WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Pประยทธ จนทรโอชา2นายกฯ หวัง ACMECS โตแข็งแกร่งเป็นสะพานเชื่อมศก.มหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก

    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 8 โดยมีผู้นำสมาชิก ACMECS ได้แก่ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา, นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, อูวินมยิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา, นายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมด้วย

    นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นับตั้งแต่การก่อตั้ง ACMECS เมื่อปี 2546 จนถึงวันนี้ ACMECS ได้กลายมาเป็นอนุภูมิภาคที่มีศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 6-8 ต่อปี มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 230 ล้านคน รวมทั้งการมีที่ตั้งบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ โดยเป็นสะพานเชื่อมต่อเศรษฐกิจและตลาดระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก พร้อมกับมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการส่งเสริมความเชื่อมโยงภายในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ACMECS ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยจึงได้ผลักดันอย่างแข็งขันที่จะดำเนินการตามความเห็นชอบของการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 7 ณ กรุงฮานอยที่ปฏิรูป ACMECS เพื่อให้สามารถรับมือกับบริบทใหม่ของโลกและสิ่งท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

     นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งนี้ได้ตั้งหัวข้อการประชุม ว่า "การก้าวไปสู่ประชาคมลุ่มแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงกัน" เพราะเชื่อว่าการรวมตัวและความเชื่อมโยงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันสร้างประชาคม ACMECS ที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีความร่วมมือและเดินหน้าไปร่วมกันอย่างมีบูรณาการ และมีส่วนสำคัญในการสร้างผลประโยชน์ในภูมิภาคและเป็นแกนนำสำคัญในการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน

    ทั้งนี้ ประเทศไทยโดยการสนับสนุนจากสมาชิก ACMECS ได้ริเริ่มจัดทำแผนแม่บท ACMECS (ค.ศ.2019-2023) ซึ่งเป็นแผนแม่บทฉบับแรกของอนุภูมิภาค เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานของ ACMECS ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ภายใต้วิสัยทัศน์ "เสริมสร้าง ACMECS ที่เชื่อมโยงกัน ภายในปี ค.ศ.2023" ซึ่งให้ความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย 3 ประการ ภายใต้สโลแกน 3S’ ได้แก่ (1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อในอนุภูมิภาค (Seamless Connectivity) โดยเน้นการเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐาน (2) การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ (Synchronizes ACMECS Economies) โดยเน้นการปรับแก้กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกัน ลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ (3) การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม (Smart and Sustainable ACMECS) โดยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่

     ในการนี้เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นในการบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บท ACMECS ผู้นำ ACMECS ต่างเห็นพ้องที่จะจัดทำโครงการระยะเริ่มแรก 2 ปี เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงตามระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ อย่างไรก็ตามการดำเนินการภายใต้แผนแม่บท คงจะดำเนินการด้วยความลำบากหากยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของแหล่งเงินทุน ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญต่อการจัดหาแหล่งเงินทุนที่มีความยั่งยืน โดยเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุน ACMECS (ACMECS Fund) เพื่อระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนแม่บทฯ ทั้งสามเสา โดยประเทศไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการจัดตั้งกองทุน ACMECS ด้วยทุนเริ่มต้นในการก่อตั้งจำนวนหนึ่ง พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนประเทศสมาชิก และประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาทั้งที่ปัจจุบันมีความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงดั้งเดิม รวมถึงประเทศที่มีศักยภาพ ทั้งในเอเชีย ยุโรป องค์กรระหว่างประเทศรวมถึงสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้ามาเข้าร่วมสมทบกองทุน ACMECS ดังกล่าว

    นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายภายในต่าง ๆ ซึ่งช่วยสนับสนุนแผนแม่บท ACMECS ที่เน้นการสร้างความเชื่อมโยงภายในอนุภูมิภาค อาทิ นโยบาย Thailand 4.0 การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และการส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยรัฐบาลไทยให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้รูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Private-Private Partnership) ตามนโยบายประชารัฐควบคู่กับการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย และกลุ่มสตาร์ทอัพ

    นอกจากนี้ ไทยเชื่อว่าอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อทุกประเทศเจริญก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง ดังนั้นไทยจึงให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้จัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หรือ SEZ จำนวนทั้งสิ้น 10 แห่ง ตามบริเวณแนวชายแดน ซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับสร้างเป็นฐานการผลิตที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศสมาชิก ACMECS อื่น ๆ มีศักยภาพที่จะรองรับแรงงานต่างด้าวได้เป็นจำนวนมาก และรัฐบาลเองก็มีมาตรการการอำนวยความสะดวกในการจ้างงานแรงงานต่างด้าวในพื้นที่เหล่านี้

     นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า ความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิก ACMECS ที่จะร่วมมือกัน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ จะทำให้ACMECS เป็นประชาคมแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริงในห้าปีข้างหน้า และต่อจากนั้น เราจะได้เห็น ACMECS เป็นอนุภูมิภาคที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และคนข้ามพรมแดนอย่างไร้รอยต่อในอนุภูมิภาค และเป็นอนุภูมิภาคที่เป็นสะพานที่แท้จริงที่เชื่อมต่อเศรษฐกิจและตลาดของมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิกและของเศรษฐกิจอื่น ๆ กับภาคพื้นทวีปเอเชียและของโลก

     นับจากนี้ ACMECS จะเป็นอนุภูมิภาคที่มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมที่สร้างสรรค์ในประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของการส่งเสริมพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประชาชน ผู้ประกอบการและเกษตรกรจะเป็นคนยุคใหม่ที่ก้าวหน้า สามารถนำเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาผสมผสานกับวิถีชีวิตและการปฏิบัติงานทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม นอกจากนี้การพัฒนาจะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

     นายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ความพยายามของประเทศสมาชิก ACMECS ที่จะสนับสนุนความเชื่อมโยงและการพัฒนาแบบยั่งยืนได้รับการสนับสนุนจากประชาคมโลก โดยหวังว่า ประเทศและองค์กรเหล่านี้จะสามารถสนับสนุนแผนแม่บท ACMECS เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทั้งสามเสาได้เป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงการบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน และสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของประเทศสมาชิก ACMECS

    นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การรวมตัวของสมาชิก ACMECS ในวันนี้ ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณสำคัญต่อประชาคมโลกว่า ACMECS พร้อมที่จะผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อเดินหน้าและกำหนดทิศทางขับเคลื่อนความร่วมมือของ ACMECS ในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนุภูมิภาค โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง และมั่นใจว่า หากสมาชิกสามารถร่วมมือกัน มีการสอดประสานกันด้านนโยบาย มีการเชื่อมต่อกับทุกภาคส่วน ACMECS จะกลายเป็นอนุภูมิภาคเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นส่วนสำคัญของความกินดีอยู่ดีของโลกได้อย่างแท้จริง

       อินโฟเควสท์

สภาธุรกิจ ACMECS เสนอแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค 3 ด้านให้ผู้นำขับเคลื่อน

     นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานสภาธุรกิจ ACMECS ประเทศไทย กล่าวว่า ACMECS เป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง 5 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ซึ่งในกรอบความร่วมมือนี้จะมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่องมากว่า 15 ปี ซึ่งในปีนี้ได้มีการจัดประชุม ACMECS SUMMIT ครั้งที่ 8 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งในส่วนของภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือ ACMECS มาโดยตลอดเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACMECS Business Forum 2018 ขึ้น

    โดยในการประชุมดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนทั้ง 5 ประเทศ ACMECS มาร่วมกันหารือถึงความร่วมมือทางการค้าการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งนำเสนอปัญหาและอุปสรรคในการทำการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ และนำเสนอข้อเสนอต่าง ๆ ให้รัฐบาลทั้ง 5 ประเทศได้ทราบว่า ภาคเอกชน ACMECS ต้องการพัฒนาสิ่งใดบ้าง เพื่อให้ ACMECS มีความน่าสนใจต่อการค้าและการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มมากขึ้น และที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันถึง Business Recommendation ที่จะนำเสนอให้กับผู้นำทั้ง 5 ประเทศ ได้รับทราบและนำไปดำเนินการต่อได้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคนี้

    สำหรับ ประเด็นสำคัญที่ได้นำเสนอต่อผู้นำทั้ง 5 ประเทศ ACMECS ในการทำข้อเสนอต่าง ๆ ต่อรัฐบาลทั้ง 5 ประเทศนั้น สิ่งที่ภาคเอกชนคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ คือ Concept ของนายกรัฐมนตรีของไทย "Stronger Together With No One Left Behind" ดังนั้น ข้อเสนอต่าง ๆ ของสภาธุรกิจ ACMECS จะเป็นการเสนอเพื่อพัฒนาให้ ACMECS มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน ลดช่องว่างระหว่างกัน และทำให้ทุก ๆ ประเทศสามารถเชื่อมโยงระหว่างกันได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งสรุปข้อเสนอของสภาธุรกิจ ACMECS ได้ 3 ด้านหลักๆ ดังนี้

    1.Seamless Connectivity จะเห็นได้ว่าประเทศในกลุ่ม ACMECS ถูกเชื่อมโยงกันโดยทางถนนเป็นหลัก (landlink) ซึ่งประเทศในกลุ่มนี้จะต้องเกาะกลุ่มกันให้แน่น โดยใช้ศักยภาพเชิงพื้นที่ของ ACMECS เป็นศูนย์กลางทั้งการค้าและการลงทุน เพื่อเชื่อมโยงออกไปสู่ภูมิภาคอื่น ดังนั้นเพื่อจะให้เกิดภาพนั้นอย่างชัดเจนจะต้องปรับปรุงแก้ไข Missing Link ทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศระหว่างกันให้สำเร็จก่อน นอกเหนือไปจากการเชื่อมโยงทางคมนาคมขนส่งแล้วความเชื่อมโยงในเรื่อง Digital Infrastructure ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน เพื่อให้สอดรับกับโลกธุรกิจในยุคปัจจุบันและอนาคต

     2.Synchronized ACMECS Economies ซึ่งข้อเสนอประเด็นต่าง ๆ ในหัวข้อนี้ เน้นถึงการ Unlock ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ และอำนวยความสะดวกทางการค้า การลงทุน และการขนส่งระหว่างกันให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด

     3.Smart และ Sustainable ACMECS ในประเด็นนี้ทางสภาธุรกิจต้องการเน้นที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความสามารถและตอบรับกับอุตสาหกรรมในอนาคตได้ และในส่วนที่จะเป็นการทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนทั้งในธุรกิจการเกษตร การท่องเที่ยว และอื่น ๆ เราต้องพัฒนาหลายๆสิ่งร่วมกันเพื่อให้พัฒนาอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ข้อเสนอให้รัฐบาลทั้ง 5 ประเทศ ร่วมกันจัดทำ ACMECS Single Visa เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวให้มากที่สุดเพื่อผลในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั้ง 5 ประเทศ ในการมาเพียงครั้งเดียวตาม Concept "Five Countries One Destination"

    อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต่อไปในอนาคตของสภาธุรกิจ ACMECS นั้นจะมีการดำเนินการ ดังนี้

   1.เพื่อให้เกิดการดำเนินงานต่อไปให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต ทางสภาธุรกิจ ACMECS จะทำ Dashboard ขึ้นมาฉบับนึงเพื่อเป็นเอกสารในการติดตามงานว่า ข้อเสนอต่างๆ ได้มีการดำเนินการไปถึงในขั้นตอนใดบ้าง เพื่อความสะดวกในการติดตามงานและจะได้เห็นภาพการพัฒนาที่อย่างต่อเนื่องที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

   2.เพื่อรองรับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในโลกธุรกิจปัจจุบัน รัฐบาล ACMECS และภาคเอกชน ACMECS จะต้องเร่งรัดพัฒนาเราเองให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนที่เข็มแข็ง และรองรับโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ๆในโลกปัจจุบัน เช่น โครงการ Belt and Road, กรอบการเจรจา RCEP และ กรอบการเจรจา CCPIT ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ โดยการจัดประชุมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อหารือถึงการพัฒนาไปด้วยกัน

    อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!