บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 3-9-2020

Details: Category: บทวิเคราะห์; Published: Thursday, 03 September 2020 21:47; Hits: 4837

อย่าลืม!...กดไลน์-แชร์กันด้วยนะครับ

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 3-9-2020

MARKET TALK

กลยุทธ์การลงทุน

มาตรการคนละครึ่งคือ รัฐช่วยค่าครองชีพรายวัน และ อุดหนุนเงินเดือนนักศึกษาจบใหม่ 50% ในเชิง Sentiment ถือเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกและตลาดรวม แต่น้ำหนักในทางเศรษฐกิจเป็นเหมือนแรงพยุง ไม่ใช่แรงผลักดันเศรษฐกิจ พอร์ตจำลอง ให้นำเงินที่พักใน DIF เข้ามาลงทุนใน CPALL และ TKN ส่วน Top Pick เลือก CPALL, SCC และ TKN

มาตรการเศรษฐกิจรอบนี้ มีน้ำหนักในการช่วยพยุงไม่ใช่ผลักดัน

การขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจออกมา ในวันที่การลาออกของ รมว.คลัง มีผล น่าจะมีส่วนช่วย Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นได้ระดับหนึ่ง สำหรับมาตรการที่นำเสนอออกมาวานนี้ มี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่กระเป๋าประชาชนเพื่อให้เกิดการจับจ่ายวงเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ประชาชน 50% วันละ 100 – 250 บาท เป็นระยะเวลาราว 3 เดือน ซึ่งยังต้องติดตามรายละเอียดว่าสามารถใช้จ่ายได้ในสถานที่ใดบ้างหากให้ร้านสะดวกซื้อเข้าร่วมโครงการก็จะเป็นผลดีต่อ CPALL โดยตรง มาตรการถัดมาเป็นเรื่องการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าจ้าง 50% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการว่างงานที่กำลังเร่งตัวสูงขึ้น ภาพรวมของมาตการนี้ในทางพื้นฐานฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีน้ำหนักเป็นเพียงแรงพยุงไม่ให้เกิดการยุบตัวของเศรษฐกิจไปมากกว่านี้ แต่อาจไม่มีน้ำหนักในทางขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโต สำหรับทิศทางของ SET Index วันนี้เชื่อว่าจะสามารถพยุงตัวและปรับขึ้นได้ต่อ พอร์ตจำลอง ให้นำเงินที่พักไว้ใน DIF 15% ของพอร์ต เข้ามาลงทุนใน CPALL 10% และ TKN 5% Top Pick เลือก CPALL, SCC และ TKN

5 หุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิโดยตรงและผ่าน NVDR (27 ส.ค.- 2 ก.ย.63)

ที่มา: ฝ่ายวิจัย ASPS

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฟื้น หนุนค่าเงิน Dollar แข็งค่าแรง

ราคาน้ำมันดิบโลกปรับฐานแรง 3% หลุด 45 เหรียญฯอีกหลังเมื่อวานนี้ แม้ Demand การบริโภคน้ำมันจะมีแรงหนุนจาก การผ่อนคลาย Lock down ทั่วโลก และ Trade war ผ่อนคลาย แต่ถูกกดดันจากปัจจัยฝั่ง Supply มากกว่าคือ 1.) พายุเฮอร์ริเคน Laura ที่อ่อนกำลังลง ส่งผลให้แท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก (กำลังการผลิตน้ำมันบริเวณนั้นราว 2 ล้านบาณ์เรล หรือ 2% ของ Supply น้ำมันทั่วโลก) เริ่มกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง 3.กระแสข่าวที่ว่าอิรัก(กำลังการผลิตราว 3.72 ล้านบาร์เรล/วัน หรือราว 15.5% -ของการผลิตในกลุ่ม OPEC) พิจารณาเข้าร่วมการตัดลดการผลิตถึงสิ้นปี 2563 เท่านั้น ทำให้ความกังวล Supply น้ำมันจะกลับเข้ามา และที่สำคัญ คือ Dollar Index ที่พลิกกลับมาแข็งค่าแรงติดต่อ 2 วัน รวมราว 0.7% อยู่ที่ 92.84 จุดวานนี้ หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐเห็นสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง ล่าสุด คือ ดัชนี ISM Manufacturing PMI) เดือน ส.ค. 2563 ฟื้นตัวมาที่ระดับ 56 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 54.5 จุด และแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน และคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐ (Factory Orders) เดือน ก.ค. ฟื้นตัวต่อเป็นเดือนที่ 3 โดยเพิ่มขึ้น 6.4%mom. ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 6%

โดยรวมราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยปัจจุบันราคาหุ้นน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันปัจจุบันไปแล้วจนเหลือ Upside จาก FV ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นช่วงสั้นให้รอจังหวะราคาหุ้นปรับฐานจนเห็น Upside จูงใจแล้วค่อยเข้าลงทุนจะปลอดภัยกว่าทั้ง PTT (Buy: FV@B41) และ PTTEP (Switch: FV@B100)

มาตรการฟื้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ดีต่อ Sentiment หุ้นค้าปลีก

ถึงแม้ปัจจุบันรัฐบาลไทยจะขาดขุนพลสำคัญทางเศรษฐกิจชั่วคราว คือ (ตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง) หลังนายปรีดี ดาวฉายลาออกมีผลเมื่อวัน 1 ก.ย.63 โดยประเด็นที่ให้น้ำหนัก คือ การสรรหาบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่จะเป็นใคร ?? และใช้เวลาสรรหายาวนานหรือไม่? (การสรรหาในรอบที่ผ่านมา ASPS พิจารณารอยต่อในช่วงอดีตรองนายกสมคิด กับ นายปรีดี ดาวฉาย ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน)

อย่างไรก็ตามแม้จะขาดรัฐมนตรีคลัง แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 (ก.ย.-ธ.ค.) ออกมาเมื่อวานนี้ กล่าวคือ ที่ประชุม ศบค. พิจารณาออกมาตรการการบริโภคครัวเรือนและภาคการท่องเที่ยวในประเทศ(สีเขียว) ซึ่งจะเริ่มมาตรการในเดือน ต.ค. 63 เป็นต้นไป 3 มาตรการ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนับตั้งแต่อดีต รมว.คลังนายปรีดีเข้ารับตำแหน่ง

ตั้งแต่ 12 ส.ค.- ปัจจุบัน

ที่มา: ASPS รวบรวม

 ชิมช็อปใช้ เบื้องต้นรัฐช่วยออกค่าใช้จ่าย 50% ประชาชนออก 50% ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค (ยกเว้น แอลกอฮอล์,บุหรี่) ไม่เกิน 3,000 บาท/คน และรัฐกำหนดจ่ายเงินให้ 100-200 บาท/วัน/คน ผ่าน Application “เป๋าตัง จำนวนทั้งหมด 15 ล้านคน วงเงินรวม 4.5 หมื่นล้านบาท (แตกต่างจากครั้งก่อนหน้า ปี 2562 ในช่วง 27 ก.ย.- พ.ย. เป็นรูปแบบ 1.) รัฐแจกเงิน 1 พันบาททันทีเข้าผ่าน Application “เป๋าตัง” และ 2.ให้เงินคืนทีหลังในรูปแบบ Cashback หลัง จากประชาชนมีการใช้จ่ายผ่าน Application “เป๋าตัง” (ดังตาราง)

เปรียบเทียบมาตรการชิมช็อปใช้ในอดีต และที่กำลังพิจารณา

ที่มา: ASPS รวบรวม

 การส่งเสริมการจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่: รัฐจะสมทบจ่ายกับนายจ้างไม่เกิน 50% ของค่าจ้าง หรือ 7,500 บาท ระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2563 - ก.ย.2564 รวม 2.6 แสนตำแหน่ง วงเงินรวม 2.3 หมื่นล้านบาท

โดยรวมทั้ง 2 มาตรการถือว่าช่วยกำลังซื้อของไทยในช่วง 4Q63 เป็นต้นไป โดยให้น้ำหนักไปที่มาตรการ ชิมช็อปใช้มากกว่า หากพิจารณา กลุ่มที่จะได้ประโยชน์ รัฐมุ่งไปที่ฐานราก เช่น หาบเร่ แผงลอย ร้านสะดวกซื้อ ถือว่าดีต่อ CPALL(Buy: FV@B75.5), CRC(Buy: FV@B33.5) และอาหารเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อ คาดได้ประโยชน์ เช่นกัน อาทิ TKN(Buy: FV64@B14) SAPPE(Buy: FV@B22)

 ท่องเที่ยว มาตรการที่ออกมา คือ ปรับปรุงโครงการ “เราไปเที่ยวกัน” ให้ดีขึ้น และเพิ่มในส่วนของให้ข้าราชการหยุดเพิ่มได้อีก 2 วัน เชื่อว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์คือ ธุรกิจโรงแรมในประเทศ อาทิ ERW รายได้โรงแรมในประเทศ เกือบ 100%, CENTELรายได้โรงแรมในประเทศ 41% ธุรกิจอาหาร 59% และสายการบิน AAV เห็นสัญญาณบวกธุรกิจ ทั้งความคืบหน้าวัคซีนทั่วโลก, โครงสร้างการแข่งขันที่ลดลง หลังล่าสุด THAI ยุบไทย สมายล์ และ BA เน้นที่ตลาดต่างชาติ

เริ่มเห็นแรงซื้อต่างชาติกลับมาในบางหุ้น อย่าง SCC, CRC

แม้ต่างชาติภาพรวมจะขายหุ้นไทยมาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท และขายผ่านทาง NVDR อีก 2.2 พันล้านบาท แต่หากเจาะลึกข้อมูลเข้าไปพบว่า เริ่มเห็นแรงซื้อต่างชาติกลับมาในบางหุ้น

ดังนั้นฝ่ายวิจัย ASPS จึงทำการคัดกรองหา 5 หุ้นเด่น ที่ต่างชาติทยอยสะสมทั้งทางตรง และผ่าน NVDR อย่างชัดเจน ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางภาพรวมที่ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นไทยทุกวัน ได้ผลลัพธ์ดังนี้

5 หุ้นที่ต่างชาติซื้อสุทธิโดยตรงและผ่าน NVDR (27 ส.ค.- 2 ก.ย.63)

ที่มา: ฝ่ายวิจัย ASPS

เชื่อว่า 5 หุ้นดังกล่าวยังมี Momentum ปรับตัวขึ้นต่อได้ ทั้งจากพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และเริ่มเห็นแรงซื้อต่างชาติกลับมา เข้ามาช่วยหนุนอีกแรง

เลือก CPALL SCC และ TKN เป็น Toppicks วันนี้

กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ต่างชาติทยอยสะสม SCC และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตการภาครัฐฯ “โครงการคนละครึ่ง” อย่าง CPALL และ TKN เป็น Top picks โดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้

Valuation หุ้น Top picks วันนี้

ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส

*TKN ใช้ Fair Value ปี 2564 ที่ 14 บาท

TKN(FV @ 14.00) นโยบายกระตุ้นการบริโภคในประเทศจากภาครัฐ ย่อมส่งผลบวกต่อเนื่องถึงยอดขายในประเทศของ TKN (สัดส่วนราว 30% ของยอดขาย) โดยสัดส่วนรายได้การขายในประเทศแบ่งเป็น 60% อยู่ในร้าน Modern trade และ 40% อยู่ในร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ส่วนแนวโน้ม 2H63 เร่งตัวขึ้นจาก 1H63 จากการเข้าสู่ฤดูกาลขายในจีน ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติปี 2563 อยู่ที่ 426 ล้านบาท (+8% yoy) และปี 2564 เพิ่ม 33% จากยอดขายและมาร์จิ้นดีขึ้น หากพิจารณาเชิง Valuation ถือว่าเด่น โดยมีค่า PER ปี 2564 อยู่ที่ 26.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ซื้อขายประมาณ 39 เท่า

CPALL (FV @ 75.50) เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตการภาครัฐฯ “โครงการคนละครึ่ง”ที่รัฐออกค่าใช้จ่ายให้ 100-250 บาท/วัน ซึ่งเหมาะสมสำหรับการนำมาใช้จ่ายได้ผ่านร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-ELEVEn แบบเต็มๆ เนื่องจากปัจจุบันลูกค้า 7-ELEVEn มีค่าใช้จ่ายต่อบิลที่ 79 บาท/บิล (ณ สิ้นไตรมาส 2) และลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 12-13 ล้านคน/วัน ขณะที่ Valuation ยังคงโดดเด่นโดยมี Upside เกือบ 20% ถือเป็นโอกาสสะสม

SCC (FV @ 424.00) SCC มีแผนจะนำบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง SCGP เข้าจดทะเบียนใน SET โดยให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้น SCC จองซื้อหุ้น IPO ได้ในอัตราส่วน 7.095 หุ้น : 1 หุ้น SCGP ราคาเดียวกับที่จะขายใน IPO ขึ้นเครื่องหมาย XB 10 ก.ย. 63 ธุรกิจ Packaging มีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในบรรดา 3 ธุรกิจหลักของ SCC จาก 7 ปีที่แล้วมีสัดส่วนกำไร 10% แต่ปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 22% โดยบริษัทคาดว่าจะสร้างการเติบโตของรายได้ถึง 100 % ใน 5 ปีข้างหน้า บวกกับมุมมองธุรกิจในระยะยาวที่เป็นบวกภายใต้ Business Model ที่แข็งแกร่ง ราคาปรับฐานลงมาลงมาจน Upside เปิดกว้างเกือบ 15%