้างในเรื่องเวลาและงบประมาณ การมาครั้งนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกกดดันจากการมีรายได้น้อย และมีปัญหาเรื่องน้ำน้อย ซึ่งตนเป็นห่วงเรื่องนี้เป็นพิเศษและต้องขอบคุณเกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชตามคำแนะนำของรัฐบาล ส่วนการประชุมกรอ. ตนอยากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือแบบประชารัฐ พัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ

นายกฯกล่าวว่า ผู้ว่าฯได้รายงานโครงการนโยบายตำบลละ 5 ล้านบาท ซึ่งมีปัญหาความไม่เข้าใจกันอยู่บ้าง แต่ยืนยันว่าจากการตรวจสอบยังไม่พบการทุจริตใดๆ และได้สั่งการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หาวิธีเก็บกักน้ำในตอนน้ำท่วม ทั้งยังสั่งการให้ดูแลการปลูกข้าวของชาวนาที่ข้าวไม่ได้คุณภาพ ต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ด้วย

ดีใจแกนนำแดงหันเชียร์รัฐ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงแกนนำนปช.อุบลราชธานีหันมาสนับสนุนการบริหารประเทศของรัฐบาลว่า ดีใจ ตนไม่ได้มองเขาเป็นคนอื่น เป็นคนไทย เขากลับใจหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่เขามาร่วมมือด้วย ตนก็ร่วมมือกับเขา ร่วมกันทำงาน เพราะเราคือคนไทย เว้นแต่คนบางคน ถ้าไม่คิดว่าเป็นคนไทย ถ้าจะทำอะไรก็ทำไป ตนถือว่าคนไทยด้วยกันต้องรักกัน ถ้าเราเอาความเห็นต่างมาทำให้เราอยู่กันไม่ได้ คงไม่ใช่ ต้องแสวงหาจุดร่วม อะไรที่เป็นจุดต่างก็เก็บไว้ ถ้าเอามาขัดแย้งตั้งแต่ต้น ความร่วมมือก็จะไม่เกิด นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหาของบ้านเรา ส่งผลต่อปัญหาการเลือกตั้ง และประชาธิปไตยในอนาคต เราต้องแก้เรื่องเหล่านี้ให้ได้ สร้างความเข้มแข็ง ลดความขัดแย้ง สร้างอนาคต ตรงนี้สำคัญ พวกตนก็แก่กันหมดแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้สอบถามผู้ว่าฯกลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่างทั้ง 4 จังหวัด ถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มต้านรัฐบาลหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ถามแล้วไม่มีอะไร ข้างบนต่างก็ดูดี แต่ข้างล่างตนไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้มาทำให้ผู้ว่าฯเห็น สื่อก็ไปสอดส่องแล้วมาบอกตนด้วย ถ้าไม่ผิดกฎหมายก็ต้องปล่อยให้เขาทำ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประชาชนจะให้เขาชักจูงในทางไม่ดีหรือเปล่า นักการเมืองก็ดี 90 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ตนไม่ได้ว่าอะไร แต่ส่วนไม่ดีก็หากันให้เจอ แล้วจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติปลอดภัย

"ผมมีสิทธิ์เท่าท่านเหมือนกัน หนึ่งเสียงในการเลือกตั้ง ส่วนการเลือกตั้งครั้งต่อไปผมจะใช้สิทธิ์เลือกคนถูกหรือไม่ก็ไม่รู้ จะมีอะไรบังตาผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เหมือนกับสื่อ เลือกถูกหรือเปล่า" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ลั่นอย่าระแวงนายกฯคนนอก

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ. )มีแนวทางเรื่องที่มาของนายกฯจะ เป็นส.ส.หรือไม่เป็นส.ส.ก็ได้ และให้พรรค การเมืองจัดทำรายชื่อผู้จะมาเป็นนายกฯยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ก่อนการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ฟังมาทาง กรธ.ต้องการแก้ปัญหาที่อ้างถึงมาตรา 7 ก็ไปดูตรงนั้น อย่ามาระแวงตน ตอนนี้ต้องแยกให้ออกว่าเขาทำเพื่ออะไร เขาทำเพื่ออนาคต ปัญหาที่ทะเลาะเบาะแว้งมาตลอด ไม่ว่าจะนายกฯคนนอก นายกฯพระราชทาน เขาไม่อยากให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เขาเขียนมาก็ต้องมีกติกาชัดเจน มาจากใคร ที่ไหน อย่างไร เห็นชอบโดยใคร อย่าง การเลือกส.ส.ก็เสนอมาว่าน่าจะมีการเลือก นายกฯด้วย ซึ่งทำได้หรือเปล่าไม่รู้ อย่ามากังวลเรื่องนี้

ต่อข้อถามว่าประเด็นนายกฯคนนอกจะ มีผลต่อการลงประชามติหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่ายังไม่ออกมาเลย เป็นเรื่องของการร่างรัฐธรรมนูญ นายกฯคนนอกมีผลเสียยังไงตอบมา ถ้ามันไม่ใช่ตน ไม่ใช่ทหาร เสียอะไรตรงไหน ถ้าเป็นนายกฯคนในมาจากการเลือกตั้ง มันจะได้หรือจะเสีย มันไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น ตนถึงบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญที่ให้กรธ.ร่างรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับสถานการณ์วันนี้ เพื่อเดินยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อปฏิรูประเทศด้านต่างๆ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากกว่า มันถึงจะกลับไปสู่คำตอบที่ว่า รัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร ไม่มีอะไรได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าทุกอย่างที่เราทำยังเหมือนเดิม เราก็ได้เหมือนเดิม แต่ถ้าเราเปลี่ยนแปลงบ้าง โดยไม่ผิดเพี้ยนมากนัก ก็ไปว่ามา

กรธ.ให้อนุฯศึกษาที่มานายกฯ

เวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุม กรธ. โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหารและคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ

นายนรชิต สิงหเสนี โฆษก กรธ. แถลงว่า ที่ประชุมให้คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหาร ไปศึกษาข้อดี ข้อเสีย รวมทั้งรายละเอียดแนวทางการได้มาซึ่ง นายกฯ ที่กรธ.มีแนวโน้มว่า นายกฯ จะเป็นส.ส.หรือไม่เป็นส.ส.ก็ได้ แต่ต้องเลือกโดยสภาผู้แทนราษฎร และพรรคการเมืองต้อง จัดทำรายชื่อผู้จะมาเป็นนายกฯ ยื่นให้ กกต. ก่อนการเลือกตั้ง และที่ประชุมให้คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ ไปศึกษารายละเอียดวิธีการนับคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อว่าจะทำอย่างไรไม่ให้มีจำนวนเกิน 150 คน และวิธีทำให้ประชาชนเข้าใจได้ง่าย จากนั้นให้อนุฯทั้ง 2 ชุดกลับมาเสนอผลการศึกษาแก่ที่ประชุมกรธ.อีกครั้ง

"ข้อเสนอทั้งหมดยังเป็นเพียงแค่แนวทางที่ยังไม่ตกผลึก กรธ.ยังต้องศึกษารายละเอียดและรับฟังเสียงจากประชาชนและข้อเสนอแนะพรรคและภาคส่วนอื่นๆ ด้วย" นาย นรชิตกล่าว

ชี้ถ้าทหารมาตามกติกาไม่ผิด

นายเธียรชัย ณ นคร กมธ.ในฐานะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหาร กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติในรายละเอียดและวิธีการหากจะใช้แนวทางการได้มาซึ่ง นายกฯด้วยวิธีดังกล่าว แต่เบื้องต้นกรธ.ได้ข้อยุติว่าการได้มาซึ่งนายกฯต้องมาจากเสียงข้างมากในสภา เป็นการเลือกนายกฯทางอ้อมโดยส.ส. 500 คน แต่วิธีการให้จดแจ้งชื่อต่อกกต.ไว้ก่อนเพื่อลดข้อครหาว่าอาจเสนอชื่อบุคคลลึกลับมาเป็นนายกฯ ได้ในภายหลัง

นายเธียรชัยกล่าวว่า แนวทางที่เสนอให้พรรคจัดทำบัญชีรายชื่อไว้ ไม่จำกัดว่าผู้ถูกเสนอชื่อจะต้องเป็นส.ส. เป็นคนที่ไม่ได้ เป็นส.ส.ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด อีกทั้งกรธ.ได้นำโมเดลของอิสราเอลมาใช้ก็เป็นเพียงตุ๊กตาเท่านั้น แต่ไม่ควรจำกัดตัวบุคคลว่านายกฯ ต้องมาจากส.ส. แต่ควรเปิดกว้าง โดยเสนอไว้เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ไม่จำเป็นว่านายกฯ คนนอกต้องมาจากวิกฤตทางการเมือง แต่อาจมาจากเหตุผลการบริหารประเทศที่ซับซ้อนและต้องการมืออาชีพมาบริหารประเทศก็ได้ ขึ้นอยู่กับพรรคจะรวบรวมเสียงให้ได้เสียงข้างมากเพื่อหาตัวนายกฯ ด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อเสนอนี้อาจมีเสียงโจมตีว่าปูทางให้ทหารมาเป็นนายกฯ เพื่อสืบทอดอำนาจ นายเธียรชัยกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าถ้าทหารจะตั้งพรรคการเมืองแล้ว ลงเลือกตั้ง หากได้รับเลือกตั้งเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะอยู่ในกติกา หากทหารได้รับเลือกตั้งก็ไม่ต่างจากส.ส.ที่ประชาชนเลือกมา

ปชป.ฉะแนวคิดวิตถาร

ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า กรณีที่กรธ.มีแนวคิดให้พรรคการเมืองแนบรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกฯ ให้ประชาชนทราบและแจ้งรายชื่อไว้ต่อกกต.ว่า ดูแล้วเป็นแนวคิดแบบวิตถาร พรรคที่ไหนจะเสนอชื่อคนนอกเป็นนายกฯ ตามธรรมชาติที่ไม่วิตถาร เขาเสนอชื่อหัวหน้าพรรคตัวเองที่ได้เสียงมากที่สุดเป็นนายกฯ ทั้งนั้น แต่การเมืองไทยเคยมีคนคิดวิตถารเหมือนกัน ถ้าตนจำไม่ผิดคือ 2 ครั้ง ครั้งแรก พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 พรรค เพื่อไทยเสนอชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ แทนที่จะเสนอชื่อนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค ซึ่งตนเห็นว่าน.ส. ยิ่งลักษณ์ ก็มาเป็นนายกฯ แบบวิตถาร

"การจะแก้ความวิตถารในทางการเมือง จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะทำให้วิตถารมากกว่า แต่อยู่ที่คนไทยชอบและยอมรับความวิตถารหรือไม่ ถ้าประชาชนชอบ แต่เราไม่ชอบ เราก็อย่าไปทำวิตถารเหมือนเขา ซึ่งคนที่เสนอแนวคิดนี้น่าจะชอบความวิตถารอยู่เหมือนกัน" นายนิพิฏฐ์ กล่าว

เพื่อไทยอัดลิดรอนสิทธิ

นายสามารถ แก้วมีชัย คณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ระบบเดิมแม้ไม่จำเป็นต้องเสนอชื่อคนเป็นนายกฯ แต่เวลาพรรคหาเสียง ภาพจะโฟกัสไปที่ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 อยู่แล้ว และอยากให้ประชาชนดูที่นโยบาย เลือกเพราะความนิยมชมชอบในนโยบาย นอกจากนี้การจะให้เสนอชื่อก่อนแล้วหลายพรรคอาจเสนอชื่อซ้ำกันได้นั้นยิ่งตลก แปลว่าอยากรู้ก่อนใช่หรือไม่ว่าพรรคไหนจะมาร่วมกันเป็นรัฐบาลบ้างหลังเลือกตั้งแล้ว

นายสามารถกล่าวว่า บุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ พรรคจะต้องพิจารณาว่าคนๆ นั้นประชาชนรับได้ มีความรู้ความสามารถ ยืนยันว่า 1.ไม่เห็นด้วยกับวิธีดังกล่าว เพราะเท่ากับไปลิดรอนสิทธิของพรรค ก้าวล่วงกิจกรรมทางการเมืองตามระบอบประชา ธิปไตย และเหมือนไปคิดแทนประชาชน 2.พรรคยังคงยืนยันว่านายกฯต้องมาจากส.ส. จะได้ยึดโยงกับประชาชน และส.ส.จะต้องยึดโยงกับพรรค ซึ่งพรรคจะมีนโยบายเสนอต่อประชาชน ดังนั้น นายกฯที่มาจากส.ส.จะเข้าใจในนโยบายพรรคที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน และนำนโยบายนั้นไปดำเนินการเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อไป

"ปึ้ง"เตือนร่างรธน.เรียกแขก

ส่วนนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การที่กรธ.เสนอให้การเลือกส.ส.บัญชีรายชื่อเป็นแบบสัดส่วนผสม และการเสนอให้นายกฯ มา จากคนนอกนั้น จะมีปัญหาเรียกแขกมาแน่ๆ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการเห็นนายกฯที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คงจะไม่โหวตรับรัฐธรรมนูญในการทำประชามติแน่นอน และหากต้องยืดอายุรัฐบาลให้อยู่ต่อไปอีก จะทำให้ต่างชาติหมดความเชื่อมั่น การค้าขายและการลงทุนจะได้รับผลกระทบในทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายสุรพงษ์กล่าวว่า คิดว่าคสช.อาจต้องแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว เตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับหากร่างนี้ไม่ผ่านประชามติ เช่น จะนำรัฐธรรมนูญฉบับใดมาประกาศใช้ เช่น ปี 40 หรือปี 50 เราจะได้มีการเลือกตั้งตามที่นายกฯประกาศไว้ว่าจะก้าวออกจากตำแหน่งในเดือนก.ค.60 และควรยุติบทบาทของกรธ.ทันที โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายรายเดือน ให้ทั้ง กรธ.และสปท. คสช.น่าจะประเมินตัวเองได้แล้วว่าที่ทำมาประเทศดีขึ้นหรือแย่ลง อย่าหลอกตัวเองหรือไปเชื่อโพลที่ทำเอาใจนาย แล้วจะได้กำหนดทิศทางประเทศได้ถูกต้อง ถ้าไปไม่ไหวจริงๆ จะได้หาวิธีอื่นเพื่อนำพาประเทศให้ก้าวต่อไปให้ได้

"จตุพร"ฟันธงไม่ได้ใช้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูบว่า ขณะนี้นายมีชัยพยามยามเสนอรูปแบบที่มานายกฯ มีการเสนอสูตรนายกฯล่วงหน้าของทุกพรรค และเสนอคนนอกมาเป็นนายกฯได้ โดยมีหลักใหญ่เพื่ออธิบายว่า นายกฯมาจากการเลือกของรัฐสภา หรือจากสภาเดียว และไม่ต้องเป็นส.ส.ก็ได้ เพื่อเปิดช่องให้แก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ ดังนั้น ควรเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ตรงไปตรงมาว่า นายกฯมาจากคนนอกได้

"วันนี้นายมีชัยเป้าหมายชัดเจน ขอท้าว่าให้เดินหน้านายกฯคนนอกต่อ อย่าหยุด อย่าเปลี่ยนความตั้งใจ ประกาศชัดว่าจะเอาแบบนี้ นายกฯคนนอกเป็นได้ เขียนไปเลย อย่าขอประชาธิปไตยจากนายมีชัย เพราะไม่เคยมี จึงให้ไม่ได้ นายมีชัยอย่าหยุด ให้เดินหน้า เอาแบบที่ว่า เขียนในรัฐธรรมนูญเลย ผมฟันธงว่าไม่ได้ใช้" นายจตุพรกล่าว

"เต้น"เชื่อใบสั่งผู้มีอำนาจ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. กล่าวว่าสูตรที่มานายกฯ ที่ให้แต่ละพรรคเสนอชื่อได้พรรคละ 5 คนโดยไม่ต้องเป็นส.ส.นั้น น่าจะเป็นประสงค์ของผู้มีอำนาจมากกว่าการตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน เพราะแม้ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 จะไม่กำหนดให้ทุกพรรคประกาศตัวนายกฯ แต่ในสนามเลือกตั้ง ประชาชนรู้ตัวว่าที่นายกฯของแต่ละพรรคอยู่แล้ว ไม่เคยปรากฏว่าพรรคใดเอา ไอ้โม่งที่ไหนมาเป็น นอกจากมีไอ้โม่งคอยสร้างสถานการณ์และตั้งนายกฯ ในค่ายทหาร

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนที่อ้างว่าเสียงประชาชนจะมีความหมายมาก กาบัตร 1 ใบได้ทั้งเขต บัญชีรายชื่อ และนายกฯ ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะบัตรใบเดียวตัดโอกาสประชาชน ในการเลือก ซึ่งแบบเดิมเลือกเขตกับพรรคต่างกันได้ และการเลือกพรรคก็หมายถึงเลือกนายกฯโดยปริยายอยู่แล้ว มีข้อสังเกตด้วยว่าเดิมเรื่องนายกฯคนนอกอ้างว่าต้องเปิดไว้ เพื่อแก้วิกฤตการเมือง ป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหาร แต่วันนี้เหตุผลดังกล่าวหายไป กลายเป็นให้โอกาสประชาชนได้เลือกแทน

"กรธ.ควรพูดความจริงว่าธงใหญ่ คือต้องเปิดช่องนายกฯคนนอกไว้ สงสัยว่าถ้าประเด็นนี้สังคมรับได้ อาจมีบทเฉพาะกาลให้มีนายกฯนอกบัญชีพรรค หากเกิดสถาน การณ์ที่เป็นทางตันตามพิมพ์เขียวเดิมของฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ถ้าไม่ใช่ก็ควรปฏิเสธให้ชัดตั้งแต่วันนี้" นายณัฐวุฒิกล่าว

"บุญทรง-ภูมิ"มาศาลตามนัด

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลนัดฟังคำสั่งการตรวจพยานหลักฐาน ในคดีอัยการสูงสุด(อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ และพวกรวม 21 ราย ในข้อหากระทำผิดฐานฮั้วประมูล ใช้อำนาจโดยทุจริตสร้างความเสียหายแก่รัฐ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จากกรณีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี)

ในวันนี้นายบุญทรง นายภูมิ และจำเลยคนอื่นๆ พร้อมทนายต่างทยอยมาศาล แต่มีจำเลย 3 คนที่ไม่ได้มาศาลคือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 14 ที่ถูกควบคุมตัวตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ส่วนจำเลยที่ 12 น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ และจำเลยที่ 19 นายสมยศ คุณจักร ศาลอนุญาตไม่ต้องมาเนื่องจากติดภารกิจ

กังวลถูกตัดพยานอื้อ

สำหรับการตรวจหลักฐาน ศาลอนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าไต่สวน 29 ปาก จากที่ขอไป 122 ปาก และในส่วนของจำเลย 92 ปาก จาก 1,032 ปาก ซึ่งเป็นพยานร่วมกัน 19 ปาก ส่วนที่คู่ความขอเพิ่มพยานศาลให้รอจนกว่ากระบวนการไต่สวนพยานจะเสร็จสิ้นทั้งหมด โดยศาลนัดไต่สวน 20 นัด นัดแรกวันที่ 2 มี.ค.59 และนัดสุดท้ายวันที่ 21 ธ.ค.59 เวลา 09.30-16.30 น. ให้คู่ความ ทนาย และเลขานุการองค์คณะพิพากษา ไปหารือร่วมกันเพื่อกำหนดลำดับการไต่สวนภายใน 14 วันนับแต่วันที่มีคำสั่ง

นอกจากนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ มี มติแต่งตั้งนายพิศล พิรุณ เป็นองค์คณะผู้พิพากษา แทนนายวีรพล ตั้งสุวรรณ ที่ขอถอนตัวจากองค์คณะ เนื่องจากได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นประธานศาลฎีกา

นายบุญทรงกล่าวภายหลังฟังคำสั่งศาลว่า แม้การถูกตัดพยานบุคคลจาก 1,000 คน เหลือ 92 ปาก จะไม่กระทบต่อการชี้แจงหรือสู้คดี แต่รู้สึกกังวล และอยากให้พยานที่ ถูกตัดออกเข้ามาไต่สวนเพื่อให้เกิดความ เป็นธรรม

วิปสปท.เคาะ 4 ชื่อร่วมวิป 3 ฝ่าย

เวลา 13.15 น. ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน เลขานุการและโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิปสปท.) แถลงผลการประชุมวิปสปท.ครั้งแรกว่า ได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งในวิปสปท. โดยมีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เป็นประธานวิปสปท. และ ให้นายอลงกรณ์ พลบุตร และน.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธานสปท. เป็น รองประธานวิปสปท. ขณะที่ตนได้รับมอบหมายให้เป็นเลขานุการและโฆษก และมีพ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้แต่งตั้งสมาชิกสปท.ไปเข้าร่วมคณะกรรมการประสานงานรวม 3 ฝ่ายคือ คณะรัฐมนตรี(ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และสปท.ตามที่นายกฯได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 336/2558 โดยมีทั้งหมด 29 คน มีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในส่วนของสปท.ได้เสนอสมาชิก 4 คน ประกอบด้วย พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ นายไพฑูรย์ หลิมวัฒนา นายกลินท์ สารสิน เข้าร่วม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดให้มีการประชุมวิปสปท.ทุกวันพฤหัสบดีเวลา 09.30 น.

"ตือ"แถลงปิดคดีถอดถอน

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระบวน การถอดถอน นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดตาม ข้อกล่าวหา ร่ำรวยผิดปกติ จากกรณีสร้างบ้านมูลค่า 16 ล้านบาท ที่จ.อ่างทอง โดยเป็น ขั้นตอนการแถลงปิดคดีด้วยวาจาของนาย สมศักดิ์ผู้ถูกกล่าวหา ขณะที่ตัวแทนป.ป.ช. ในฐานะผู้กล่าวหาได้ขอแถลงปิดสำนวนด้วยเอกสาร

      นายสมศักดิ์แถลงว่า โดยข้อเท็จจริงที่ป.ป.ช.แสดงมาทั้งหมด 164 หน้าว่าตนใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ให้ได้ทรัพย์สินคือ บ้านที่ 5/5 ซึ่งใน 164 หน้าไม่มีแม้แต่คำเดียวที่พูดถึงการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนให้ได้ทรัพย์สินดังกล่าวมา ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะในสำนวนต้องมีรายละเอียดว่าตนใช้อำนาจหน้าที่อย่างไรถึงจะยื่นถอดถอนตนได้ ทั้งนี้ ตนได้ยอมรับไปแล้วในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์ว่าเป็นการสำคัญผิด ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้วินิจฉัยเสร็จสิ้นกระบวนการ และตนได้รับโทษไปหมดแล้ว แต่ป.ป.ช.ได้นำผลของคดีมาชี้มูลถอดถอนตนกรณีร่ำรวยผิดปกติอีก และยังพูดจากำกวมให้สังคมและสมาชิกสนช.เข้าใจผิดว่าญัตติถอดถอนดังกล่าวเป็น กระบวนการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน

วอนสนช.ให้ความเป็นธรรม

      นายสมศักดิ์กล่าวว่า บ้านที่ 5/5 ได้ซื้อที่ ถมที่ดิน ออกแบบ และก่อสร้างเมื่อเดือนส.ค.2541 มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศของกรมแผนที่ทหารยืนยัน และสร้างเสร็จภายเดือนเม.ย.2552 ก่อนจะรับตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการในเดือนก.ค.2542 และตนนำใบเสร็จ 18 งวด ยอดเงิน 1.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าวัตถุต่อเติมเรือนรับรองเพื่อรับชาวบ้านในพื้นที่ แต่ป.ป.ช.กลับนำหลักฐาน ดังกล่าวไปเหมารวมว่าเป็นเงินสร้างบ้าน และตีมูลค่าว่าตนมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 16 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรม และไม่มีมูล เพราะเมื่อครั้งเป็นรมว.ศึกษาธิการ ไม่เคยอนุมัติโครงการใหญ่ๆแม้แต่โครงการเดียว ซึ่งผู้บริหารกระทรวงขณะนี้ยืนยันแก่ป.ป.ช. แล้ว และในเอกสารชี้มูลของป.ป.ช.ก็ไม่มีแม้แต่คำเดียวว่า ตนทุจริตขณะเป็นรมว.ศึกษาธิการ

       "ผมมั่นใจว่าสนช.จะให้ความเป็นธรรมและใช้วิจารณญาณลงมติ และสมาชิกสนช.จะภูมิใจ หากมติของสนช.ให้ความเป็นธรรมแก่ผม ลูก เมีย ครอบครัว กราบขอความเมตตา ขอความเป็นธรรมปล่อยผมไป อย่าให้ผมต้องตายคาเวทีทางการเมือง ผมยังรักที่จะรังสรรค์ความงดงามของการเมืองให้ดีขึ้น สุดท้ายขอน้อมรับการลงมติที่จะชี้ชะตากรรม ของผมและครอบครัว" นายสมศักดิ์กล่าว

      จากนั้นนายพรเพชรแจ้งที่ประชุมว่า จะ มีการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนใน วันที่ 13 พ.ย. เวลา 10.00 น.

ลุ้นสายทหารชี้ชะตา

    รายงานข่าวจากรัฐสภาเปิดเผยว่า การ ลงคะแนนเพื่อถอดถอนหรือไม่ถอนนาย สมศักดิ์ออกจากตำแหน่งนั้น ขณะนี้เสียงแตกเป็น 2 ฝ่ายและมีเสียงก้ำกึ่งกันอยู่ โดยฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรถอดถอน ให้เหตุผลว่านายสมศักดิ์ถูกลงโทษในข้อหาปกปิดบัญชีทรัพย์สินไปแล้ว ส่วนฝ่ายที่เห็นว่าควรถูกถอดถอนนั้น มองที่พฤติการณ์และได้ตัดสินใจถอดถอนไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เสียงที่จะ ชี้วัดได้คือสนช.สายทหาร เนื่องจากเป็นเสียงส่วนใหญ่ และอยู่ที่การเข้าร่วมประชุมของสมาชิกด้วย

     ขณะเดียวกัน จากการแถลงปิดคดีของนายสมศักดิ์ ทำให้เรียกคะแนนความเห็นใจจากสนช.ได้มากขึ้น เพราะมองว่านาย สมศักดิ์สามารถหักล้างข้อกล่าวหาของป.ป.ช. ได้ ทำให้สมาชิกเข้าใจว่าเป็นการ เอาคดีเก่ามาถอดถอนอีก ทั้งที่ถูกลงโทษไปแล้ว อีกทั้งสมาชิกสนช.ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใด ป.ป.ช. ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาไม่มาแถลงปิดคดีด้วยตัวเอง แต่ส่งเป็นเอกสารเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การลงมติครั้งนี้หากปล่อยให้ฟรีโหวต ไม่มีใบสั่งใดๆ นายสมศักดิ์มีโอกาสรอด โดยต้องได้คะแนนเสียง 3 ใน 5 หรือ 132 เสียงขึ้นไป

 

ลีลา'บิ๊กตู่'ทัวร์อุบลฯ

  • มติชนออนไลน์ :


  •      "ผมเป็นลูกคนอีสานเหมือนกันนะ เพราะเกิดที่โคราช ไม่ทำร้ายคนอีสานอยู่แล้ว มีแต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้น ใครจะมาประท้วงผมก็มาเลย

         "ผมชี้แจงได้ทุกอย่าง ถึงอย่างไรประชาธิปไตยต้องได้แน่ แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยที่คนทั้งประเทศได้ประโยชน์ ไม่ใช่มีคนมาบอกว่าจะได้ประโยชน์แต่เฉพาะบ้านของท่าน และบ้านอื่นข้างเคียงไม่ได้ด้วย อย่างนั้นไม่เอา"

         "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฝากเนื้อฝากตัวต่อหน้าข้าราชการและชาวอุบลราชธานี ระหว่างการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน

         การเดินทางมายังจังหวัดอุบลฯ นับเป็นครั้งที่ 2 ในการตรวจราชการพื้นที่อีสาน หลังจากลงพื้นที่ จ.นครราชสีมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 

          อุบลราชธานีจัดเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มข้นของแนวคิดทางการเมือง รู้กันดีว่าเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งก่อนหน้าไม่กี่วัน "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ก็เดินทางมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการเป็นเจ้าของพื้นที่

         ฉะนั้น การมาของ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ จึงถูกจับตาว่าปฏิกิริยาของคนอุบลฯจะออกมาในรูปไหน 

         แต่ที่แน่นอนก็คือ มาตรการรักษาความปลอดภัยต้องเข้มข้น และที่สะดุดตาก็คือ การขึงผ้าเป็นสองห้องแบ่งเป็นชาย-หญิง ตรวจค้นร่างกายโดยละเอียด เรียกว่า "Ubon Only" เลยก็ว่าได้ 

       'บิ๊กตู่'นำทัพบุคคลสำคัญของรัฐบาล อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 

         ลงพื้นที่จุดแรกบ้านยางกะเดา ต.ท่าเมือง อ.ดอนมดแดง ติดตามโครงการบริหารจัดการน้ำ และโครงการสนับสนุนด้านการเกษตร ตรวจเยี่ยมการดำเนินนโยบายการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบด้วย กิจกรรมกองทุนหมู่บ้าน ตำบลละ 5 ล้านบาท โรงสีหมู่บ้าน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และตลาดประชารัฐ 

         บรรยากาศโดยรอบเป็นไปอย่างคึกคัก มีหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน และผู้นำส่วนท้องถิ่น รอต้อนรับจำนวนมาก พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์และคณะยังได้เดินชมนิทรรศการ ซึ่งนำเสนอผลการดำเนินการของชุมชนในด้านต่างๆ เช่น นิทรรศการนำเสนอการดำเนินงานธนาคารข้าวชุมชน ธนาคารต้นไม้ มาตรการรองรับภัยแล้ง การดำเนินการตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และผลการดำเนินการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

       ระหว่างการเยี่ยมชมธนาคารข้าวชุมชน พล.อ.ประยุทธ์โชว์แอ๊กชั่นขึ้นไปดูข้าวภายในยุ้ง พร้อมกระเซ้าชาวบ้านว่า "อ.ดอนมดแดง มีมดแดงไหม แต่ที่กรุงเทพฯ ราคามดแดงค่อนข้างสูง และอยากให้มีการจำหน่ายไข่มดแดงอีกด้วย"

         ด้วยบุคลิกของทหาร พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้คำแนะนำต่อเกษตรกรในมาดดุดัน สอบถามและชี้แนะอย่างตรงไปตรงมา เสียงดังฟังชัด แต่ไม่ลืมยิงมุขตลกตามสไตล์ของตัวเอง 

          ช่วงหนึ่งขณะเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์น้ำยาปลูกผมจากสมุนไพร ระดับคว้ารางวัลจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับเรียกหา "พี่ป๊อก" พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง พร้อมกับบอกว่า "เดี๋ยวรัฐมนตรีมหาดไทยจะซื้อ 3 โหล" โดนแซวอย่างนั้น พล.อ.อนุพงษ์ก็ทำอะไรไม่ถูก นอกจากหัวเราะเสียงดังๆ ไปตามระเบียบ

        หมอลำนับว่าเป็นศิลปะประจำท้องถิ่นของคนอีสาน พล.อ.ประยุทธ์และคณะจึงไม่พลาดชมการแสดงหมอลำชื่อดัง "ดารา ทองทวี" และมีหมอแคน "เก้า ริมจันทร์" 

    สองศิลปินจาก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่งกลอนลำมอบให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นพิเศษอีกด้วย

       ขึ้นต้นว่า "โอ้ละหนอ คุณพ่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ผูซอยใหไทยเฮา อยู่ใด๋อย่างมีหน้ามีตา (ผู้ช่วยให้คนไทย อยู่ได้อย่างมีหน้ามีตา)" แต่ "บิ๊กตู่" ขอว่า "แค่ลุงก็พอ" หมอลำจึงเปลี่ยนคำร้องเป็น "โอ้ละหนอลุงประยุทธ์" แทน 

        ฟังไปซักพัก "บิ๊กตู่" ชักสนุกตามเพลง ออกท่า "เซิ้ง" อย่างอารมณ์ดี จนเมื่อรู้สึกว่า "เซิ้ง" คนเดียวไม่มัน หันไปชวนชาวคณะให้มาร่วมด้วยช่วยกัน 

       ฟังกลอนลำจบทั้งคณะต่างปรบมือชอบใจ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้า นายกฯลุงตู่หยอดคำหวานให้หมอลำว่า เสียงเหมือนจินตหรา พูนลาภ และเมื่อทราบว่าผู้ร้องหมอลำอายุ 57 ปีแล้ว จึงได้แชวอีกว่า "ตายังคมอยู่เลย" 

       บรรยากาศลงพื้นที่โดยรวม ต้องเรียกว่าโหด มัน ฮา แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้สำเนียงน้ำเสียงดุดัน แต่ก็แฝงด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ระหว่างแวะชิมถั่วต้มจากชาวบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ยังออกปากบ่นปนแหย่ ไม่ควรต้มให้แข็งจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้ฝายลมหนัก 

       ที่เรียกเสียงฮือฮาไม่แพ้กันคือ ระหว่างเดินขึ้นเวทีเพื่อพูดคุยกับข้าราชการและประชาชน จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ได้แช่ภาพจากกล้องให้เห็นด้านหลังของรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ให้เห็นทะเบียนกันจะจะ กข 2002 ของ พล.อ.ประยุทธ์ 

        นายกฯลุงตู่ปล่อยมุขบนเวทีทันที "มีคนเข้ามาใกล้ๆ ผมก็เข้าใจว่าชื่นชอบ แต่ที่ไหนได้ เขามาดูป้ายทะเบียนรถที่ผมนั่งมา ส่วนตัวไม่สนับสนุนให้เล่นหวย แต่เข้าใจว่าหวยเป็นความหวังของชาวบ้าน สิ่งที่ผมและรัฐบาลทำคือความจริงว่าจะทำอย่างไรให้มีอาชีพและมีรายได้พอเพียง ไม่หลงใหลในสิ่งสวยงาม หรือทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย"

          นายกฯยังเน้นย้ำนโยบายประชารัฐ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศ พร้อมถือโอกาสชี้แจงการเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ต้องการให้ชาวอุบลฯมองแต่เรื่องความเป็นประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมาประเทศมีประชาธิปไตยแต่กลับไม่พัฒนา ดังนั้น ต้องกับมามองถึงปัญหาทั้งระบบ และหาวิธีการแก้ไขร่วมกัน ที่สำคัญต้องหยุดความขัดแย้ง เพราะหากขัดแย้งเราก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

         หลังพบปะพี่น้องประชาชน นายกฯมีคิวเป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วยจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ

         เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจทัวร์อีสานรอบล่าสุด

    apm

     

     

    Facebook

    5 ข่าวฮอตนิวส์!