WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

31กค

กกต.เล็ง 31 กค. ประชามติ บิ๊กตู่ไม่ใช้ม.44 สอบไฟ 39 ล้าน 7 สสส.โวยปลด

     'บิ๊กตู่' วอนร่วมมือปฏิรูปประเทศ ย้ำทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ 100% แต่ต้องไม่ทำ ผิดกฎหมาย ต้านการทำงานรัฐบาล ลั่นไม่ใช้ 'ม.44'สอบไฟกทม. 39 ล้าน 'มาร์ค'เซ็ง'ชายหมู'ไม่รับนัด แถมถูกห้ามประชุมพรรค รุมค้านข้อเสนองัดม.44 สร้างปรองดอง'วิษณุ'ชี้ออกเป็นพ.ร.บ.ดีสุด กกต.เตรียมชงสนช. ร่างหลักเกณฑ์วิธีออกเสียงประชามติ เล็ง 31 ก.ค.ชี้ชะตาร่างรธน. 7 อดีตสสส.โวยโดนปลดพ้นบอร์ด ยันไม่มีเรื่องทุจริต เครือข่ายนัดประชุม 11 ม.ค. จับตาสรรหาบอร์ดใหม่ ว่ามีนอมินีกลุ่มธุรกิจเหล้าบุหรี่หรือไม่

วันที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9172 ข่าวสดรายวัน

'บิ๊กตู่'ให้โอวาทเยาวชน

     เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวให้โอวาทคณะเด็กและเยาวชนดีเด่นและนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ 772 คนว่า วันนี้เราต้องระดมสรรพกำลังดูแลการศึกษาประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิรูปของรัฐบาลปัจจุบัน เราต้องร่วมกันปฏิรูป เริ่มจากตัวเองก่อน การปฏิรูปไม่สามารถบังคับโดยนายกฯ รัฐบาล หรือใช้ คำสั่งตามมาตรา 44 ได้ เพราะเป็นความสมัครใจจากทุกคน ตนพยายามเริ่มต้นให้ทุกอย่าง ซึ่งมีเวลาอยู่ปีครึ่ง จะทำทุกอย่างให้เป็นผลสัมฤทธิ์ให้ได้
    พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายเรื่องที่รัฐบาลขับเคลื่อนเป็นการวางพื้นฐานในระยะยาว สิ่งที่ทำทุกอย่างต้องมีความขัดแย้ง เพราะประเทศไทยไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง ความแตกต่าง ถือเป็นกับดักตัวเองอย่างถาวร อย่าแก้ทุกปัญหาที่ปลายเหตุ ต้องแก้จากต้นเหตุ เริ่มจากตัวเองต้องร่วมมือรัฐบาล อย่างงบรักษาพยาบาล บัตรทอง 30 บาท รัฐบาลต้องทำให้อยู่แล้ว แต่ปัญหาคืองบประมาณ มีจำกัด แต่ทุกคนช่วยได้ ไม่ถึงขั้นต้องสนับสนุนเงิน เพียงแต่ให้ทุกคนรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง ไม่ต้องไปพบแพทย์

ย้ำอย่าละเมิดสิทธิคนอื่น
     "สิ่งที่ทำให้โลกมีความเท่าเทียมได้คือกฎหมาย ทุกคนจำเป็นต้องเคารพกฎหมาย ถ้าทุกอย่างเดินหน้าไปตามปกติ การกระทบกระทั่ง ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับ เจ้าหน้าที่จะลดลง เรื่องทุจริตก็ทำไม่ได้ อย่าไปคิดหรือโทษว่ากฎหมายแรงหรืออ่อนไป วันนี้รัฐบาลออกกฎหมายเรื่องขับขี่จักรยาน ยนต์ แต่ยังตายเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ยึดรถก็ยังตายเท่าเดิม สรุปต้องปฏิรูปตัวเอง ไม่มีกฎหมายแรงกว่านี้ เหลืออย่างเดียวคือเอาศพไปขังด้วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ทำอะไรอย่าไปละเมิดสิทธิคนอื่น ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ ยืนยันว่าทุกคนที่ไม่ได้มีความผิด มีสิทธิเสรีภาพ 100% จะไปไหนมาไหนก็ได้ พูดจาอะไรก็ได้ แต่อะไรที่สร้างความขัดแย้ง ต่อต้านการทำงานของรัฐบาล มีกฎหมายเขียนไว้แล้ว" นายกฯกล่าว
     พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เพราะเรามีสติปัญญา เราอย่าทำตัวเหมือนปลาทองที่มีสมองเล็กนิดเดียว มีความจำไม่ถึงวินาที ไม่ต้องคิดอะไร หิวก็กิน ว่ายน้ำ อ้าปาก ปล่อยหวอด กินอาหาร ปล่อยอึออกมา ทั้งชีวิตมีแค่นี้ แต่เราต้องทำให้ได้มากกว่าปลาทองหมื่นเท่า ทั้งภาระความรับผิดชอบ หน้าที่ และสำคัญที่สุดคือภารกิจต่อประเทศ รัฐบาลกำลังทำเพื่ออนาคต ปฏิรูปประเทศระยะที่ 1 ถึงเดือนก.ค.2560 ถ้ามีเลือกตั้งก็ ไปเลือกตั้ง หลังจากนั้นเป็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ 20 ปี วันนี้สมองตนใช้เยอะมาก จนเกือบเป็นสมองปลาทองแล้วใช้มาก ทั้งปฏิรูป เดินหน้าประเทศ ลดขัดแย้ง บริหารอีก 20 กระทรวง ข้าราชการอีก 2 ล้านคน เราต้องทำใหม่ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นประเทศจะยืนอยู่ที่เดิม วันหน้าเราไม่ทัดเทียมกับประเทศอื่น

ลั่นเป็นนายกฯไม่เคยโกหก
      นายกฯ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนช่วยกันคืนความสุขให้ประเทศไทยร่วมกับตน ซึ่งตนและรัฐบาลไม่สามารถทำคนเดียวได้ ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าก็ทำไม่ได้ เราต้องเชื่อมั่นกฎหมายเพราะถ้าไม่เชื่อการพิจารณาของศาลเฉพาะคดีนี้มันไปไม่ได้ ศาลก็ล้มเหลว ข้าราชการตำรวจดีมีเยอะกว่าไม่ดี แต่อาจมีบางคนไม่ดีบ้าง ซึ่งเราต้องปฏิรูปให้ได้ มันมีคนไม่ดีทุกที่ ทำอย่างไรให้คนไม่ดีลดลง หรือไม่ไปสร้างความเดือดร้อนคนอื่น ตั้งแต่ตนเข้ามาเป็นนายกฯไม่เคยโกหกคน เพราะคำพูดเป็นนายตัวเอง จำคำพูดได้ทุกอัน แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง เพราะตนทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนอยากได้ทั้งหมด แต่พอให้เข้ามาอยู่ในระบบก็ไม่เอา ทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยกฎหมาย รัฐบาลนี้พยายามใช้กฎหมายให้น้อยที่สุด เพราะไม่อยากเห็นคนทำผิด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้โอวาท นายกฯมอบกระเช้าของที่ระลึกแก่ตัวแทนเด็กและเยาวชน และถ่ายรูปร่วมกัน พร้อมเดินดูของขวัญต่างๆ ที่เด็กจากโรงเรียนต่างๆ ส่งมาให้เนื่องในโอกาสปีใหม่ ส่วนใหญ่เป็นรูปภาพที่เด็กๆ วาดภาพเหมือนนายกฯ ในอิริยาบถต่างๆ จากนั้นนายกฯ เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า โดยตรงจุดทางเชื่อมได้มีผู้ปกครองและเด็กๆ ยืนรอจำนวนมากเพื่อขอถ่ายรูปร่วมกับนายกฯไว้เป็นที่ระลึก และให้กำลังใจนายกฯในการทำงาน

ยันไม่ใช้ม.44 สอบไฟกทม.
     พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กรณีมีข้อเสนอให้ใช้อำนาจมาตรา 44 เร่งรัดให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณโครงการประดับไฟตกแต่งที่ลานคนเมือง 5 ล้านดวง มูลค่า 39.5 ล้านบาทของกรุงเทพมหานคร(กทม.)ว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แล้วจะให้ใช้มาตรา 44 ไปทำอะไร
     ผู้สื่อข่าวระบุว่าเพื่อเข้าไปตรวจสอบและแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "สื่อก็เป็นอย่างนี้ อะไรที่กระแสสังคมต้องการให้เร็วก็มาบอกให้ผมใช้อำนาจ แต่ อันไหนที่ควรจะเร็ว กลับบอกว่าไม่ต้องใช้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ไอ้เรื่องแบบนี้เงินจำนวนเท่าไร 39.5 ล้านบาทใช่หรือไม่ พวกคุณอย่าทำให้เป็นประเด็นการเมือง การเมืองมันแอบอยู่ข้างหลังอยู่ ก็สอบต่อไป"

แหย่มีการเมืองแอบข้างหลัง
     ต่อข้อถามว่า ที่นายกฯระบุมีการเมือง อยู่ข้างหลัง หมายความว่ามีความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับกทม.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าไม่รู้จะแสดงว่าอย่างไร สื่อเป็นผู้เขียนกันมาเอง จะมาถามอะไรตน จะให้ตนไปทะเลาะกับพรรคการเมืองหรืออย่างไร
    ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯพูดเองว่ามีการเมืองแอบอยู่ข้างหลัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าก็ไม่รู้ สื่อเป็นคนเขียนกันออกมาใช่หรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์ของพวกท่าน ตนอ่านจากสื่อแล้วก็ตอบตามที่สื่อเขียน ตนไม่รู้อะไรทั้งนั้น เมื่อถามว่ามีการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงนี้บ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรเลยมั้ง
     ที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) หรือสทป. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพียงสั้นๆ ว่าเตรียมประสานกองทัพบกสร้างอุทยานราชภักดิ์ให้เสร็จทั้งหมดเร็วๆ นี้ แต่ส่วนเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องตนไม่ขอชี้แจงเพิ่มเติมแล้ว

'มาร์ค'เร่งหาวิธีแก้ปัญหา
     นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อกล่าวหาความไม่โปร่งใสในการติดตั้งไฟประดับที่ลานคนเมืองของกทม.ว่า ขณะนี้นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฉะนั้นคงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านี้ที่จะตรวจสอบต่อไป ส่วนภาพที่ออกมาอาจสะท้อนถึงความแตกแยกในพรรคนั้น พวกเราไม่มีใครพอใจกับสภาพที่เกิดขึ้น เพียงผู้บริหารกทม.มาโดยการเลือกตั้งลงสมัครในนามพรรค ซึ่งคนของพรรคก็มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบ ตนก็พยายามหาวิธีประสานงานเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน หรือเอาข้อมูลต่างๆ มาช่วยกันดู แต่ไม่สามารถสื่อสารกับกทม.ได้
     "เราไม่อยากให้สภาพนี้ยืดเยื้อ ผมต้องการให้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ จึงเสนอคสช.ขอเปิดประชุมพรรค เพื่อพิจารณาควบคู่กับปัญหาอื่นๆ ที่พรรคประสบอยู่ ไม่ว่าจะถูกห้ามรับบริจาคเงิน หรือห้ามอะไรต่างๆ แต่ นายกฯ ตอบมาว่าไม่ให้ประชุม ผมก็ต้องหาวิธีอื่นที่จะแก้ไขหรือจัดการกับปัญหานี้ต่อไป โดยไม่ได้นิ่งนอนใจ" นายอภิสิทธิ์กล่าว

เซ็ง'ชายหมู'ไม่รับนัด
     นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากมีการประชุมพรรคจะทำให้งานง่ายขึ้น จะดำเนินการกับสมาชิกพรรคหรือเชิญฝ่ายต่างๆ เข้ามาให้ข้อมูล หากไม่ได้รับความร่วมมือก็จะดำเนินการทางวินัย ซึ่งทำได้ทั้งหมด แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการอย่างเป็นทางการได้ จะทำให้กระบวนการของพรรคตามข้อบังคับเดินไม่ได้ เมื่อคสช.ไม่อนุญาต จึงต้องปรึกษากันภายในอย่างไม่เป็นทางการเท่าที่จะทำได้ จึงอยากให้คสช.ลองคิดดูว่าจริงๆ แล้วต้อง การพรรคแบบไหน ถ้าต้องการพรรคดำเนินการเป็นระบบได้ แต่ไม่เปิดให้ทำจะเป็นผลดีหรือไม่ ยืนยันว่าพรรคที่อยากจะป่วน คงไม่ได้มาผูกพันกับเรื่องประชุม หรือไม่ประชุม หากใครเหลวไหล คสช.ก็มีอำนาจอื่นจัดการอยู่แล้ว
     ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาได้เรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ต้องการให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน แต่ตนได้เชิญนายวิลาศ มาพูดคุยว่าปัญหาคืออะไร แล้วจึงนัดม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. เพื่อสื่อสารและร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่บังเอิญผู้ว่าฯกทม. ไม่รับนัด ตนจึงต้องหาวิธีอื่นต่อไป ยืนยันว่าพรรคไม่ได้เพิกเฉย เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องรับผิดชอบกับงานที่กทม.ทำอยู่

ลั่น'เทือก'ไม่ก้าวก่ายปชป.
     เมื่อถามถึงบทบาทของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ในพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายสุเทพลาออกจากสมาชิกพรรคไปแล้ว และประกาศชัดเจนถึงแนวทางการทำงาน ตนพบกับนายสุเทพเป็นครั้งคราว ไม่ได้บ่อยนัก นายสุเทพพูดเสมอว่าอยากเห็นพรรคเข้มแข็งมากขึ้น แต่คงไม่มายุ่งเกี่ยว ก้าวก่ายเรื่องการบริหารจัดการภายในพรรค ส่วนที่วิเคราะห์ ว่านายสุเทพ สามารถชี้ว่าจะให้ใครเป็นหัวหน้าพรรคได้นั้น ก็วิเคราะห์กันไป ตนได้พูดคุยกับนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนแล้ว ทำไมตนต้องไปฟังจากคนอื่นด้วย


ร้องทุกข์ - นายสมพร ใช้บางยาง อดีตบอร์ดสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล กรณีหัวหน้าคสช.ใช้ ม.44 สั่งปลดจากบอร์ดโดยไม่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 7 ม.ค.

      นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงอดีตส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย แจกปฏิทินปีใหม่ที่มีรูปคู่ นายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า ที่บอกว่าต้องมีการระงับยับยั้งนั้น คงไม่ใช่เรื่องแจกปฏิทิน แต่เป็นเรื่องการทำกิจกรรมทางการเมือง แต่ประเด็นว่าผิดหรือไม่ผิดนั้น น่าจะอยู่ที่ตัวกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง ถ้าทำโดยไม่กระทบความมั่นคงก็ทำได้ ซึ่งการแจกปฏิทินเท่าที่ทราบก็แจกไปเยอะแล้ว แต่ที่เกิดเรื่องเพราะมีกิจกรรมขึ้นรถแห่จึงถูกระงับ อย่าไปสับสนว่าแจกปฏิทินได้หรือไม่ได้ ซึ่งปฏิทินที่มีรูปตนก็มี ให้คนมา สวัสดีปีใหม่ก็ไม่มีปัญหา แค่อย่าทำเป็นกิจกรรมที่เหมือนเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง

'วิษณุ'ลั่นปรองดองอยู่ที่ใจ
     ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งคณะทำงานสร้างความปรองดองว่า เรื่องนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และนายกฯ ยังไม่ได้บอกอะไร เมื่อถามว่าได้คุยกับนายมีชัยในเรื่องนี้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนเจอนายมีชัยเมื่อคืนวันที่ 6 ม.ค. แต่ยังไม่มีโอกาสคุยเรื่องนี้เพราะคุยเรื่องอื่น ต้องรอฟังนโยบายจากนายกฯ ก่อน
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านั้นระบุว่าไม่สามารถเขียนกฎหมายให้คนรักกันได้ นายวิษณุกล่าวว่า อย่าพูดอย่างนั้น ตนตอบในหลักการกว้างๆ เพราะสื่อถามว่าระหว่างใช้มาตรา 44 ไปออกกฎหมาย กับเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญอันไหนดีกว่ากัน ก็ตอบว่าหากเขียนในรัฐธรรมนูญจะพะรุงพะรัง จะแก้ก็แก้ไม่ได้ แต่ถ้าเขียนในมาตรา 44 อำนาจนี้ไม่ยั่งยืน พอถึงเวลาเลือกตั้ง การปรองดองยังไม่เสร็จแต่คสช.ไปแล้ว มันก็ไม่มีเครื่องมือแล้ว ดังนั้น การออกเป็นพ.ร.บ.จึงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด
     "การปรองดองเป็นเรื่องของใจ สำคัญที่ใจ ถ้าใจคิดจะปรองดองไม่ต้องมีอะไรมารองรับก็ได้ เว้นแต่ในการปรองดองนั้น มีคนเสนอว่าต้องทำอย่างอื่น เช่น การอภัยโทษ นิรโทษ แบบนี้ต้องมีกฎหมาย แต่อาจจะมีวิธีปรองดองโดยไม่ต้องยุ่งกับอภัยโทษก็ได้ ซึ่งการอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรมจะปรองดองได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้" นายวิษณุกล่าว

'สมบัติ'ยันไม่ต้องใช้ม.44
      ด้านนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจมาตรา 44 แค่พล.อ.ประยุทธ์สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งมาแก้ปัญหาโดยไม่ต้องรอ เพราะที่ผ่านมาแกนนำกลุ่มการเมืองปลุกระดมให้ประชาชนมาทำร้ายและเป็นศัตรูกัน ชาวบ้านตกอยู่ในสถานะเป็นเหยื่อ รัฐบาลจึงควรแก้ปัญหาตรงนี้ โดยใช้กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเดียว นิรโทษฯ เฉพาะคดีที่ไม่เกี่ยวกับคดีเผาบ้านเผาเมือง คดีอาญา และคดีฆ่าคนตายหรือทำทุจริต
     นายสมบัติ กล่าวว่า จะปรองดองได้ต้องแก้ที่กลุ่มการเมือง ความคิดพวกเขาคงเปลี่ยนยาก จึงควรเขียนให้ชัดในรัฐธรรมนูญว่าต่อไปนี้การกระทำใดๆ ก่อให้เกิดการปฏิปักษ์ต่อกันในหมู่ประชาชน เป็นการกระทำต้องห้าม ผู้ใดละเมิดมีความผิดตามกฎหมาย แต่ถ้าพรรคหรือกลุ่มการเมืองทำให้แตกสามัคคีต่อคนในชาติ ให้มีโทษถูกยุบพรรค หรือยุบกลุ่มการเมืองนั้นๆ หมายความว่าต่อไปนี้จะชุมนุมได้ แต่ห้ามแกนนำปลุกระดมให้เกิดการปฏิปักษ์ในหมู่ประชาชน เช่น ปลุกระดมให้ประชาชนใส่เสื้อคนละสีฆ่ากันเอง

'ปึ้ง'จี้เริ่มที่นายกฯก่อน
       นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์อยากให้เกิดความปรองดองขึ้นในสังคมไทยนั้น เสนอว่าควรจะเริ่มต้นจากตัวพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนว่าเวลาจะพูดหรือให้สัมภาษณ์ ควรระมัด ระวังคำพูด ไม่ใช้อารมณ์จนดูรุนแรงเกินกว่าเหตุ นับว่าโชคดีที่นายกฯ บอกว่าปีนี้จะพูดให้น้อยลง อยากขอร้องว่าควรคิดก่อนพูด ไม่ควรไปกระทบความรู้สึกของคนมากเกินไป และอยากให้กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับว่าให้เลิกนิสัยทำงานเอาใจนายได้แล้ว
      "ยิ่งถ้าอยากเห็นความปรองดอง ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายให้เท่าเทียมกัน ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกปฏิบัติ เชื่อว่าความปรองดองจะเกิดขึ้น และรัฐบาลควรเลิกทำเรื่องหยุมหยิมจนเกินไป เช่น ห้ามแจกปฏิทิน ห้ามลงพื้นที่ไปร่วมทำบุญของน.ส.ยิ่งลักษณ์ และควรสั่งการให้ทีมโฆษกรัฐบาลเลิกปฏิบัติการไอโอให้น้อยๆ ลงบ้าง เพราะบางเรื่องทำแล้วยิ่งสร้างความแตกแยกขึ้น และรัฐมนตรีบางคนไม่ควรวิจารณ์ โชว์วิสัยทัศน์มากเกินกว่าเหตุ" นายสุรพงษ์กล่าว

สั่ง 5 สายทำตรงไปตรงมา
    นายสุรพงษ์ กล่าวว่า อยากให้พล.อ. ประยุทธ์เรียกประชุมแม่น้ำ 5 สาย และสั่งการให้ทุกสายทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ยึดมั่นความเป็นธรรมและเป็นกลาง ทำอะไรให้คำนึงถึงความรู้สึกและให้เกียรติประชาชนทุกระดับ ก็จะมีทางออกให้ประเทศได้ สิ่งสุดท้ายคือการปฏิรูปครั้งนี้ที่ควรจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญคือต้องไม่ให้มีปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะผลเสียมีมากกว่าผลดี
     "ไม่อยากเห็นเด็กๆ มาถามพล.อ.ประยุทธ์ในวันเด็กปีนี้ว่า ลุงตู่ได้เป็นนายกฯ โดยการใช้กำลังทหารออกมาปฏิวัติใช่ไหม ทำไมเวลาหนูเรียนหนังสือคุณครูบอกว่าประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย" นาย สุรพงษ์กล่าว
    นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ว่าจะใส่เรื่องนี้ในรัฐธรรมนูญ ใส่ในกฎหมายลูก หรือจะใช้มาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการก็เท่านั้น ปัญหาแท้จริงอยู่ที่รัฐบาลมีความจริงจังและจริงใจจะทำให้เกิดการปรองดองขึ้นหรือไม่ หากตั้งกรรมการแต่ไม่จริงใจ ก็เป็นเพียงแผ่นกระดาษเหมือนในอดีต ไม่มีผลในทางปฏิบัติ ดังนั้น ความจริงใจเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำเรื่องปรองดอง ขณะเดียวกันความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ทุกฝ่ายต้องยอมรับ ที่สำคัญต้องเป็นธรรม หากไม่เป็นธรรม ความปรองดองก็ไม่เกิด

นปช.แจกปฏิทินที่เชียงใหม่
     เมื่อเวลา 12.10 น. ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว 3 ตุ๋น หมู่7 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ลุงยิ้ม หรือนายพฤกษ์ พฤกษ์สุนันท์ ตาสว่าง อายุ 54 ปี แกนนำนปช. ได้มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวประมาณ 20 นาที ก่อนนำปฏิทินที่มีภาพนายทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์มามอบให้กับคนที่มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวประมาณ 8 คน และมอบให้ทางร้านไว้ส่วนหนึ่ง พร้อมบันทึกภาพหมู่และภาพเดี่ยวร่วมกับผู้ที่ได้รับมอบ ก่อนจะเดินทางกลับโดยรถยนต์ส่วนตัว พร้อมกับ ผู้หญิง 1 คนที่มาด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของทหารและตำรวจที่ไปสังเกตการณ์ ได้บันทึกภาพไว้ด้วย แต่บรรยากาศไม่ได้คึกคักและไม่ได้รับความสนใจจากชาวเชียงใหม่เท่าใดนัก
      นายวรวุฒิ รุจนาภินันท์ หรือแดงสองแคว จากกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยว่า การแจกปฏิทินของลุงยิ้ม ตาสว่างนั้น ถือเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ หากไปแจกตามที่สาธารณะให้กับประชาชนทั่วไป ก็ไม่ผิด แต่หากเอาไปให้หน่วยงานราชการที่เขากำลังทำงานหรือประชุมอยู่ ถือว่าไม่ถูกกาลเทศะ ควรดูสถานที่และวันเวลาที่เหมาะสมด้วย แต่เท่าที่ดูคนเชียงใหม่ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องปฏิทิน เพราะทุกคนรักอยู่ในใจ ไม่จำเป็นต้องมารับปฏิทิน

เหวงอัด'มีชัย-วิษณุ'ป้องมาร์ค
     นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวถึงกรณีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครส.ส.ได้ ว่านายมีชัยและนายวิษณุถึงขั้นลงทุนทำลายตนเองเพื่อปกป้องนายอภิสิทธิ์ เพราะรัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับจนถึงปี 2550 กำหนดคุณสมบัติของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครส.ส. ไว้ตรงกัน โดยเฉพาะมาตรา 102(6) ของฉบับปี 2550 ที่ระบุผู้ที่เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
     นพ.เหวง กล่าวว่า เมื่อพิจารณาประกอบกับคำพิพากษาของศาลแพ่งที่ยกฟ้องนายอภิสิทธิ์ฟ้องพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เรื่องขอให้ถอนคำสั่งให้ปลดออกจากราชการเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2558 ที่พิพากษาไว้ชัดเจนว่าเหตุที่จำเลยปลดโจทก์ออกจากราชการ เนื่องจากโจทก์ขาดการตรวจเลือกทหารแล้วนำใบสำคัญ(ใบสด.9) แทนฉบับที่ชำรุดสูญหายอันเป็นเท็จมาแสดงต่อสัสดี นั่นคือนายอภิสิทธิ์เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการชัดเจน คนไทยสมควรจะร่วมกันพิจารณาถอดสถานภาพความเป็นนักกฎหมาย นักนิติศาสตร์ของนายมีชัยและนายวิษณุแล้ว

กรธ.โต้แทน-เปล่าอุ้ม
      ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ รองประธาน กรธ.คนที่ 2 กล่าวว่า ที่ข่าวออกมาทำนองพรรคเพื่อไทยวิจารณ์นายมีชัยอุ้มนายอภิสิทธิ์นั้น ตนอยู่ในที่ประชุมกรธ.มาตลอด ยืนยันไม่มีแน่นอน เรื่องแนวคิดจะร่างรัฐธรรมนูญอุ้มใคร เข้าข้างใคร แต่วัตถุประสงค์หลัก คือร่างรัฐธรรมนูญไม่ให้คนทุจริตเข้ามาในการเมืองได้ ตนอยู่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มารู้ดี เห็นมาตลอด ควรจะหมดสมัยเสียทีสำหรับนักการเมืองนิสัยเดิม ที่ซื้อเสียงเข้ามาโกงกินถอนทุน ยืนยันอีกครั้งว่า นายมีชัยไม่ได้มีธงเขียนรัฐธรรมนูญปกป้องใครแน่นอน บรรดาพรรคการเมืองอย่ากังวล


ปฏิทินฮิต - แกนนำเสื้อแดงภาคเหนือ นำปฏิทินปีใหม่ภาพทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 อดีตนายกฯ มอบให้กับประชาชนที่มากินก๋วยเตี๋ยวร้าน 3 ตุ๋น อ.สันทราย จ.เชียง ใหม่ โดยมีเจ้าหน้าที่ มาสังเกตการณ์และถ่ายภาพไว้ เมื่อ 7 ม.ค.

      นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผู้ทรงคุณวุฒิกกต. กล่าวถึงกรณีคุณสมบัติของนายอภิสทธิ์จะสามารถลงสมัครส.ส.ได้หรือไม่ว่า ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะจะต้องรอดูการร่างรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าจะกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครส.ส.ไว้อย่างไร ส่วนคำพิพากษาศาลแพ่งจะมีผลต่อคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าพรรคของนายอภิสิทธิ์ตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่หรือไม่ ขณะนี้ทางด้านกิจการพรรคการเมืองของสำนักงานกกต.กำลังพิจารณาในข้อกฎหมายอยู่จึงเร็วไปที่จะตอบ

ชงสนช.ออกกม.คุมประชามติ
    นายธนิศร์ แถลงผลการประชุมกกต.ว่า ที่ประชุมกกต.มีมติเห็นชอบร่างประกาศหลักเกณฑ์วิธีการออกเสียงประชามติและจะเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในสัปดาห์หน้า โดยมีเนื้อหาสำคัญ 2 ประการ คือ 1.หลักการเผยแพร่ จัดพิมพ์ การแสดงความคิดเห็นของฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบ การจัดสรรเวลาออกอากาศ ซึ่งการจัดพิมพ์บัตรออกเสียงร่างรัฐธรรมนูญ จะใช้วิธีประกวดราคาตามปกติ บริษัทไปรษณีย์จะเป็นผู้จัดส่งไปยังผู้มีสิทธิออกเสียง 19 ล้านครัวเรือน 2.รูปแบบหลักเกณฑ์และวิธีการออกเสียงประชามติ จะคล้ายกับการเลือกตั้งส.ว. ซึ่งใช้จังหวัดเป็นเขตออกเสียงตามปกติ
     นายธนิศร์กล่าวว่า กกต.มีข้อกังวล เนื่อง จากรัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่ได้กำหนดบทลงโทษกับผู้ที่กระทำผิดในการออกเสียงประชามติ ทั้งฉีกบัตร ขัดขวางการออกเสียงประชามติ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนก่อนวันออกเสียง และการซื้อเสียง จึงจะทำเป็นข้อสังเกตไปยังสนช.ว่าอาจดำเนินการเช่นเดียวกับการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่รัฐบาลออกพ.ร.บ.รักษาความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติได้ รวมถึงข้อสังเกตอื่นที่อาจเป็นปัญหาเช่น มาตรา 37 วรรค 7 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่กำหนดเกณฑ์ออกเสียงประชามติว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติต้องได้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด

29 ม.ค.โชว์ร่างรธน.ฉบับแรก
     นายธนิศร์ กล่าวว่า กกต.เตรียมการประชามติ โดยกำหนดเส้นทางสู่ประชามติ (R2R ROAD TO REFERENDUM) ตั้งแต่มี.ค.-ก.ค. เริ่มจากโรดแม็ปของกรธ. ที่จะเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกในวันที่ 29 ม.ค. จากนั้นจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญ คาดว่าร่างรัฐธรรมนูญจะเสร็จสมบูรณ์วันที่ 29 มี.ค. ก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 30 มี.ค. เพื่อพิจารณา ซึ่งคาดว่าครม.จะส่งมาให้กกต.ภายใน 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนเม.ย.
    นายธนิศร์ กล่าวว่า ถ้าเป็นไปตามแผน กกต.คาดว่าภายในวันที่ 8 เม.ย. จะเริ่มพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ และเอกสารสรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญตามที่กรธ.สรุปส่งมา ซึ่งการจัดพิมพ์จะทำควบคู่กับการจัดส่งร่างไปยังครัวเรือนของผู้มีสิทธิออกเสียง น่าจะเริ่มจัดส่งได้ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.เป็นต้นไป และรัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดว่าต้องจัดส่งให้ครัวเรือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จึงจะประกาศวันออกเสียงประชามติได้ จึงเชื่อว่าจะส่งเสร็จภายในวันที่ 20 มิ.ย. รวมเวลาการพิมพ์และจัดส่ง 45 วัน

กำหนดวันออกเสียง 31 ก.ค.
    นายธนิศร์ กล่าวว่า คาดว่าวันที่ 22 มิ.ย. กกต.จะประกาศวันออกเสียงประชามติได้ ซึ่งเบื้องต้นกำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันที่ 31 ก.ค. แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การเผยแพร่ขั้นตอนการออกเสียงจะดำเนินการในช่วงเดือนพ.ค.เป็นต้นไป จนถึงวันก่อนออกเสียงประชามติ ส่วนงบประมาณจัดออกเสียงประชามติ อยู่ระหว่างประสานกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานราชการที่จะต้องสนับสนุนการจัดการออกเสียง รวมทั้งต้องรอดูว่า สนช.จะเสนอประเด็นให้รัฐบาลทำประชามติเพิ่มเติมหรือไม่ จึงยังไม่สามารถกำหนดได้
      เวลา 15.30 น. ที่รัฐสภา นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรธ. แถลงว่า กรธ.จะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญคร่าวๆ เสร็จสิ้นในวันที่ 8 ม.ค. ก่อนจะไปพิจารณาส่วนที่เหลือต่อในวันที่ 11-17 ม.ค. ที่โรงแรมเลควิว รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟคลับ ชะอำ จ.เพชรบุรี ในส่วนบทเฉพาะกาล ซึ่งจะพิจารณาในเรื่องที่มาส.ว.และส.ส.นั้น กรธ.ยังยืนยันตามหลักการในการเลือกตั้งครั้งแรก โดยส.ว.จะเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยประชาชน ขณะที่ส.ส.จะเลือกตั้งใช้การกาบัตรใบเดียวได้ถึง 3 อย่าง ทั้งส.ส.เขต ส.ส.บัญชีรายชื่อและนายกรัฐมนตรี ส่วนคสช.จะร้องขออะไรมาเป็นพิเศษหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคตแต่ขณะนี้ยังไม่มี

สปท.ถกด่วนชงปฏิรูปในรธน.
    เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เป็นประธานในที่ประชุม มีวาระเร่งด่วนเพื่อหารือการเสนอประเด็นปฏิรูปที่ควรบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. ส่งหนังสือมายังประธานสปท.
     ร.อ.ทินพันธุ์แจ้งว่า ให้สมาชิกอภิปรายเห็นชอบข้อเสนอตามหลัก 4 ข้อ ที่นำมาจากบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิ การ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในหมวด 2 การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมและปรองดอง ส่วนที่ 2 การปฏิรูปด้านต่างๆ ได้แก่ 1.ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การบริหารราชการแผ่นดิน การบริหารท้องถิ่น และการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ 2.ปฏิรูปการศึกษา สาธารณสุข สังคม ศิลปวัฒนธรรม และการคุ้มครองผู้บริโภค 3.ปฏิรูปเศรษฐกิจ และ 4.ปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และ การผังเมือง ปฏิรูปด้านพลังงานและด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

รุมค้านยึดข้อเสนอสปช.
      จากนั้นสมาชิกสปท. อาทิ นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายคำนูญ สิทธิสมาน และนายนิกร จำนง อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการนำข้อเสนอ ของอดีตสปช.ทั้ง 4 ข้อ ที่ถูกคว่ำร่างไปแล้วมาเป็นหลักเกณฑ์ และไม่ควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงไม่เห็นด้วยที่จะนำ 4 ข้อมาเป็น กรอบ เพราะหากใช้ข้อเสนอเดิม อาจเป็นการข้ามศักยภาพของกมธ.สปท.ทั้ง 12 คณะ
     นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสปท. ชี้แจงว่า สปท.มีหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญน้อยมาก ถ้าเทียบกับหน้าที่ของอดีตสปช. ซึ่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวระบุให้สปท. หยิบยกเรื่องการปฏิรูปเร่งด่วนมาขับเคลื่อนให้สำเร็จ จึงขอให้สมาชิกอย่าสับสน ซึ่งการที่สปช.ไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ เพราะมีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก จึงทำให้สปช.และกมธ.ยกร่างฯ ชุดนายบวรศักดิ์ ตกตายเป็นแฝดอินจัน และเมื่อแก้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ก็แต่งตั้งสปท. จึงตัดหน้าที่เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างอยู่ เป็นการออกแบบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ ดังกล่าวอีก

'วันชัย'ซัด'จ้อน'ครอบงำ
      ด้านนายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ สปท. กล่าวแย้งว่า กรณีดังกล่าว นายอลงกรณ์พูดมากและเยอะเกินไป ถ้าต้องการพูดมากขนาดนี้ ให้ลงจากบัลลังก์มาอยู่ด้วยกันข้างล่าง ไม่ต้องขึ้นนั่งเป็นรองประธานก็ได้ เพราะการเป็นรองประธาน ไม่ได้หมายความว่าจะมาพูดครอบงำให้สมาชิกเดินตามสิ่งที่พูดได้ทั้งหมด เราทุกคนมีความรู้เท่ากัน
    หลังจากอภิปรายหาข้อสรุปนานกว่า 3 ชั่วโมง ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าจะเปิดให้สมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวางโดยไม่มีกรอบหรือหลักเกณฑ์ แต่ต้องอยู่ในสาระสำคัญของการปฏิรูปประเทศ
      จากนั้นเข้าสู่การอภิปรายเพื่อส่งข้อเสนอประเด็นปฏิรูปไปยังกรธ. โดยนายคำนูณอภิปรายว่า การปฏิรูปจะสำเร็จต้องมีกลไกพิเศษแยกออกมาจากระบบการบริหาร อาจบรรจุในรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรม นูญ หรือกฎหมายลูก โดยจะต้องไม่เปลี่ยน แปลงสาระสำคัญ และกรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับองค์กรที่จะทำเรื่องปฏิรูปในอนาคต เราต้องมีกลไกแปลความขัดแย้งนี้ ซึ่งอาจเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ หรือทำประชามติเพื่อให้ข้อเสนอปฏิรูปนั้นสำเร็จ แต่การออกแบบกลไกพิเศษนี้ จะต้องไม่ครอบงำการบริหารปกติของรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้ง และไม่เกี่ยวข้องกับการระงับยับยั้งวิกฤตประเทศในอนาคต จะเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปเท่านั้น

มอบการบ้านกมธ.12 คณะ
    ด้านนายเสรีกล่าวว่า ที่ผ่านมากมธ.การเมืองฯ นำข้อเสนอการปฏิรูปด้านการเมืองส่งให้กรธ.แล้ว แต่ในนามส่วนตัว วันนี้ถ้าเราจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอเพื่อเป็นมรรคผล ตามที่ประธานกรธ.ทำหนังสือขอความคิดเห็นจากสปท.เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ อยากให้ผ่านความเห็นสภาแห่งนี้ทั้งสภา โดยผ่านประธานสภาแบบเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัว และน่าจะนำข้อเสนอของกมธ.ทั้ง 12 คณะ ส่งให้กรธ.ด้วย
     จากนั้น นายอลงกรณ์แจ้งที่ประชุมว่า ขอมอบหน้าที่ให้กมธ.ทั้ง 12 คณะ ไปปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาตัวร่างข้อเสนอประเด็นปฏิรูปเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ที่สมาชิกได้อภิปรายตามความเหมาะสม และให้นำมาส่งแก่ร.อ.ทินพันธุ์ ภายในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 11 ม.ค.นี้ เพื่อนำข้อสรุปส่งให้กรธ. ต่อไป จากนั้นนายอลงกรณ์สั่งปิดประชุมเวลา 13.32 น.

บอร์ดสสส.นัดประชุม 15 ม.ค.
      กรณีคสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออก คำสั่งให้กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) 7 คน ประกอบด้วย นพ.วิชัย โชควิวัฒน นายสงกรานต์ ภาคโชคดี นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นายสมพร ใช้บางยาง รศ.ประภาภัทร นิยม และนายวิเชียร พงศธร พ้นจากบอร์ด สสส.
      ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ รักษาการผู้จัด การสสส. ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้เข้าพบพล.อ. ประยุทธ์ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ประธานบอร์ดสสส. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ(คตร.) เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยนายกฯชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายและไม่เกี่ยวว่ามีความผิด แต่ทำเพื่อให้เกิดการตรวจสอบ ขณะนี้องค์ประชุมของบอร์ดยังถือว่าครบตามระเบียบ สามารถจัดประชุมบอร์ดได้ ซึ่งจะเร่งรัดกระบวนการสรรหาตามระเบียบ หากไม่มีอะไรเปลี่ยน แปลงจะประชุมบอร์ดในวันที่ 15 ม.ค.นี้
     "คตร.ยังแจ้งว่ากระบวนการตรวจสอบสสส.ทำครบถ้วนแล้ว เห็นสมควรให้ยกเลิกมาตรการตรวจสอบการเบิกจ่ายโครงการต่างๆ ของสสส.วงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามขั้นตอนปกติ ซึ่งอยู่ระหว่างการทำหนังสือส่งประธานบอร์ดและคตร.ต่อไป" ทพ.สุปรีดากล่าว

'สมพร'ยื่นหนังสือร้องทุกข์
      ด้านนายสมพรกล่าวว่า ตนได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ถึงพล.อ.ประยุทธ์ ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักนายกฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและขอความเป็นธรรม ยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองว่าไม่มีการทุจริตใดๆ ตั้งแต่รับราชการ จนมาทำงานกับสสส. ซึ่งการเป็นบอร์ดสสส. ไม่ได้มีข้อห้ามไม่ให้เป็นกรรมการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และขณะที่ตนเป็นบอร์ดก็ไม่เคยพิจารณาโครงการของมูลนิธิ ส่วนที่ระบุว่ามีขบวนการล้มสสส.โดยมีบริษัทเหล้า บุหรี่อยู่เบื้องหลังนั้น ไม่ทราบเพราะไม่ได้อยู่วงในขนาดนั้น
      "การให้ผมพ้นจากกรรมการสสส. และมีการให้สัมภาษณ์ของประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) กับสื่อมวลชนว่ากรณีของสสส.มีเรื่องการทุจริตเกิดขึ้น ทำให้สังคมเข้าใจว่าการให้กรรมการ สสส.ทั้ง 7 คนพ้นจากตำแหน่งมีสาเหตุมาจากการทุจริต ทำให้ผม ครอบครัว และวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง ผมจะไม่ฟ้องร้องใดๆ แต่อยากได้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ผมเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ตลอดชีวิต มุ่งมั่นทำความดี และไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ" นายสมพรกล่าว

จี้แก้ทุกกระทรวง-อย่ามุ่งสสส.
     รศ.ประภาภัทรกล่าวว่า การเอากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกนั้น ทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่งมาตรา 44 ตนไม่กังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น เชื่อว่าต่อให้ไม่มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 คนนี้ สสส.ก็เดินหน้าต่อไปได้ตามเจตนารมณ์ และทั้ง 7 คนหลังถูกปลดยังไม่มีการพูดคุยหารือกัน
      นายสงกรานต์ กล่าวว่า ถ้า คสช.จะแก้ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องทำทุกกระทรวง โดยตรวจสอบว่ากระทรวงใดมีข้าราชการที่มีอำนาจหน้าที่ ควบคุมให้เป็นไปตามนโยบายรัฐ แต่ไปเป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐ เช่น ผู้บริหารของกระทรวงพลังงาน ไปเป็นบอร์ดของรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่ทำกำไรจากธุรกิจพลังงาน และมีผลประโยชน์มหาศาลจากการเป็นบอร์ด ซึ่งเทียบกับบอร์ดสสส.ไม่ได้เลย ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับผลกำไรของรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทด้วย เช่น มีโบนัสตามผลกำไร จึงมีผลประโยชน์ขัดกันชัดเจน ซึ่งคสช.รับทราบหรือไม่ ทำไมไม่รีบแก้ไขให้รวดเร็วเหมือนจัดการกับบอร์ด สสส. หรือมีเหตุผลอื่นที่คสช.ต้องรีบจัด การสสส.ด่วนกว่า

ประสานเสียงไม่ได้ทุจริต
      ส่วนนพ.ยงยุทธ กล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ข้อเท็จจริงคือ สสส.เข้มงวดมาก ไม่ให้อนุมัติโครงการใดๆ ที่มีความทับซ้อนเลย ตนมานั่งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดสสส.ปีกว่า ไม่เคยอนุมัติโครงการหรือมีส่วนอนุมัติโครงการใดๆ ที่ตนสังกัดอยู่ ล่าสุดบอร์ดมีมติให้แก้ระเบียบเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาจึงให้กรรมการเลือกเพียงตำแหน่งเดียวเมื่อต้องเป็นบอร์ด ซึ่งกรรมการอยู่ระหว่างทยอยลาออกจากมูลนิธิที่มีชื่ออยู่ และบางคนกำลังขอลาออกจากบอร์ดด้วยซึ่งคงไม่ต้องไปชี้แจงเพราะไม่ได้ทุจริต
      นพ.วิชัย กล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 เขียนไว้ชัดเจนในมาตรา 18 ว่า กรรมการถ้าเป็นบริษัทเอกชนหรือบุคคล มาเป็นกรรมการและรับเงินสสส.ไม่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ถ้าเป็นกรรมการสมาคม มูลนิธิสาธารณประโยชน์ ถือเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัว เงินไม่ได้เข้ากระเป๋ากรรมการ

หมอวิชัย แฉมีกระบวนการล้ม
    นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า การปลด 7 ผู้ทรงคุณวุฒิของสสส.ครั้งนี้ จะสรุปว่าเป็นการล้มสสส.ไม่ได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ต่อเนื่องมา ซึ่งกระบวนการล้มสสส.เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะกลางปีที่แล้ว ในช่วงท้ายของการเขียนร่างรัฐธรรมนูญมีการปิดห้องเขียน เร่งรัดเขียนเพิ่มมาตราหนึ่งเข้าไปโดยไม่ให้ส่งเงินภาษีร้อยละ 2 มาที่สสส.โดยตรงอีก ทำให้สสส.หมดสภาพการทำงาน เท่ากับล้ม เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้กฎหมายสสส.ไปขัดกันเอง แต่มีการต่อรอง ต่อสู้กระทั่งให้มีบทเฉพาะกาล ให้สสส.อยู่ได้ 3 ปี ทั้งนี้ในการเขียนช่วงนั้นมีบริษัทบุหรี่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคณะร่างรัฐธรรมนูญ ร่วมเดินทางไปประเทศเมียนมา แต่มีข่าวรั่วออกมาจนเกิดการต่อต้าน สู้กันจนไม่ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ มีการปรับข้อความให้สสส.ยังอยู่ได้
    นพ.วิชัย กล่าวว่า เมื่อไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ส่งคตร.กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจเข้ม ช่วงที่ตรวจสอบ สสส.ไม่มีโอกาสได้ชี้แจง แต่กลับมีข่าวว่า สสส.ทำผิด 3 เรื่อง 1.ทำนอกกรอบ 2.มีทุจริต 3.มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งสร้างความเสียหายให้สสส.ว่าเป็นองค์กรชั่วร้าย กรรมการชั่วร้าย มีการตั้งองค์กร มูลนิธิต่างๆ ขึ้นมาเพื่อรับงบประมาณจากสสส. แต่ชี้แจงกันไปแล้ว พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการ ศอตช. ก็แถลงเองว่าไม่ได้ผิดกฎหมาย สามารถทำได้ แต่ตอนนี้กลับเอาเหตุผลนี้มากล่าวหาอีก การปลดครั้งนี้ คนปลดต้องอธิบายว่ามีเหตุผลที่ถูกต้องเหมาะสม พอเพียงหรือไม่ ต้องมาดูว่าฟังขึ้นหรือไม่

เครือข่ายปชช.ขู่ก่อม็อบต้าน
      ขณะที่ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (Thai Health Promotion Movement) ออกแถลงการณ์คัดค้านคำสั่งของ คสช.ที่ปลดคณะกรรมการทั้ง 7 คนออกโดยไม่ชอบธรรม และจะดำเนินการคัดค้านการประกาศแต่งตั้งกรรมการกองทุนคณะใหม่ หากพบว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้มีอำนาจ กลุ่มทุนที่ขัดขวางการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน หรือมิได้ยึดโยงกับภาคประชาชน และวันที่ 11 ม.ค.นี้จะประชุมใหญ่ เพื่อประกาศแนวทางการเคลื่อนไหว
    นายคำรณ ชูเดชา เครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจแอลกอฮอล์ กล่าวว่า คสช.ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ในเรื่องนี้เลยเพราะปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น บอร์ดสสส.ก็แก้ไขปัญหานี้แล้ว โดยปรับปรุงระเบียบ สสส. 26 ฉบับ การใช้มาตรา 44 จึงไม่ชอบมาพากล อาจเกิดการแทรกแซงของกลุ่มธุรกิจเหล้า บุหรี่ ยา อาหาร มีผลต่อการเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 7 คนใหม่ รวมถึงผู้จัดการ สสส.ด้วย
      นายคำรณ กล่าวว่า เครือข่ายจะติดตามกระบวนการสรรหาว่าจะมีการแทรกแซง สอดไส้ หรือมีนอมินีเข้ามาจากกลุ่มธุรกิจเหล่านี้หรือไม่ โดยวันที่ 11 ม.ค. เวลา 10.00 น. ภาคประชาชนจะแถลงข่าวเรื่องนี้ว่าจะมีท่าทีเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร ทั้งการสรรหาบอร์ดใหม่ การแช่แข็งงบประมาณ และมาตรการทางภาษี ซึ่งจะเป็นท่าทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้รับทุน สสส.ทั่วประเทศ

'วิษณุ'ย้ำไม่ต่อเวลา'ปู'เพิ่มพยาน
      เมื่อวันที่ 7 ม.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิด กระทรวงการคลัง ขอเพิ่มพยานเข้าให้ถ้อยคำในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า มีการเสนอเพิ่มมาแต่จำไม่ได้ว่าขอเพิ่มกี่คน ได้ยินว่าจะเพิ่ม 18 คนก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการไม่ขยายเวลาสืบพยานในคดีดังกล่าว หลังจากครบกำหนดขยายเวลาครั้งที่ 3 ไปเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2558 เนื่องจากพยานบางคนมีเวลาว่างไม่ตรงกัน บางคนว่างเดือนก.พ. บางคนว่างเดือนเม.ย. หากขยายเวลาต่อไปอีก จะยืดยาว จึงไม่ต่อเวลาสอบสวน เพื่อให้เวลากรรมการชุดแรกได้ทำงานต่อไป ดังนั้น เรื่องจึงยังไม่ได้ส่งไปให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิด ซึ่งเป็นกรรมการชุดที่สองพิจารณา โดยบุคคลที่มีชื่อเสนอขอเป็นพยานเพิ่มเติม สามารถทำเป็นเอกสารส่งมาให้กรรมการได้
      นายวิษณุ กล่าวว่า สำหรับผลการสอบสวนของกรรมการชุดแรก ในคดีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพื่อเอาฟ้องร้องเอาผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์นั้น ได้ส่งเรื่องไปที่กรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดในทางละเมิดพิจารณาต่อไป นอกจากนั้นยังมีส่วนที่สาม ที่จะฟ้องร้องกับเอกชน ซึ่งต้องฟ้องภายในอายุความคือเดือนก.พ.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ ซึ่งการดำเนินคดีกับเอกชนนั้น ไม่ใช่การเอาผิดในทางละเมิด เพราะเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่ฟ้องคดีละเมิดธรรมดาในศาลโดยฟ้องได้ภายในอายุความ ไม่จำเป็นต้องรอคดีของนายบุญทรง เมื่อฟ้องไปแล้ว ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะรอหรือไม่เพราะบางคดีศาลก็รอเหมือนกัน

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!