WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

คสช.ทำก่อน'ครม.'ทำทันที'ต้องเห็นผล..อย่างไร?

คสช.ทำก่อน'ครม.'ทำทันที'ต้องเห็นผล..อย่างไร?


มติชนออนไลน์ :วิเคราะห์ 

      สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นบรรยากาศของรัฐบาลใหม่ โดยรัฐมนตรีใหม่แต่ละกระทรวงถือฤกษ์เหยียบเข้ากระทรวงเพื่อไปบริหาร 

    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 กันยายน เช่นเดียวกับรองนายกรัฐมนตรีทั้งหลาย 

     หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์และคณะรัฐมนตรีลุยงานทันที

    วันที่ 16 กันยายน ประชุมคณะรัฐมนตรี มีการแต่งตั้งที่ปรึกษา และเลขาฯ รวมถึงโฆษกรัฐบาล นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการมหาดไทยอีกด้วย

    วันรุ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ เรียกข้าราชการระดับสูงเข้าฟังนโยบาย 

     ตกค่ำเดินทางไปขอบคุณสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ผ่าน

      งบประมาณปี 2558 ให้ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์

     วันต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียกประชุมผู้บริหารและผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อกำชับนโยบายของกระทรวงมหาดไทยอีกรอบ

     และยังมีกระทรวงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ที่มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา เป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือ นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

     หรือคนอื่นๆ อีก

      ทุกกระทรวงเริ่มต้นทำงานทันที!

      ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความกระฉับกระเฉงที่ต้องการเริ่มต้นทำงาน 

    ตรงตามคำสัญญา...

หมดเวลา′ฮันนีมูน′ สู่ชีวิตจริง 'ครม.บิ๊กตู่'

 

 


โดย จตุรงค์ ปทุมานนท์ คอลัมน์ คลื่นคิดข่าว

 

มติชนรายวันฉบับวันที่ 20 กันยายน 2557

     ภายหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวมทั้งการมอบนโยบายต่อผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา

      นับจากนี้ไป "รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์" จะต้องเดินหน้าขับเคลื่อนบริหารประเทศอย่างเต็มที่ ตามคำยืนยันและบอกเล่าของ "ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุว่า "นับจากนี้ทุกภาคส่วนต้องเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ โดยรัฐมนตรีหลายคนได้เริ่มเข้ากระทรวงทำงานกันแล้ว บางส่วนเริ่มทำงานในวันจันทร์ที่ 15 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ช่วงเวลาฮันนีมูนสำหรับรัฐบาลได้จบไปนานแล้ว"

      หากถอดสัญญาณคำพูดของ "ม.ล.ปนัดดา"ย่อมเป็นเรื่องจริงที่ "ครม.พล.อ.ประยุทธ์" ที่กำเนิดมาจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายหลัง "ชัตดาวน์" รัฐบาล "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะหมดเวลาฮันนีมูนในการรีเซ็ตประเทศไทยช่วง 3 เดือนแรกแล้ว

      ต่อจากนี้คือช่วงเวลาเข้าสู่ความเป็นจริงของชีวิต ที่ "รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์" จะต้องแสดงฝีไม้ลายมือ เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทย ตามโรดแมปทั้ง 3 ระยะที่ได้วางเอาไว้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ทั้ง 11 ด้าน ที่ได้แถลงต่อ สนช. 

      หากดูจากกลไกที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้จัดเตรียมไว้ทั้งยุทธศาสตร์และบุคลากร โดยเฉพาะภาคราชการที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการแปลงนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ อย่างการสับเปลี่ยน แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทั้งในส่วนของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งกองทัพ ที่ถือว่าเป็นหน่วยงานสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาล ที่ได้วางบุคคลไว้เสร็จสรรพ 

        ทว่ายังไม่ทันจะเริ่มต้นเดินหน้าขับเคลื่อนงาน "ครม.พล.อ.ประยุทธ์" กลับต้องมาสะดุดกับเรื่องที่ทุกฝ่ายจับตาในการทำงานของทุกรัฐบาล นั่นคือ ความโปร่งใสและปลอดทุจริต ที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ได้ออกมาประกาศนโยบายย้ำหลายครั้งว่า การทุจริตเป็นเรื่องที่ต้องห้ามไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด

      อย่างเรื่องการจัดซื้อไมโครโฟนที่ติดตั้งในห้องประชุม 501 และห้องประชุมที่เกี่ยวข้องบนตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่เปิดตัวออกมาในราคาตัวละ 145,000 บาท โดยผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงว่าเหตุที่ราคาแพง เพราะเทคโนโลยีเทียบชั้นทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา แต่ในทางกลับกันกลับเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมว่าราคาแพงเกินจริง พร้อมกับเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความโปร่งใส 

      แม้ภายหลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกมาชี้แจงว่าราคาที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง อยู่ในขั้นต่อรองราคาอยู่ โดยเอกชนยอมลดราคาไมค์ดังกล่าวลง 35% เหลือเพียงตัวละ 95,250 บาท ช่วยรัฐบาลประหยัดงบประมาณได้ถึง 14 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่สามารถลดเสียงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบลงได้ 

     พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องออกมาตัดไฟเรื่องการทุจริตไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ด้วยการให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้ามาตรวจสอบในเบื้องต้น และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้ามาตรวจสอบเพื่อเป็นการรีเช็กให้มีคำตอบต่อสังคมโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่รื้อไมค์ชุดดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จ 

    ไม่เพียงแค่เรื่องไมค์ทองคำ หรือ ไมค์เทวดา ที่จะทำให้รัฐบาลต้องเจอกับแรงเสียดทานในการตรวจสอบจากทุกฝ่าย แม้จะมีอำนาจที่เบ็ดเสร็จอยู่เบื้องหลังในการกำกับของ "คสช." ไว้อีกชั้นหนึ่ง

      แต่ชีวิตจริงที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเผชิญและจะเป็นตัวชี้วัดการทำงานของรัฐบาลว่าจะ "รุ่ง" หรือ "ร่วง" นับจากนี้นั่นคือ สารพัดปัญหาทั้งเก่าและใหม่ที่สุมเอาไว้ จะประดังเข้ามาเพิ่มขึ้น 

      ปัญหาแรกที่จะต้องเร่งแก้ไข นั่นคือ การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ยางพารา ที่ทุกรายการอยู่ในภาวะตกต่ำเกือบทั้งสิ้น รวมทั้งเรื่องปัญหาปากท้อง สินค้าราคาแพง ที่เป็นอีกเรื่องใหญ่ เพราะหากแก้ไขไม่ได้เห็นผลชัดเจนก็จะทำลายศรัทธาและความเชื่อมั่นของรัฐบาลลงอย่างรวดเร็ว เพราะปัญหาค่าครองชีพของชาวบ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดผลงานของผู้นำและรัฐบาลอย่างสำคัญอีกตัวหนึ่ง

       ระยะเวลานับจากนี้ไปในการบริหารแผ่นดินของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตามโรดแมปในระยะที่ 2 และ 3 ที่ต้องขับเคลื่อนประเทศไปในทุกมิติ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ต้องอาศัยความรู้ความสามารถที่หลากหลาย จึงจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมไม้ร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ให้มากที่สุด 

      ซึ่งจุดเด่นของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีบุคลิกที่แข็งกร้าวและเด็ดขาด ย่อมถือเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน ถ้าไม่ระมัดระวัง ด้านดีคือถ้าเด็ดขาดบนข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและยึดผลประโยชน์ส่วนรวม ประเทศก็เดินได้เร็ว แต่ถ้าเด็ดขาดบนข้อมูลที่ไม่จริง หรือมีวาระซ่อนเร้นก็ย่อมเกิดปัญหาตามมาได้เหมือนกัน

     เพราะรัฐบาลจะอยู่รอดหรือไม่ ความโปร่งใสต้องมาเป็นอันดับแรก 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!