WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1.AAA A AA1นายก

นายกฯ ชวนคนไทยใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตนเองจากฝุ่นจิ๋ว และโคโรนาไวรัส

   นายกรัฐมนตรี ชวนคนไทยใส่หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM 2.5 และให้ความรู้การป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ พร้อมแนะประชาชนช่วยลดฝุ่นด้วยการงดการใช้รถยนต์ที่มีควันดำ ลดการเผาขยะ

     บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี นำชมนิทรรศการ “รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5” และนิทรรศการความรู้ เรื่องการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัส โดยมีการนำเสนอเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร และหน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยง พร้อมมอบหน้ากากป้องกันฝุ่นละออง สื่อประชาสัมพันธ์ แก่คณะรัฐมนตรี และสาธิตการสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ถูกต้อง

      นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยประชาชนในสถานการณ์การติดเชื้อโคโรนาไวรัสจากประเทศจีน โดยรัฐบาลได้ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันอย่างสูงสุด มีการคัดกรองในทุกมิติอย่างเหมาะสม และให้ความเชื่อมั่นว่า เรามีการคัดกรองนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนทั้งหมดจากทุกเมือง รวมทั้งได้ให้คำแนะนำไกด์ทัวร์ นักท่องเที่ยว ลูกทัวร์หากมีอาการป่วยรีบไปพบแพทย์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทำงานอย่างหนัก มีทีมสนับสนุนหมุนเวียนทำงาน ตลอด 24 ชั่วโมง เราต้องเชื่อมั่นว่ารัฐบาลได้ทำอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้มีการแพร่เชื้อในประเทศ เราป้องกันตัวเองได้ โดยกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สามหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด สำหรับฝุ่น PM 2.5 ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ทุกวันจากเว็บ Air4Thai  และช่วยกันลดฝุ่นด้วยการงดการใช้รถยนต์ที่มีควันดำ ลดการเผาขยะ ไม่เผาป่า

      นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน EOC ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฝ้าระวังร่วมกับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครที่ตรวจพบค่า PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ให้รายงานจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยเฝ้าระวังใน 4 กลุ่มโรค คือ โรคระบบทางเดินหายใจไม่มีไข้ โรคหัวใจขาดเลือด โรคผิวหนัง และโรคตาอักเสบ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการดูแลตนเอง ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งสื่อออนไลน์ แผ่นพับความรู้

     ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขอให้ประชาชนติดตาม ตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่ ได้ที่แอปพลิเคชัน Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ งดการใช้รถยนต์ที่มีควันดำ ลดการเผาขยะ/เผาป่า รวมถึงจัดบ้าน/ห้องสะอาดปลอดฝุ่น (Clean Room)  โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยง โดยจัดเตรียมห้องที่มีประตูหน้าต่างปิดมิดชิด และใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดแทนการกวาด ป้องกันการฟุ้งกระจาย สำหรับกลุ่มเสี่ยงควรลดการทำกิจกรรมและออกกำลังกายกลางแจ้ง สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากาก N 95 เพื่อป้องกันฝุ่นเมื่อต้องออกไปยังพื้นที่เสี่ยง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจำ และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย

       นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจำ และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย ไม่ต้องรอ 14 วัน

        ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การแสดงผลงานหัตถศิลป์ไทย จากงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 11 ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2563   วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech)   รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5 จากกระทรวงสาธารณสุข โอกาสนี้ คุณหญิง แสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก นำคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบดอกป๊อปปี้แด่นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในโอกาสสัปดาห์ดอกป๊อบปี้บานวันทหารผ่านศึก

       นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT  เผยแพร่และประชาสัมพันธ์การจัดงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 11 โดยได้นำผลงานหัตถศิลป์ไทยมา ผ้าไหม ผ้าฝ้าย มาแสดง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิดหนังใหญ่ร่วมกับครูวีระ มีเหมือน ครูศิลป์ของแผ่นดิน ประจำปี 2562  โดยนายกรัฐมนตรียังได้ยกย่องครูศิลป์แผ่นดินในการรักษามรดกวัฒนธรรมของไทยเพื่อส่งต่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป

      จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลงานตัวอย่าง ที่จะถูกนำไปแสดงในวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2563 จัดขึ้นโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ได้แก่ ระบบผสมปุ๋ยและจ่ายน้ำอัจฉริยะ ระบบควบคุมสภาวะแวดล้อมในโรงเรียน  ระบบควบคุมเครื่องเติมอากาศสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  ระบบพลาสมาเย็น  ลูกบอลดับเพลิง  และ ระบบควบคุมอุณหภูมิการเผาไหม้ของเครื่องกังหันก๊าซแบบอัตโนมัติ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมทุกผลงานที่นำมาจัดแสดง โดยแนะให้นำผลงานเหล่านี้ไปต่อยอดและพัฒนาเพื่อที่จะนำไปสร้างประโยชน์ต่อไป

        โอกาสนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำเสนอผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup)  เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อาทิเช่น หุ่นยนต์กู้ภัยและระบบทำแผนที่สามมิติ  หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด  แอปพลิเคชันติดตามรถโดยสารประจำทางแบบเรียลไทม์ และ Container Truck Gate Automation หรือระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์และป้ายทะเบียนรถบรรทุกอัตโนมัติ  ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองใช้หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด พร้อมเสนอว่า อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณาการงานกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) เพื่อให้ประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกต่อประชาชนมากเพิ่มขึ้น

        จากนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำคณะ “รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5” ประชาสัมพันธ์การทำงานของหน่วยงานในสังกัด ที่ได้ดำเนินการและติดตามสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองอย่างใกล้ชิด เพื่อสุขภาพของประชาชน ประกอบด้วย แอปพลิเคชัน Air4Thai และการประชาสัมพันธ์การใส่หน้ากากอนามัย โดยนายกรัฐมนตรีได้สาธิตวิธีการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องแก่สื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม รวมถึงกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้สูงเกินไปเพื่อที่ประชาชนจะสามารถจัดหาได้

          ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี คุณหญิง แสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก นำคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อมอบกระเช้าดอกป๊อบปี้ จากมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก พร้อมกลัดดอกป๊อปปี้แด่นายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์ เนื่องในโอกาส สัปดาห์ดอกป๊อบปี้บานวันทหารผ่านศึก ระหว่างวันที่ 25 ม.ค. – 3 ก.พ. 63 โดยนายกรัฐมนตรียังกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนช่วยอุดหนุนและติดดอกป๊อบปี๊ เพื่อรำลึกถึงทหารผ่านศึกและอาสาสมัครที่ร่วมกันต่อสู้ป้องกันประเทศชาติ โดยรายได้จะถูกนำกลับไปใช้เพื่อทหารผ่านศึกและครอบครัวด้วย

        โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์ไวรัสโคโรนาว่า รัฐบาลได้ดำเนินการตรวจสอบและติดตามอย่างเคร่งครัด สั่งการให้จัดตั้งวอร์รูมเพื่อสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท่าอากาศยานทุกแห่งได้มีการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเข้มงวด โดยนายกรัฐมนตรีย้ำด้วยความห่วงใยขอให้ประชาชนทุกคน ทานอาหารสุกและร้อน ใช้ช้อนกลาง รวมถึงหมั่นล้างมือเป็นประจำ และหากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ต้องรอ 14 วัน

 

นายกฯ สั่งยกระดับด้านสาธารณสุขรับมือ โคโรน่า - ลั่นคุมสถานการณ์ได้

  นายกฯ แถลงรับมือโคโรน่า ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์เป็นระดับ 3 ย้ำชี้แจงข้อมูลตามจริง มั่นใจมีความพร้อม- คุมสถานการณ์ได้ 100%  ส่วนเรื่องอพยพคนไทยที่อู่ฮั่น พร้อมทำได้ทันที รอแค่จีนอนุญาต พร้อมยกปัญหาฝุ่นพิษเป็นวาระแห่งชาติ

  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม  ได้ออกแถลงการณ์ กรณี “ไวรัสโคโรน่า” และ “ฝุ่น PM 2.5” ว่า  ตามที่ทุกท่านได้ติดตามข้อมูลข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง กรณีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส “โคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ณ เวลานี้ การคัดกรองและเฝ้าระวัง เป็นไปอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

  ซึ่งรัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นระดับ 3 ให้สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ เพื่อติดตามสถานการณ์โรค ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และกำหนดมาตรการต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมทั้ง สามารถบริหารจัดการทรัพยากรด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และทางทหาร ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวัง ค้นหา และคัดกรอง ณ ช่องทางเข้า-ออกประเทศ ทั้ง 5 สนามบิน

 และช่องทางอื่นๆ ทั้งทางบก บริเวณชายแดน และทางเรือ ณ ท่าเรือต่างๆ ด้วย เพื่อคัดกรองผู้เดินทางมาจากทุกพื้นที่เสี่ยง อาทิ เมืองอู่ฮั่น กว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง และเมืองอื่นๆ ที่มีการระบาด ตามคำประกาศของทางการจีน

 นอกจากนี้ ยังมีความพร้อมในการรักษา ส่งต่อ และการจัดตั้งพื้นที่ควบคุม เมื่อมีความจำเป็น ที่สำคัญ รัฐบาลได้บูรณาการการทำงานร่วมกันของกระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม รวมทั้งกรมประชาสัมพันธ์ในการรับมือ ป้องกัน และสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง แม่นยำ ให้กับประชาชนชาวไทย และชาวต่างประเทศในบ้านเรา

  โดยผมได้เน้นย้ำการชี้แจงสถานการณ์ตามข้อเท็จจริง โดยไม่ปิดบังข้อมูลใดๆ และยึดหลักการว่า “ชีวิตและสุขภาพของประชาชนสำคัญที่สุด” ขอให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของรัฐบาลอยู่ในระดับมาตรฐานสากล การคัดกรองได้ผลดี พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสนี้ 8 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากประเทศจีน โดย 5 รายแรกหายแล้ว แพทย์ให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดี เหลือผู้ป่วยอีก 3 ราย ที่ยังคงรับการรักษาในโรงพยาบาลของเรา สถานการณ์โดยรวมขณะนี้

 ถือว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 100% แต่เราต้องไม่ประมาท เราต้องช่วยกันสอดส่อง เป็นหูเป็นตา ในการเฝ้าระวังและดูแลตัวเอง ให้ความร่วมมือกับทางการ

 โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นโรคที่ป้องกันได้ โดยขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกันกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ เน้นดูแลสุขอนามัยเรื่อง “กินร้อน ช้อนกลางล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย” ทั้งนี้ รัฐบาลขอยืนยันในความพร้อมของระบบการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีมาตรการเฝ้าระวังและการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ติดอันดับ 6 จาก 195 ประเทศ จากการจัดอันดับโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของทุกคน ว่าเราเป็นที่ยอมรับในระดับโลก

 สำหรับ การเตรียมอพยพชาวไทยในพื้นที่เสี่ยง ณ เมืองต่างๆ จากประเทศจีนนั้น ขณะนี้กระทรวงกลาโหมมีความพร้อมที่จะปฏิบัติได้ทันที ในโอกาสแรกที่ได้รับการอนุญาตจากประเทศจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงานอย่างใกล้ชิดของกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบัน เราสามารถติดต่อได้กับทุกคน ทั้งในลักษณะบุคคลและการแจ้งการปฏิบัติเป็นกลุ่ม

 สิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรคระบาด คือ “ข่าวปลอม” รวมทั้งแหล่งข่าวที่หวังดี แต่อาจคลาดเคลื่อน รัฐบาลได้วางแนวทางการรับมือ ในการกำหนดช่องทางสื่อสารหลัก เพื่อให้เกิดเอกภาพ และน่าเชื่อถือได้ที่สุด จากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้โดยตรง ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

 ดังนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกคน สื่อโซเชียล ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการแชร์ หรือเผยแพร่ออกไป เนื่องจากจะสร้างความสับสน และตื่นตระหนกในภาพรวมของประเทศได้

 ส่วนมาตรการในระยะยาว และคำแนะนำในการปฏิบัติตัวของแต่ละคน และข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบันที่สุด ในรายละเอียดอื่นๆ พี่น้องประชาชนสามารถติดตามข่าวสารได้อย่างต่อเนื่องจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการแถลงข่าวทุกวัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายนะครับ

  ในส่วนของสถานการณ์ปัญหา “ฝุ่นละออง PM2.5” ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รัฐบาลมีความห่วงใยและไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการกำหนดมาตรการและแนวทางการป้องกันมาอย่างต่อเนื่อง และได้ประกาศให้ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เป็นวาระแห่งชาติ

 ออกมาตรการและแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนฯ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง หรือแหล่งกำเนิด และการเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบ เครื่องมือ และกลไกการบริหารจัดการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหมกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทวงอุตสาหกรรม และอื่นๆ ทั้งหมดถูกกำหนดอยู่ในแผนปฏิบัติการระยะสั้น และระยะยาว

      รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่ากรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ใช้ระบบบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Single Command ให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเข้มงวด ในการกำกับดูแลควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นละออง ทั้งจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาในที่โล่ง โดยให้รายงานผลการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง เพื่อรายงานให้รัฐบาลทราบเป็นประจำ “ทุกวัน” ถึงผลการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติรายกิจกรรม

 สำหรับ การแก้ไขปัญหาในระยะยาวนั้น รัฐบาลมีแผนเร่งการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงกันทุกระบบ การปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ใหม่ รวมถึงรถโดยสารสาธารณะ การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมกับกำชับให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นตามแผนงานที่กำหนดหรือให้แล้วเสร็จก่อนกำหนด

  สำหรับ ภาคการเกษตรจะมีการรณรงค์ให้ใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุการเกษตร เพื่อไม่ให้มีการเผา และส่งเสริมเกษตรกรที่ไม่ใช้วิธีการเผา การปรับเปลี่ยนร่องการปลูกพืชการเกษตรให้สามารถใช้เครื่องมือได้ โดยเฉพาะอ้อย โรงงานเอกชนต้องร่วมมือกันจัดหาเครื่องจักรที่มีราคาสูงให้ประชาชนและเกษตรกรใช้ได้ นอกเหนือจากการสนับสนุนจากภาครัฐ

  สำหรับภาคอุตสาหกรรม จะมีการปรับปรุงมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล และกำกับดูแลควบคุมการระบายมลพิษอย่างเข้มงวด ทางด้านสาธารณสุข ได้มีการเปิดคลินิกมลพิษเพื่อรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง มีการขอความร่วมมือจัด “ห้องสะอาด” หรือ clean room ตามศูนย์เด็กเล็ก บ้านพักคนชรา และโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมไปถึงการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดทำแผนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ

  พี่น้องประชาชนครับ แม้ช่วงนี้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ที่เป็นช่วงเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศจะแปรปรวน ความกดอากาศอ่อนกำลังลง ก็เป็นอีกช่วงที่เราต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องสำหรับรายละเอียดมาตรการตามแผนปฏิบัติการที่ได้กล่าวข้างต้น พี่น้องประชาชนสามารถ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กรมควบคุมมลพิษ

 สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า รัฐบาลได้ยกระดับให้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ติดตามและประเมินสถานการณ์ รวมทั้งการสั่งการต่างๆ ทั้งในเรื่องของไวรัสโคโรนา และฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างเป็นเอกภาพ โดยผมจะกำกับดูแลเองอย่างใกล้ชิด เพื่อหาข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการของทุกกระทรวงรายกิจกรรมเพื่อสั่งการเพิ่มเติมได้ทันที จากมาตรฐานตามกฎหมายที่กำหนดไว้เดิม เมื่อจำเป็น

 โดยต้องร่วมกันแก้ไขทุกปัญหาของประเทศให้เป็นไปในทางเดียวกัน ตามหลักสากลอย่างเข้มงวดและปฏิบัติได้จริง ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน และให้ความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขทุกปัญหาของประเทศด้วยดีมาโดยตลอด ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย รักษาสุขภาพ และช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ กลับสู่สถานการณ์ปกติให้ได้โดยเร็ว และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยของทุกคนด้วย นะครับ

คลัง มั่นใจ `โคโรน่า` ไม่กระทบบริโภคในปท.- เร่งคุยภาคท่องเที่ยวรับมือ

   คลัง ยังมั่นใจ โคโรน่า ไม่กระทบการบริโภคในประเทศ ด้านปลัดคลัง แนะภาคท่องเที่ยวเตรียมแผนรับมือ ดึงนักท่องเที่ยวกลับ หากสถานการณ์คลี่คลาย

   นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า จะไม่กระทบต่อการบริโภคในประเทศของไทย เพราะยังพบว่าประชาชนยังเดินทางจับจ่ายใช้สอยตามปกติ ส่วนผลกระทบด้านการท่องเที่ยวนั้น เป็นเรื่องที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์อยู่ว่าเป็นอย่างไร

   ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังพร้อมดูแลสถานการณ์การท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาร่วมกับหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่หลายภาคส่วนต้องเข้ามาดูแล ไม่ใช่กระทรวงการคลังเท่านั้น ซึ่งอาจจะต้องหารือกันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบตามไปด้วย

   สำหรับการประเมินในเบื้องต้น สถานการณ์ดังกล่าวจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม-ธันวาคม2562) เนื่องจากการท่องเที่ยวขณะนั้นยังเป็นปกติ และการจัดเก็บรายได้ของกรมจัดเก็บภาษียังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และค่าเงินบาทก็แข็งค่าลดลงก็ตาม แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานถึงผลกระทบในไตรมาสที่ 2 ว่าเป็นอย่างไร

   นายประสงค์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากไวรัสโคโรนานั้น นอกจากภาคการท่องเที่ยวจะต้องรับมือกับการระบาดของโรคดังกล่าวแล้ว จะต้องมีแผนเตรียมพร้อม หากสถานการณ์คลี่คลาย ไทยจะดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน รวมถึงกระทรวงการคลังด้วย

   “ต้องคิดไปข้างหน้า ว่าจะทำให้หลังจากนี้เมื่อสถานการณ์จบแล้ว นักท่องเที่ยวจะมาเราได้ยังไงให้เร็วที่สุด ซึ่งไม่ใช่แต่นักท่องเที่ยวจีน ตอนนี้ เราต้องมองถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโรคโคโรนา ว่าจะดึงมายังไงเพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจีน กระทรวงท่องเที่ยว หรือ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ต้องไปดู ดึงมาแบบเช่าเหมาลำได้หรือไม่”นายประสงค์ กล่าว

ส.อ.ท.ห่วงงบฯช้า-โคโรน่า กดศก.ย้ำรัฐฯออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเร่งเบิกจ่าย

   ส.อ.ท. รับห่วงเศรษฐกิจปีนี้ทรุดหนัก หลังงบประมาณ 63 ล่าช้า - ไวรัสโคโรน่ากระทบท่องเที่ยว แนะรัฐออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินใช้งบประมาณให้ได้ ก่อนเศรษฐกิจสะดุดกว่า

   นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดคือการใช้งบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้าออกไปหลายเดือนซึ่งถ้าหากงบประมาณยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ภายในเดือนมีนาคมจะกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมากซึ่งภาครัฐจะต้องหา แนวทางการใช้งบประมาณเช่นการออกพ.ร.ก. ฉุกเฉินเพื่อให้สามารถนำงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุนออกมาเบิกจ่ายได้

   ขณะเดียว ภาคเอกชนยังเสนอที่จะตั้งคณะทำงานเพื่อไปร่วมทำงานกับกรมบัญชีกลาง เร่งระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความคล่องตัวมากขึ้น เพราะปัจจุบันการพิจารณาแต่ละโครงการขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดเล็ก ควรจะต้องแยกระบบการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อลดอุปสรรคในการอนุมัติโครงการของภาครัฐและเอกชนให้เร็วมากยิ่งขึ้น แต่ยืนยันว่า ระบบการจัดซื้อจัดจ้างจะต้องมีความโปร่งใสและรวดเร็ว

   ส่วนปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่ายอมรับว่ามีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างแน่นอน เพราะจีนเป็นนักท่องเที่ยวหลักขณะที่คนไทยก็ตื่นตระหนกและหยุดการท่องเที่ยวไม่ออกมาจากจ่ายย่อมทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวแน่นอน ซึ่งยังเชื่อว่ามาตรการของรัฐบาลจะสามารถควบคุมได้ โดยระยะแรกมีการเฝ้าระวัง และรัฐบาล ได้เตรียมแผน 2 ไว้อยู่แล้ว ภาคเอกชนคาดหวังให้สถานการณ์คลี่คลายให้ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้

   "กังวลมากเพราะวันนี้ไม่ใช่แค่งบประมาณที่ล่าช้าและมีโอกาสที่จะช้าออกไปอีกและยังมีปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่า จะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ไม่มีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ หากเบิกจ่ายได้หมื่นล้าน เงินก็จะหมุนได้หลายแสนล้านบาท"นายสุพันธ์ กล่าว

จุรินทร์` ประเมินสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า ก่อนเยือนจีนเพื่อขายผลไม้

   "จุรินทร์" สั่งสำนักงานส่งเสริมการค้าในจีน ประเมินสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าร่วมกับก.ต่างประเทศ ก่อนสรุปกำหนดการเยือนจีนเปลี่ยนแปลงหรือไม่ พร้อมให้ความร่วมมือสาธารณสุขด้านหน้ากากอนามัย

   นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงสถานการณ์ไวรัสอู่ฮั่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการณ์เดินทางภารกิจกระทรวงพาณิชย์ที่ประเทศจีนกลางปีนี้ว่า ยังไม่อยากตอบไปก่อนเพราะยังต้องรอทางการจีนแก้สถานการณ์ซึ่งทางการจีนก็กำลังเร่งรัดในการแก้สถานการณ์อยู่

   ขณะนี้ที่ปรึกษาการพาณิชย์ของไทยที่ประจำอยู่ในประเทศจีนซึ่งก็มีอยู่ด้วยกัน 7 สำนักงานก็กำลังติดตามสถานการณ์และมีการหารือร่วมกันกับผู้แทนของกระทรวงการต่างประเทศของไทยประจำที่นั่น รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์และคาดว่าคงจะรายงานกลับมาให้ทางกระทรวงทราบโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ประเมินสถานการณ์

   ส่วนกำหนดการจะเดินทางไปส่งเสริมการขายผลไม้ไทยที่หนานหนิงมณฑล กวางสี ในช่วงวันที่ 22 -23 เมษายน 2563 ที่จะถึงนี้ก็จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปก็จะขอรอฟังการประเมินสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามคิดว่าอาจจะวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็จะได้รับคำตอบ เพราะผู้ที่มีหน้าที่ประเมินเบื้องต้นก็คือสำนักงานการค้าไทยในประเทศจีน หลังจากนั้นผู้บริหารกระทรวงก็จะมาหารือกันว่าจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง

   สำหรับ เรื่องหน้ากากอนามัย ที่เป็นที่ต้องการของประชาชนนั้น ขอให้เริ่มต้นที่กระทรวงสาธารณสุขและถ้าหากว่าติดขัดมีปัญหาตรงไหนในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปช่วยเหลือได้ก็ยินดี โดยพรุ่งนี้เข้าใจว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็จะมีการหารือกันเรืด้วย เท่าที่ทราบจากข่าวทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้เตรียมการที่จะมีความเห็นที่จะนำเสนออยู่ด้วย

อนุสรณ์ ` คาดไวรัสโคโรนาทำเม็ดเงินท่องเที่ยวไทยวูบ 1.2 แสนลบ.

 "อนุสรณ์ ธรรมใจ" ประเมินไวรัสโคโรนาระบาด กระทบเม็ดเงินท่องเที่ยวไทยหายไปประมาณ 1.2 แสนลบ.  กดจีดีพี เอเชียแปซิฟิคปีนี้โตไม่ถึง 6% ส่วนของจีนโตไม่ถึง 5.8% ส่วนไทยคาดกระทบจีดีพี Q1 -Q2 โตเพียง 1.8-2.4%

 ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ผลกระทบของการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่โคโรนาไวรัสจะทำให้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเชียปีนี้อาจไม่กระเตื้องขึ้นอย่างที่คาด

  โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนอาจต่ำกว่า 5.8% ในปีนี้ และอาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียแปซิฟิคในปีนี้ไม่ถึง 6% ส่วนผลกระทบที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวไทยและเศรษฐกิจไทยนั้น

 ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวว่า จะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรงกว่าการแพร่ระบาดของโรคซาร์แต่ผลกระทบต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิตและอัตราการเสียชีวิตอาจไม่รุนแรงเท่าโรคไข้หวัดซาร์ และการแพร่ระบาดไม่น่าจะยืดเยื้อเท่ากรณีโรคซาร์เนื่องจากมีการใช้มาตรการเฉียบขาดทางด้านสาธารณสุขในการควบคุมโรค

 สาเหตุของผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจรุนแรงฉับพลันในระยะสั้นมากกว่าโรคซาร์เป็นผลมาจากการควบคุมการเดินทางอย่างเข้มงวด การปิดเมืองห้ามเข้าออกไปยังเมืองอูฮั่น เมืองจือเจียง เมืองซื่อปี้ เมืองหวางกาง รวมทั้งการสั่งห้ามจัดกิจกรรมทัวร์ท่องเที่ยวต่างประเทศของทางการจีน

  แม้ทางองค์การอนามัยโลกจะยังไม่ประกาศกรณีการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินระดับโลก แต่ต้องคอยติดตามสถานการณ์ว่า การปิดเมืองและการห้ามการเดินทางเข้าออกในหลายพื้นที่จะสามารถหยุดภาวะการแพร่ระบาดได้แค่ไหน มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสองอาจจะขยายตัวได้เพียง 1.8-2.4%

 ในเบื้องต้น คาดผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องของไทยไม่ต่ำกว่า 80,000-120,000 ล้านบาทหากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในต้นเดือนมีนาคม หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยและเอเชียได้ขณะนี้ ในเบื้องต้นจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ลดลงประมาณ 1-2 ล้านคน และ นักท่องเที่ยวจากต่างชาติลดลงไม่ต่ำกว่า 2% ของเป้าหมาย

 รัฐบาลต้องการให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเป็น 41.8 ล้านคนในปีนี้และสร้างรายได้เพิ่มเป็น 2.2 ล้านล้านบาท ติดอันดับ 1 ใน 6 ของประเทศที่สร้างรายได้ท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก เศรษฐกิจไทยจึงเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคบริการและภาคการท่องเที่ยวมากขึ้นตามลำดับ ผลกระทบจากโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่จึงกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับที่รุนแรงกว่าการแพร่ระบาดของโรคซาร์เมื่อ 17 ปีที่แล้ว

  องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ระบุว่า รายได้ของภาคท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิก จะเติบโตไม่เกิน 7% เมื่อเจอกับการระบาดของไข้หวัดโคโรนาในจีนย่อมทำให้การเติบโตลดลงอาจไม่ถึง 5% ย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้การท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวหรือธุรกิจเชื่อมโยงกันทำให้อัตราการเติบโตของรายได้รวมท่องเที่ยวไทยลดลงในปีนี้ ปี 2563 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยจะหดตัวในปีนี้

 อย่างไรก็ตาม ทางการไทยควรปรับกลยุทธในการเพิ่มรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายต่อหัวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น มากกว่า เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ ไม่ควรนำเอามาตรการ ชิม ช้อป ใช้ อินเตอร์ หรือ แจกเงินฟรีให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเนื่องจากผิดหลักการของการดำเนินนโยบาย เพราะเงินที่เอามาแจกนั้นเป็นเงินของประชาชนผู้เสียภาษีชาวไทย

  หากจะกระตุ้นการท่องเที่ยว ควรบริหารจัดการค่าเงินบาทให้อ่อนค่า ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายให้ได้ แก้ปัญหาฝุ่นควันพิษ มลพิษทางการอากาศ PM2.5 เร่งรัดให้สามารถนำงบลงทุนจากงบปี 2563 มาพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว จะแก้ปัญหาการท่องเที่ยวได้ดีกว่าเอาเงินภาษีประชาชนมาแจกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาก

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!