WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

BOAธปท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ มี.ค.อยู่ที่ 51.5 ดีขึ้นจาก ก.พ.ที่ 48.2 ตามความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ

      ธปท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือน มี.ค. ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อน และเกินกว่าระดับ 50 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวทั้งด้านการผลิต-คำสั่งซื้อที่เร่งขึ้นก่อนหยุดยาวสงกรานต์  แต่เมื่อดูดัชนีฯ ที่ปรับฤดูกาลแล้วยังคงต่ำกว่าระดับ 50 

      ส่วนอีก 3 เดือนข้างหน้าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวทาง ศก. แต่สัดส่วนผู้ที่ประเมินว่าภาวะธุรกิจจะดีขึ้นปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากความกังวลต่อแรงส่ง อุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว

       ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนมีนาคม 2559 ดัชนีฯ ปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ระดับ 48.2 มาอยู่ที่ระดับ 51.5 ตามความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะผู้ประกอบการในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่ม ยานยนต์ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีและพลาสติก ตามองค์ประกอบด้านการผลิตที่ปรับดีขึ้นมาก จากการเร่งผลิตเพื่อให้สอดรับกับคาสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์  ส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการปรับดีขึ้นเช่นเดียวกัน

     อย่างไรก็ดี เมื่อขจัดผลของปัจจัยชั่วคราวด้านฤดูกาลออก พบว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการอยู่ในระดับ 49.2 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบาง

      ในอีก 3 เดือนข้างหน้า แม้ว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่าภาวะทางธุรกิจจะดีขึ้นจากปัจจุบัน สะท้อนจากดัชนีฯ ที่อยู่เหนือระดับ 50 แต่สัดส่วนของผู้ประกอบการที่ประเมินว่าภาวะทางธุรกิจจะดีขึ้นปรับลดลง โดยดัชนีฯ มีทิศทางโน้มลงจากระดับ 54.6 ในเดือนก่อน มาอยู่ที่ระดับ 53.6 ในเดือนนี้ แสดงถึงความกังวลของภาคธุรกิจที่มีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยเฉพาะความกังวลต่ออุปสงค์จากตลาดในประเทศต่ามีความสาคัญเพิ่มขึ้นในเดือนนี้

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

ศก.ไทยฟื้นช้า-ส่งออกโคม่ากสิกรฯเล็งหดจีดีพีมิ.ย.นี้'อุ๋ย'แนะอัดฉีดเงินกระตุ้น

    ไทยโพสต์ * ศูนย์วิจัยกสิกรฯ มองเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้า ส่งออกน่าห่วง ส่อติดลบ จับตาปัจจัยเสี่ยงใน-นอกประเทศ ก่อนหั่นจีดีพีในเดือน มิ.ย.นี้ต่ำกว่า 3% ด้าน "ปรีดิยาธร" หวังรัฐอัดฉีดเงินกระตุ้น ศก.เร่งด่วน

   นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.นี้ ศูนย์ฯ เตรียมปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยลง จากเดิมที่คาดว่าจะขยายได้ 3% และการส่งออกอยู่ที่ 0% จากคาดการณ์เดิมขยายตัว 2% เนื่อง จากยังมีปัจจัยที่เข้ามากดดันภาพรวมเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาภัยแล้ง ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ต่อรายได้เกษตรกร ซึ่งจะมีผลต่อการบริโภคภายในประเทศ และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน ที่ยังกดดันให้ระยะข้างหน้าภาคการส่งออกของไทยจะยังไม่ฟื้นตัว

     "ความกังวลเรื่องภัยแล้ง จะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้การบริโภคภาคครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชน ชะลอตัวลง ดังนั้น หากพิจารณา ตามข้อมูลทั้งหมด จะพบว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังคล้ายกับปีก่อน โดยแรงขับเคลื่อนหลักจะยังมาจากการลงทุนของภาครัฐและการท่องเที่ยว โดยศูนย์ฯ ขอติดตามสถานการณ์ด้านต่างๆ อีก 3-4 เดือนจากนี้ ก่อนจะมีการปรับประมาณการใหม่อีกครั้ง โดยยอมรับว่าการส่งออกมีโอกาสขยายตัวติดลบ" นายเชาว์กล่าว

       นางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวเฉลี่ย 2.8% โดยยังเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยปัจจัยถ่วงหลักมาจากความอ่อนแอของกำลังซื้อในภาคครัวเรือน การส่งออกที่หดตัวลงจากปัจจัยลบเรื่องเศรษฐกิจโลก ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.3% จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น

     โดยศูนย์ฯ คาดการณ์ว่าปัจจัยเรื่องงบกลางปีของรัฐบาล และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดี จะส่งผลดีต่อตัวเลขจีดีพีปีนี้ 0.9-1.1% ขณะที่ปัญหาภัยแล้งและรายได้เกษตรที่ลดลง การส่งออกที่โตต่ำกว่าคาด และการลงทุนภาคเอกชนที่เติบโตช้า จะมีผลกระทบต่อตัวเลขจีดีพี 0.9-1.2%

      ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานเสวนา Crisis Management and opportunity Beyound 2016 จัดโดยสภา ผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ว่า จากสถานการณ์การส่งออกของไทยที่มีติดลบมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกทั้งโลกยังติด ลบอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นห่วงว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ถ้าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังผันผวนอยู่ คาดว่าจะส่งผลถึงภาพรวมการส่งออกทั้งโลก รวมไปถึงเศรษฐกิจของไทยด้วย

      อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าภาครัฐจะนำเงินมาใช้เพื่อการพัฒนาประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่เร่งด่วนให้มากที่สุด

ม.หอการค้า เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.อยู่ที่ 73.5 ปรับลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3

     ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มี.ค. 59 อยู่ที่ระดับ 73.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 62.4

    ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 68.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 89.5

     ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งเป็นหลัก สำหรับปัจจัยลบอื่นๆ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลด GDP ปี 59 เหลือ 3.1% จากเดิมคาด 3.5% เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณอ่อนแรงลง, เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย, ความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน, ภัยก่อการร้ายจากเหตุระเบิดในเบลเยี่ยม

     ส่วนปัจจัยบวก ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขส่งออกเดือนก.พ. +10.27% ปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน และกนง.คงดอกเบี้ยที่ 1.5%

      นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มี.ค.59 ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 นับตั้งแต่เดือน พ.ค.58 และโดยรวมยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับปกติที่ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมากนักในช่วงนี้

       อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ หากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและปัญหาภัยแล้งคลี่คลายลง

     “ปัญหาภัยแล้ง และการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ผู้บริโภคเริ่มรู้สึกว่ามีรายได้น้อยลง ความเชื่อมั่นในอนาคตเริ่มหดหายไป หลังจากที่เคยมองว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะสดใสและน่าจะฟื้นได้ในครึ่งปีแรก แต่ตอนนี้ผู้บริโภคเริ่มมีมุมมองต่อสถานการณ์ในอนาคตลดลง ว่าไม่โดดเด่น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจล่าช้าออกไป จากเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาดีในช่วงครึ่งปีแรก ก็กลายเป็นว่าน่าจะเป็นปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4” นายธนวรรธน์ กล่าว

     สำหรับ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในไตรมาส 2 ยังมีทิศทางที่เป็นขาลงต่อเนื่อง แต่หวังว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะฟื้นกลับมาได้เร็ว ถ้ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาได้เป็นรูปธรรม ซึ่งหากทำได้เร็วจะทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นได้ และน่าจะปรับตัวได้เร็วสุดในเดือนพ.ค. แต่หากสถานการณ์ภัยแล้งยังครอบคลุม ดัชนีความเชื่อมั่นอาจจะกลับมาดีขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.

     อย่างไรก็ดี จากการสำรวจดัชนีความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสถานการณ์ทางการเมือง กลับพบว่าดัชนีปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ซึ่งดัชนีในเดือนมี.ค.นี้ ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.4 เมื่อเทียบกับในเดือนก.พ. ซึ่งอยู่ที่ระดับ 88.5 โดยกลุ่มตัวอย่างเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองไทยอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ จากความเชื่อมั่นว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าไปตามโรดแมพที่วางไว้ รวมทั้งการเลือกตั้งจะยังมีขึ้นตามกำหนดภายในปี 60

    “ดัชนีความเห็นต่อสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวเป็นทิศทางขาขึ้น เพราะมองว่ารัฐธรรมนูญน่าจะเดินหน้าต่อไปตามโรดแมพที่รัฐบาลยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในปี 60 ทำให้คนมองสถานการณ์ทางการเมืองในเชิงบวกทั้งในปัจจุบันและอนาคต ผู้บริโภคมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่ใช่ตัวที่จะเป็นปัจจัยบั่นทอนเศรษฐกิจยธนวรรธน์ กล่าว

     ขณะที่ มองว่ามีโอกาสมากขึ้นถึง 51% ที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% จากก่อนหน้านี้ที่เคยคาดไว้ว่าจะขยายตัวในระดับ 3.0-3.5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังซึมและชะลอตัวลง การส่งออกในปีนี้ที่มีโอกาสจะติดลบ พร้อมกันนี้คาดว่าปัญหาภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ประมาณ 60,000 – 120,000 ล้านบาท แต่คาดว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะคลี่คลายได้ราวเดือน มิ.ย. หรือ ก.ค. ดังนั้นการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งโครงการประชารัฐ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงสงกรานต์ ตลอดจนงบประมาณที่ช่วยเยียวยาปัญหาภัยแล้งนั้น โดยรวมแล้วคาดว่าจะมีวงเงินช่วยมาหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ราว 100,000 -150,000 ล้านบาท

     “เม็ดเงินที่รวมกันจากโครงการประชารัฐ กระตุ้นใช้จ่ายช่วงสงกรานต์ และงบแก้ปัญหาภัยแล้ง รวมกันแล้วน่าจะทำให้มีเงินมาหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ราว 1 แสน – 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเพียงพอกับการแก้ปัญหาภัยแล้งได้ แต่จากปัญหามูลค่าการส่งออกที่หายไป ซึ่งหากปีนี้ -2% เงินจะหายไปจากระบบเศรษฐกิจ 1-2 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยา นอกจากจะได้เม็ดเงินจากโครงการเมกะโปรเจคท์เข้ามาช่วยในช่วงครึ่งปีหลังนายธนวรรธน์ กล่าว

   อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!