WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8566 ข่าวสดรายวัน


สั่ง'อรินทราช'พร้อม จับเทือก ศาลรับฟ้อง-ลุยทันที 
กปปส.ย้ายไปหน้ายูเอ็น ศอ.รส.วอนขอ 3 ปธ.ศาล อย่าทำตามข้อเสนอสุเทพ แดงฮึ่มแจ้งจับคนชงชื่อ


เหนียวแน่น - แกนนำนปช.พร้อมมวลชนคนเสื้อแดงจำนวนหลายหมื่นคน ผนึกพลังเป็นวันที่สอง ร่วมชุมนุมเพื่อปกป้องประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้าน นายกฯ คนกลาง แน่นถนนอักษะ เมื่อ 11 พ.ค.

       'เทือก' เลิกเวทีสวนลุมฯ ย้าย ไปทำเนียบ จุดเดียวยึดตึกสันติไมตรีเป็นกองบัญชาการ ลั่นอีก ไม่ยืดเยื้อ ม้วนนี้ต้องจบ ด้าน ศอ.รส.สั่ง 'อรินทราช'เตรียมจู่โจมจับเทือก 51 กปปส. ทันทีที่ศาลรับฟ้องคดีกบฏ ก่อการร้าย ชี้จำเป็นต้องยกระดับบังคับใช้กฎหมาย ป้องกันสถานการณ์ลุกลามบานปลาย จนประชาชนลุกขึ้นมาจัดการกันเอง อาจเป็นสงครามกลางเมือง ย้ำประธานศาล องค์กรอิสระไม่มีอำนาจตั้ง นายกฯ คนกลาง ไม่มีกฎหมายรองรับ ขณะที่ นปช.ยังปักหลักถนนอักษะ 'ตู่' วอนประธานศาลฎีกาปฏิเสธเทือก แต่ถ้ามีรัฐประหาร หรือ นายกฯ เถื่อน ก็จะข้ามเจ้าพระยาไปต่อต้าน 

 

นายกฯผิดกฎหมาย 

       เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะเลขานุการศอ.รส. แถลงว่า ศอ.รส.ประกาศแถลงการณ์ฉบับที่ 7 เรื่องข้อเรียกร้องต่อกลุ่มกปปส. รวมถึงกลุ่มการเมือง และกลุ่มผู้สนับสนุนให้ยุติการกระทำผิดต่อกฎหมาย ด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และแจ้งเตือนประชาชนให้แยกตัวออกจากการชุมนุม โดยบัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับแกนนำ กปปส. ร่วมกันกระทำความผิดต่างๆ นานาอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเสียหายกับประเทศชาติบ้านเมืองตลอดมา 

      นายธาริตแถลงว่า จนในที่สุดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา อัยการมีคำสั่งฟ้องนายสุเทพ กับพวกแกนนำรวม 51 คน ในข้อหาอุกฉกรรจ์ที่สำคัญ ได้แก่ร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง ร่วมกันเป็นอั้งยี่ หรือซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ รวมทั้งหมด 10 ข้อหา และโดยที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องนายสุเทพ กับพวกในข้อหาก่อการร้ายเพิ่มเติม อันเป็นความผิดมูลฐานของความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน ศอ.รส.จึงสั่งการให้ป.ป.ง.ดำเนินคดีฐานฟอกเงิน อันจะนำไปสู่การยึดทรัพย์สินของนายสุเทพกับพวกเพิ่มเติมอีกด้วย

 

คดีอื้อ-เหตุ'เทือก'หยุดไม่ได้ 

       เลขาฯ ศอ.รส.แถลงต่อว่า นอกจากนี้ นายสุเทพยังถูกดำเนินคดีสำคัญอีกหลายคดี และล้วนเป็นคดีอุกฉกรรจ์มาก เช่น คดีร่วมกันฆ่าประชาชนในการชุมนุมปี 2553 หรือคดี 99 ศพ คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักตำรวจ คดีทุจริตก่อสร้างแฟลตตำรวจ คดีกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่ จ.สุราษฎร์ธานี คดีบุกรุกที่ดินเขาแพง และคดีอื่นๆ ดังนั้น การกระทำของนายสุเทพที่ยังไม่ยอมเลิกการชุมนุม และชักนำมวลชนต่างๆ อยู่ในขณะนี้ จึงเป็นการใช้มวลชนเป็นเกราะกำบัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกดำเนินคดี และไม่ถูกจับกุมตามหมายจับของศาล เป็นการบิดเบือนและหาประโยชน์จากมวลชน และสร้างความเดือดร้อนแก่ชาติบ้านเมือง เพื่อตนเองและพวกพ้องโดยแท้

        นายธาริต กล่าวอีกว่า พฤติการณ์การกระทำของนายสุเทพและแกนนำ กปปส. นอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังมีข้อเรียกร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่างๆ นานา เช่น เรียกร้องให้นายกฯ และ ครม.ลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยอ้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 3 และมาตรา 7 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย และแม้รัฐบาลจะยุบสภาผู้แทนราษฎร คืนอำนาจให้ประชาชน และจัดให้เลือกตั้งส.ส. อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย แต่นายสุเทพ และ แกนนำ กปปส.ก็ขัดขวางเลือกตั้ง 

 

ปธ.ศาลไม่มีอำนาจตั้งนายกฯ 

      นายธาริต แถลงต่อว่า จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐมนตรีบางคนสิ้นสุดลง อีกทั้งคณะกรรมการป.ป.ช.ก็ได้มีมติว่าข้อกล่าวหามีมูลกรณีการยื่นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โครงการรับจำนำข้าว ก็ถือได้ว่าข้อเรียกร้องของนาย สุเทพที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ได้รับการตอบสนองแล้ว และตามที่นายสุเทพและกลุ่มแกนนำออกแถลงการณ์ รวมถึงกลุ่มการเมือง และกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม พยายามเรียกร้องไปยังบุคคลสำคัญต่างๆ เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ร่วมกันคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ ตามมาตรา 7 นั้น 

      เลขาฯ ศอ.รส.กล่าวว่า ศอ.รส.ขอยืนยันว่าไม่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เนื่องจากการแต่งตั้งนายกฯ ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 171 มาตรา 172 และมาตรา 173 โดยนายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัจจุบันยังไม่อาจมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ไม่มีสภา ผู้แทนราษฎรที่จะทำหน้าที่คัดเลือกและให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว

 

ย้ำไม่มีกม.รองรับนายกฯ กลาง 

       เลขาฯ ศอ.รส.แถลงต่อว่า ประกอบกับปัจจุบันยังคงมี ครม.ที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ อยู่ ดังนั้น การดำเนินการที่จะให้มีนายกฯ คนกลาง จึงเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจกระทำได้ โดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อจัดตั้งนายกฯ หรือ ครม.ขึ้นอีกชุดหนึ่ง ในขณะที่ ครม.ชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ นอกจากจะเป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจต่อองค์พระมหากษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง

     "ด้วยความเคารพต่อบุคคลสำคัญที่นาย สุเทพกับพวกกล่าวถึง เช่น ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ล้วนเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ศอ.รส.มีความเชื่อมั่นต่อความเป็นผู้รักษากฎหมาย และเป็นผู้ใหญ่สำคัญในบ้านเมือง ที่จะไม่กระทำในสิ่งที่นอกเหนือกฎหมาย ซึ่งในที่นี่ขอแสดงความเคารพและความศรัทธาเชื่อมั่น ดังนั้น การที่ ศอ.รส.จำเป็นต้องมีแถลงการณ์ฉบับนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจอันถูกต้อง และหลีกเลี่ยงเหตุความไม่สงบและเหตุร้ายแรงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น" เลขาฯ ศอ.รส.กล่าว

 

ม็อบซ่องสุมกำลัง-วิกฤตมาก 

       นายธาริต แถลงอีกว่า ศอ.รส.จึงขอเรียกร้องให้นายสุเทพกับพวก รวมถึงกลุ่มการเมืองและกลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่ม ยุติการกระทำผิดต่อกฎหมายด้วยการคัดเลือกและทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนอกจากจะเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว ยังจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งจากการประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันมีข้อมูลเพียงพอที่บ่งชี้ได้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ศอ.รส. โดยเฉพาะหากยังมีการคัดเลือกและเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาใหม่ตามที่ กปปส.เรียกร้อง จะต้องเกิดความไม่พอใจจากมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างรุนแรงและลุกลามไปถึงการก่อเหตุร้ายและเข้าปะทะกันอย่างแน่นอน จนอาจกลายเป็นสงครามกลางเมืองได้ในที่สุด


ยิง ม.รังสิต - คนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่อาคารรัตนคุณากร มหาวิทยาลัยรังสิต จ.ปทุมธานี วิถีกระสุนทะลุกระจกเข้าไปภายในชั้นที่ 12 แตกละเอียดจำนวน 2 บาน ชิ้นส่วนระเบิดกระแทกเสาอาคารได้รับความเสียหายเล็กน้อย เมื่อวันที่ 11 พ.ค.

      เลขาฯ ศอ.รส.แถลงต่อว่า ศอ.รส.ขอแสดงความเสียใจต่อพี่น้องประชาชน ที่เคยคาดหวังว่าสถานการณ์โดยรวมจะผ่อนคลายดีขึ้น แต่นายสุเทพ กับแกนนำ กปปส. กลับยกระดับเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการประกาศคัดเลือกแต่งตั้งนายกฯ นอกกฎหมาย และการกระทำอุกอาจต่างๆ เช่น บุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาลแล้วประกาศจัดตั้งเป็นกองบัญชาการ การเข้าปิดล้อมสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ และซ่องสุมกำลังพร้อมอาวุธต่างๆ จนขณะนี้อาจกล่าวได้ว่าถึงจุดวิกฤตมากที่สุดแล้ว 

 

เตรียม'อรินทราช'ลุยจับเทือก 

      เลขาฯ ศอ.รส.กล่าวต่อว่า ศอ.รส.จึงจำเป็นจะต้องยกระดับการใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัด และเข้มข้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดในเวลาอันใกล้นี้ จึงขอให้พี่น้องประชาชนแยกตัวออกจากกลุ่มผู้ชุมนุม และแจ้งเตือนบุตรหลาน ญาติมิตรให้หลีกเลี่ยงออกห่างจากที่ชุมนุมให้มากที่สุด ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของ พี่น้องประชาชน ศอ.รส.จึงเห็นสมควรแถลง การณ์มาเพื่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ อนึ่งแถลงการณ์ฉบับนี้เป็นความเห็นและดำเนินการโดยฝ่ายบริหารของ ศอ.รส.โดยตรง ซึ่งไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วย

      ผู้สื่อข่าวถามว่า ศอ.รส.จะยกระดับอย่างไร นายธาริตกล่าวว่า จะเข้าจับกุมผู้กระทำความผิด ขณะนี้เตรียมหน่วยอรินทราช 26 และหน่วยปฏิบัติการพิเศษอื่นๆ ไว้ อย่างกรณีนายสุเทพที่มีหมายจับอยู่ที่ทั้งหมด 14 หมายจับ ประกอบกับสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องแกนนำ 51 รายแล้ว โดยศาลนัดฟังคำสั่งในวันที่ 12 พ.ค. เวลา 13.00 น. และคาดว่าภายหลังที่ได้หมายจับแกนนำ กปปส.ทั้งหมด 51 ราย ก็จะเริ่มลงมือปฏิบัติการทันที เพื่อต้องการแสดงให้เห็นความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย เน้นย้ำว่ายังไม่มีการสลายการชุมนุมในขณะนี้ แต่ต้องการให้พี่น้องประชาชนแยกตัวออกจากการชุมนุมทันที

 

ถ้าไม่ทำ-หวั่นปชช.จัดการกันเอง 

      ต่อข้อถามว่า หากศอ.รส.ได้รับอนุมัติหมายจับแล้ว มีความมั่นใจแค่ไหนที่จะจับกุมตัวแกนนำทั้งหมดนั้น นายธาริตกล่าวว่า แกนนำ กปปส.ที่ถูกออกหมายไปแล้ว 14 คนนั้น เดิมมีกองกำลังดูแลตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่นอกเหนือจากนั้นยังไม่มีกองกำลังดูแล ขณะนี้ศอ.รส.เตรียมพร้อมแบ่งชุดเฉพาะกิจรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว โดยจะเข้าจับกุมแกนนำทั้งหมดไปพร้อมกันด้วย หากประเมินสถานการณ์แล้ว การดำเนินการไม่ทำให้เกิดความสูญเสียกันมากเกินไป ส่วนการกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการนั้นตอบยาก แต่ยืนยันว่าพร้อมดำเนินการทันที

      ผู้สื่อข่าวถามว่าการเข้าจับกุมแกนนำกปปส. 51 ราย ขัดคำสั่งศาลแพ่งหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ใช้มิติของการสลายการชุมนุม แต่เป็นมิติของการเข้าจับกุม ไม่เกี่ยวข้องกัน และได้แบ่งการรับผิดชอบในการดูแลการจับกุมชุดต่างๆ ขณะนี้ถือว่ามาถึงวิกฤตแล้วต้องดำเนินการทันที หากเปิดโอกาสให้ กปปส.จัดตั้งนายกฯ ซ้อนขึ้นมาแล้ว และหน่วยงานรัฐไม่เข้ามาจัดการ อาจจะทำให้ประชาชนเข้ามาจัดการกันเอง

 

สั่งบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นขึ้น 

      ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงกรณีที่ตอนท้ายแถลงการณ์ศอ.รส. ระบุโดยฝ่ายบริหารของ ศอ.รส.โดยตรง การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ขอให้ฝ่ายทหารร่วมมีความเห็นและดำเนินการด้วยนั้น นายธาริตกล่าวว่า เป็นการให้เกียรติทางฝ่ายทหาร เพราะปฏิบัติการของฝ่ายทหารเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ใช่เป็นผู้รักษากฎหมาย จึงมีส่วนในการรับทราบการดำเนินการของศอ.รส. แต่ไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย อีกทั้งเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารศอ.รส. ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้พูดแล้วว่าปฏิบัติหน้าที่ของทหารจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และการดำเนินการศอ.รส.

       "เรามีความเสียใจที่สถานการณ์กำลังเริ่มจะคลี่คลายแล้ว ทางกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ยังยกระดับการชุมนุม ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว กรณีที่จัดตั้งนายกฯ ซ้อนขึ้นมา ทำให้ศอ.รส.ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้นในระดับหนึ่ง แต่เหตุผลก็เพื่อต้องการแยกคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และต้องการให้ประชาชนไม่ปะทะและจัดการกันเอง" เลขาฯ ศอ.รส.กล่าว

 

เอ็ม 79 ตูมทำเนียบ-ร.ร.ราชวินิต 

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อกลางดึกวันที่ 10 พ.ค. ต่อเนื่องถึงวันที่ 11 พ.ค. ได้เกิดเหตุระเบิดหวังสร้างสถานการณ์ทางการเมืองให้ลุกลามบานปลาย โดยเมื่อเวลา 22.50 น. วันที่ 10 พ.ค. เกิดระเบิด 2 ครั้ง บริเวณหลังเวทีการชุมนุมกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ด้านหน้าโรงเรียนราชวินิตมัธยม และอีกจุดบริเวณเต็นท์ด้านข้างทำเนียบรัฐบาล ส่งผลให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ 2 คน เป็นผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 1 คน นำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว 

      จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบตู้โทรศัพท์สาธารณะเสียหาย กระจกแตก รถผู้ชุมนุม 3 คัน ถูกสะเก็ดระเบิดยางแตก กระจกและประตูมีรอยสะเก็ดระเบิด โดยแกนนำขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าตื่นตระหนก เพราะมีการ์ดรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว

      ส่วนวิถีกระสุนและชนิดของระเบิดนั้น นายยัสเซอร์ ยีหมะ ผู้ประสานงานกลุ่มคปท. และหัวหน้าการ์ด เปิดเผยว่า แกนนำประสานเจ้าหน้าที่อีโอดีให้เข้าตรวจสอบหาหลักฐานในเวลา 09.00 น. วันที่ 11 พ.ค. โดยขณะเกิดเหตุเป็นช่วงที่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ไม่มีใครพบเห็นยานพาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ เบื้องต้นคาดเป็นระเบิดชนิดเอ็ม 79

 

พบวิถียิงมาจากแยกนางเลิ้ง 

      ต่อมา พล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผบก.น.1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผกก.กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุในบริเวณทำเนียบรัฐบาล ใกล้พื้นที่ชุมนุมของกลุ่มคปท. จากการตรวจสอบพบว่าในทำเนียบรัฐบาล พบหลุมระเบิดกว้าง 10 เซนติเมตร ลึก 1 เซนติเมตร ห่างจากแนวรั้วทำเนียบฯ ใกล้กับเต็นท์สื่อมวลชน 20 เมตร

     พ.ต.อ.กำธร กล่าวว่าเป็นระเบิดเอ็ม 79 วิถีโค้งระยะ 200-400 เมตร คาดว่าถูกยิงมาจากบริเวณแยกนางเลิ้ง โดยใช้เสาส่งสัญญาณในทำเนียบ เป็นเป้าการยิง ส่วนอีกจุด ที่บริเวณป้ายรถประจำทาง โรงเรียนราชวินิตมัธยม พบหลุ่มระเบิดกว้าง 5 เซนติเมตร ลึก 1 เซนติเมตร เป็นชนิดเดียวกับในทำเนียบฯ คาดว่าจะเป็นการยิงมาจากจุดเดียวกัน และตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะการก่อเหตุคล้ายกับเหตุที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เมื่อวัน 7 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ขอสรุปว่าเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันหรือไม่ โดยจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดและพยานหลักฐานเพิ่มเติม

 

ม.รังสิตก็ป่วน-โดนเอ็ม 79 ด้วย 

      อีกเหตุเวลา 02.00 น. วันที่ 11 พ.ค. พ.ต.ท.ชินกฤช ธิวงศ์คำ พนักงานสอบสวน ผู้ชำนาญการพิเศษ สภ.ปากคลองรังสิต อ.เมือง จ.ปทุมธานี รับแจ้งยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ตึก 11 อาคารรัตนคุณากร ภายในมหาวิทยาลัยรังสิต จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่รุดไปที่เกิดเหตุ พบเป็นห้องสำหรับการเรียนการสอนของคณะนิเทศศาสตร์ ลูกระเบิดทะลุกระจกเข้าไปในห้องด้านทิศเหนือของชั้นที่ 12 เป็นห้องทำงานของ ผศ.ดร.วลัยภรณ์ นาคพันธุ์ ผอ.ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้ ม.รังสิต กระจก 3 บานแตก เสาอาคารถูกสะเก็ดระเบิดเสียหาย ไม่มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต

      ต่อมา พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง รองผบช.ภาค 1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.มาโนช สุภาพพูล รองผบก.ปทุมธานี นำเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ โดยยืนยันว่าเป็นระเบิดเอ็ม 79 คาดว่ายิงมาจากถนนหน้ามหาวิทยาลัย ระยะห่างประมาณ 200-300 เมตร สอบสวนพบว่าขณะเกิดเหตุมีนักศึกษาชาย 2 คน ซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ เห็นรถกระบะจอดผิดสังเกต สักพักก็มีเสียงระเบิด ก่อนรถกระบะจะรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

ดึงตร.ภูธรเสริมนครบาลตั้งด่าน 

      ที่ศอ.รส. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร. ในฐานะผบ.กองกำลัง ศอ.รส. กล่าวถึงเหตุระเบิดว่าเป็นเรื่องความเห็นต่างของคน 2 กลุ่ม ส่วนการป้องกันของศอ.รส.นั้น ดึงกำลังจากตำรวจภูธรมาช่วยตำรวจนครบาลตั้งด่านตรวจเพิ่มเติม จากที่มีอยู่แล้วอีก 20 จุด เพื่อป้องกันเหตุความรุนแรง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังศาลรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช.มีคำตัดสินออกมา โดยวางกำลังรอบชั้นในใจกลางกรุง เน้นปกป้องเขตพระราชฐาน จึงทำให้ไปเกิดเหตุระเบิดที่รังสิต จ.ปทุมธานี ขณะนี้ศอ.รส.ใช้กำลังตำรวจ 100 กองร้อย และทหารสนับสนุน 58 กองร้อย

      "หวังว่าเมืองไทยคงจบได้ด้วยดี ไม่เสียเลือดเสียเนื้อ ศอ.รส.ทั้งหมดมีปรัชญาว่าไม่ให้เกิดความรุนแรง หลายสถานการณ์เราจึงยอมถอย ยอมให้เกิดความรุนแรง ไม่ปะทะกับมวลชน แม้ม็อบจะรุกไล่ แต่เราก็ยอมถอย เว้นแต่ก่อปัญหากระทบคนอื่นๆ เราก็จำเป็น เช่น ประชาชนผ่านบังเกอร์ก็ทำร้าย อย่างนี้ต้องตรวจค้นจับกุม เช่นเมื่อวานนี้ที่ผู้ชุมนุม กปปส.ปิดการจราจรบนโทลล์เวย์เป็นระยะ การจราจรติดขัด ศอ.รส.ก็เตรียมชุดปฏิบัติการเข้าคลี่คลาย แต่ดีที่สถานการณ์คลี่คลายก่อน" รองผบ.ตร.กล่าว

 

เทือกใช้ทำเนียบ-กองบัญชาการ 

      สำหรับความเคลื่อนไหวของม็อบกปปส.ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังนำมวลชน บุกยึดทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์ช่อง 3, ช่อง 5, ช่อง 7, ช่อง 9 และช่อง 11 เอ็นบีที กรมประชาสัมพันธ์นั้น เวลา 10.30 น. ที่ สะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบฯ นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. เดินทางมาถึงเวทีชุมนุม คปท. เข้าหารือกับนายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำ คปท.ประมาณ 30 นาที จากนั้นนายสุเทพเดินเข้าไปยังตึกสันติไมตรี ภายในทำเนียบฯ เพื่อตรวจสถานที่ เนื่องจากจะใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวและเป็นกองบัญชาการของม็อบ กปปส. 

     จากนั้น นายสุเทพขึ้นเวทีปราศรัยกับมวลชนคปท.ว่า ในวันที่ 12 พ.ค.จะยุบเวทีสวนลุมพินีแล้วย้ายมาอยู่ที่ทำเนียบฯ ทั้งหมดให้เหลือเวทีเดียว โดยคืนวันที่ 11 พ.ค.จะปราศรัยที่เวทีสวนลุมฯ เป็นคืนสุดท้าย วันที่ 12 พ.ค.นำมวลชนเดินเท้ามาสมทบกับมวลชนที่อยู่ข้างทำเนียบฯ จากนั้นเดินไปหน้ารัฐสภาเพื่อร่วมรับฟังการประชุมวุฒิสภานัดพิเศษว่าจะแต่งตั้งนายกฯ ของประชาชนทันทีตามที่เรียกร้องหรือไม่ รวมถึงจะตั้งเวทีใหญ่หน้าสำนักงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประจำประเทศไทยด้วย 

 

ย้ำอีกไม่ยืดเยื้อ-ม้วนนี้ต้องจบ 

      เลขาฯ กปปส.กล่าวต่อว่า ต่อจากนี้จะมีสำนักงานที่ตึกสันติไมตรีเพื่อใช้เป็นที่ประชุม อ่านแถลงการณ์ รวมถึงพูดคุยกับใครก็ตามที่มาหารือกับเรา โดยขอความร่วมมือมวลชนอย่าเข้าไปภายในทำเนียบฯ ยกเว้นคนที่เข้าไปทำงานเท่านั้น โดยสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อจากนี้คือระดมมวลชนให้มาร่วมชุมนุมมากที่สุด แล้วช่วยกันบำเพ็ญเพียรเรียกร้องผู้มีอำนาจในบ้านเมืองลุกขึ้นมาร่วมมือกับประชาชนแก้ไขปัญหาประเทศ จัดให้มีรัฐบาลของประชาชนขึ้นมาให้ได้ แต่เมื่อไหร่ที่เราตัดสินใจแล้วว่าคนเหล่านั้นทำไม่ได้หรือไม่ทำ เราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากลงมือทำเอง 

       "เราจะเดินตามแผนให้สำเร็จ ฉลองชัยกันที่ถนนราชดำเนิน แล้วกลับบ้านไปเป็นประชาชนธรรมดา ใครคิดถึงผมไปเยี่ยมผมได้ที่จ.สุราษฎร์ธานี แต่ถ้าไม่ชนะ ใครที่คิดถึงผมก็ไปเยี่ยมผมในคุก ชีวิตของผมหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับมวลมหาประชาชนเท่านั้น จะไม่มีการยืดเยื้อไปมากกว่านี้แล้ว ม้วนนี้ต้องจบ" อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

 

ม็อบยึดทีวียอมถอนกำลังกลับ 

     ส่วนม็อบกปปส.ที่ไปยึดและชุมนุมตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ นั้นเริ่มทยอยไปรวมตัวกันที่สวนลุมพินี และบางส่วนเคลื่อนไปอยู่บริเวณทำเนียบฯ แล้ว โดยในเวลา 10.00 น. นายถาวร เสนเนียม แกนนำกปปส.ประกาศยุติการชุมนุมในพื้นที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ถนนวิภาวดีรังสิต และเคลื่อนย้ายมวลชนกลับสวนลุมพินีในช่วงบ่าย ผู้ชุมนุมทยอยเก็บเต็นท์และเครื่องใช้ข้าวของต่างๆ ก่อนเคลื่อนขบวนกลับ

      ด้านนายชุมพล จุลใส และน.ส.จิตภัสร์ กฤดากร แกนนำกปปส. ประกาศให้มวลชนที่ปักหลักชุมนุมที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เคลื่อนขบวนกลับเวทีสวนลุมฯ เช่นกัน ขณะที่มวลชนกปปส.ที่ชุมนุมอยู่หน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ก็ทยอยออกและกลับไปรวมตัวกันที่สวนลุมฯ แล้ว ส่วนบริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กลุ่มแกนนำกปปส.ที่นำโดยนายณัฏฐพล และนางทยา ทีปสุวรรณ นายสกลธี ภัททิยกุล และน.ส.อัญชะลี ไพรีรัก แจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบว่าในเวลา 14.00 น. จะนำมวลชนเดินทางกลับสวนลุมฯ 

 

อ้างแค่ไปเยี่ยม-ไม่ได้คุกคาม 

       ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่เวทีสวนลุมฯ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส.แถลงว่าการปฏิบัติการชุมนุมหน้าสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ไม่มีเจตนาข่มขู่คุกคามสื่อมวลชน ขอชี้แจงให้ทราบว่าการที่เราไปเยี่ยมสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เพื่อคุ้มครองสื่อในการทำงานให้เป็นอิสระจากอิทธิพลเถื่อนของศอ.รส. ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เป็นอย่างดี หลายแห่งเปิดให้มวลชนเข้าไปพักผ่อน 

      นายเอกนัฏ กล่าวว่า เรามีข้อเสนอไปยังสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ให้นำเสนอข่าวของมวลมหาประชาชนอย่างเป็นธรรม ขอให้ถ่ายทอดสดกรณีที่มีแถลงการณ์ของนายสุเทพ แต่ให้งดถ่ายทอดสดการแถลงการณ์ของ ศอ.รส. โดยผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ต่างๆ รับปากแล้ว เราจึงย้ายมวลชนจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ มาที่สวนลุมฯ และเตรียมพร้อมชุมนุมใหญ่ที่ ทำเนียบฯ หากการปฏิบัติการของเราสร้างผล กระทบให้ประชาชน ขออภัยประชาชนทุกคน รวมถึงสื่อมวลชนด้วย 

 

เสื้อแดงปักหลักอักษะวันที่สอง 

     ด้านการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และคนเสื้อแดง ที่ระดมมวลชนปักหลักค้างคืนอยู่ที่ถนนอักษะ ย่านพุทธมณฑลนั้น เมื่อเวลา 10.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. พร้อมด้วยนายสมหวัง อัสราษี รองประธานนปช. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. และนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. แถลงแนวทางการต่อสู้ เพื่อนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประชาชน 

     นายจตุพร กล่าวว่า นปช.ยืนยันแสดง จุดยืนในการต่อสู้ เพื่อทำบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ข้อเสนอนายสุเทพที่ให้ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานวุฒิสภา ประชุมกันในวันที่ 12 พ.ค. เพื่อแต่งตั้งนายกฯ มาตรา 7 นั้น ความคาดหวังของประชาชนเหลือเพียงประธานศาลฎีกาเท่านั้น ที่ยังไม่ถูกกล่าวหา ดังนั้น ขอให้ประธานศาลฎีกา ซึ่งถือเป็นประมุขของฝ่ายตุลาการ ออกมาแสดงตัวว่าจะไม่รับข้อเสนอของนายสุเทพ ส่วนประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประธานวุฒิสภา ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ พร้อมขอประกาศว่าหากการประชุมเกิดจริง และตั้งนายกฯ มาตรา 7 เราจะแจ้งความดำเนินคดีฐานก่อกบฏ และจะขัดขวางตั้งแต่วินาทีแรกในทุกวิถีทาง โดยยึดสันติวิธีอย่างเคร่งครัด

 

เย้ย'สุเทพ'ไม่มีวันได้ฉลองชัย 

       ประธานนปช.กล่าวว่า รัฐบาลปัจจุบันยังชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีใครสามารถแต่งตั้งรัฐซ้อนรัฐได้ แต่เป็นการก่อกบฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันที่ 12 พ.ค.ที่นายสุเทพจะฉลองชัย ยืนยันว่าการฉลองชัยจะไม่เกิดขึ้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากนายสุเทพประกาศชัยชนะมาหลายครั้งแล้ว อีกทั้งชัยชนะที่มาจากการปล้น จะได้รับการปฏิเสธจากประชาชน เราจะยุติการชุมนุมเมื่อบ้านเมืองมีความปลอดภัย ประชาธิปไตยมีความปลอดภัย เรามีวันมา ไม่มีวันกลับ จนกว่าการต่อสู้จะชนะ หากรัฐประหาร มาตรการไม่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่ประกาศไว้ก็จะไม่อยู่ในแนวทาง 

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการชุมนุมในวันที่ 2 ของคนเสื้อแดง แม้ในช่วงกลางวันจะมีสภาพอากาศร้อนระอุ แต่ก็ยังมีประชาชนทยอยสลับสับเปลี่ยนเดินทางมาชุมนุมและฟังการปราศรัยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยประชาชนส่วนใหญ่สวมเสื้อสีแดง สวมหมวกสีแดงเป็นสัญลักษณ์ ขณะเดียวกัน บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึก อาทิ เสื้อ หมวก หัวใจตบ กันอย่างคึกคัก เช่นกัน 

 

ฮึ่มแจ้งจับคนตั้งนายกฯกลาง 

      ต่อมาเวลา 18.00 น. นายจตุพรพร้อมด้วยแกนนำขึ้นเวทีปราศรัย และนายจตุพรแถลงว่าหากการประชุมของประธานทั้ง 3 ศาล เพื่อกำหนดตัวนายกฯ ตามมาตรา 7 นปช.จะแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลทั้งหมดฐานก่อกบฏ และขอให้ผู้ชุมนุมอยู่ในสภาพเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุด เพื่อต่อสู้กับอำมาตยาทุกรูปแบบ โดยไม่สนใจดินฟ้าอากาศ

      ประธาน นปช.กล่าวต่อว่า หลังจากที่นายสุเทพใช้กำลังบังคับให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดการอ่านแถลงการณ์ โดยอ้างว่าได้ประสานไปยังว่าที่ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และประธานศาลรัฐธรรมนูญให้หารือกัน เพื่อเสนอแต่งตั้งนายกฯ โดยทันทีนั้น ที่จริงแล้วบุคคลที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้สามารถนำรายชื่อนายกฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ มีเพียงคนเดียวคือประธานรัฐสภา ซึ่งปัจจุบันไม่มี และประธานวุฒิสภาไม่มีอำนาจ

 

ขอ 3 ปธ.ศาลทำตามรัฐธรรมนูญ 

      ต่อมานายณัฐวุฒิแถลงว่า ขอให้ประธาน 3 ศาล ได้แก่ ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ ปฏิเสธข้อเสนอการหารือเพื่อตั้งนายกฯ ของนายสุเทพทันที และขอให้ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ถ้าเห็นด้วยแล้วเสนอชื่อนายกฯ ส่งให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการ ประธานทั้ง 3 ศาลนี้จะเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนทันที ถือเป็นผู้สมคบคิดและฉีกรัฐธรรมนูญ ทำให้ประชาชนออกมาต่อต้านได้ หากมีการเสนอนายกฯ มาตรา 7 นปช.จะยกระดับการต่อสู้ ไม่กลับบ้านก่อนแล้วกลับมาสู้ใหม่ แต่จะบุกขอไปดูหน้าคนเสนอชื่อ และคนที่จะมาเป็นนายกฯ เถื่อน จะอยู่ชุมนุมในกรุงเทพฯ จนกว่านายกฯ เถื่อนจะออกไป 

      เลขาฯ นปช.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จะร่วมลงชื่อถวายฎีกาไม่เอานายกฯ มาตรา 7 เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความแตกแยกกันในประเทศ และขัดต่อกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยใน 1-2 วันนี้จะรอดูสถานการณ์กลุ่มกปปส. สำหรับทางออกของปัญหาคือเดินหน้าไปสู่การ เลือกตั้ง ส่วนการต่อสู้ของ นปช.ยังคงอยู่ที่ถนนอักษะ อาจจะมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวบ้าง แต่จะไม่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปเผชิญหน้ากับกลุ่มกปปส.

 

เทือกย้ายไปปักหลักทำเนียบ

      ค่ำวันเดียวกัน ที่เวทีการชุมนุมกปปส. สวนลุมพินี บรรดาแกนนำ กปปส.ขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัยครั้งสุดท้ายที่สวนลุมพินี ขอบคุณมวลมหาประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมาเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ก่อนจะย้ายไปปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบ และบริเวณถนนราชดำเนินในวันที่ 12 พ.ค.นี้

       ต่อมานายสุเทพกล่าวบนเวทีปราศรัยว่า วันนี้เป็นการปราศรัยบนเวทีสวนลุมฯ ครั้งสุดท้าย จากนั้นจะย้ายไปสู่ที่มั่นสุดท้าย โดยเวทีใหม่จะตั้งหน้าตึกองค์การสหประชาชาติ หันหน้าไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันพรุ่งนี้จะเดินนำออกจากสวนลุมฯ ในเวลา 14.14 น. จะสู้อยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ชัยชนะเป็นของประชาชน 

       "วันนี้บ้านเมืองไม่เป็นปกติ เพราะนอกจากไม่มีนายกฯ แล้ว ก็ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรที่จะทำหน้าที่เลือกนายกฯ จึงเหลือวุฒิสภาที่เป็นองค์กรนิติบัญญัติของประเทศที่เหลืออยู่ ภาระในการเลือกนายกฯ คนใหม่จึงเป็นภาระของวุฒิสภา แต่ถ้าประธานวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาทำไม่ได้ หรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทำไม่ได้ขึ้นมา ก็เป็นหน้าที่ของมวลมหาประชาชนที่จะต้องดำเนินการเองต่อไป การต่อสู้ของมวลมหาประชาชนในคราวนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ครั้งนี้เป็นรอบสุดท้ายของการต่อสู้จริงๆ" นายสุเทพกล่าว

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!