WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 17-12-2020dbs
 ยอดค้าปลีก-PPIไม่สดใส แต่เฟด-ม.กระตุ้นศก.คืบหน้า
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้...ปิดยืนบวกได้ ปิด +4.88 จุด ที่ 1482.09 จุด มูลค่าซื้อขาย 1 แสนลบ. มีแรงขายตลอดวันแม้ตลาดเพื่อนบ้านสดใส เพราะปัจจัยลบเดิมๆ กังวลล็อกดาวน์กระทบเศรษฐกิจ และขายลดเสี่ยงก่อนหยุดยาว แต่มีแรงซื้อกลับเข้ามาช่วงเย็นคาดเก็งกำไรเฟด และมีเม็ดเงินไหลเข้า เก็งกำไร ม.กระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนข่าวดีเรื่องวัคซีนเริ่มใช้แล้ว ซื้อสุทธิมาก-ต่างชาติ ขายสุทธิมาก-รายย่อย YTD ต่างชาติขายสุทธิลดเป็น 259 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET ผันผวน ยอดค้าปลีก-PPI ไม่สดใส แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคืบหน้า เฟดยังสนับสนุนเศรษฐกิจ ปัจจัยบวกคือ แกนนำในสภาฯแจ้งมีความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนเฟดคงอัตราดอกเบี้ยและใช้ QE กระตุ้นเหมือนเดิม แต่พร้อมใช้ทุกเครื่องมือสนับสนุนให้ได้เป้าหมาย น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้นต่อ 20 cent เพราะสต็อกลดเกินคาด ดัชนีกังวล Vix ลดลงเป็น 22.5 จุด เช้านี้ DJ Futures เพิ่ม ส่วนไทยการลงทะเบียนคนละครึ่งวานนี้สำเร็จแล้ว ด้านปัจจัยลบคือ ตัวเลขยอดค้าปลีกและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PPI) ลดลง ดาวโจนส์วานนี้ปรับลง 45 จุด แต่ Nasdaq ทำ New High ได้ และยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังสูงมาก สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้น ปัจจัยที่ควรพิจารณาคือ 1) เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (EM) ยังเป็นกระแสเชิงบวก จากการที่รัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ สภาพคล่องมีอยู่มาก แต่ดอกเบี้ยต่ำ ตลาดหุ้นจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้ผลเร็ว 2) หากธปท.ออกมาตรการป้องกันบาทแข็งมากไป ก็อาจจะส่งผลลบต่อตลาดทุน 3) มีแรงขายทำกำไรลดเสี่ยงก่อนหยุดยาวตั้งแต่สัปดาห์หน้าเข้าสู่เทศกาลคริสมาสต์ และ 4) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐมีความสำคัญมาก หากล่าช้าอาจจะยิ่งส่งผลลบ แต่กลับกันหากสำเร็จจะเป็นบวกมาก คือมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบสูง การเล่นรอบระยะนี้คาดดัชนีซื้อ-ขายในช่วง 1450-1500 จุด หากไปต่อให้ระวังแนวต้าน 1500-1510 จุดแต่หากหลุด 1430 จุดเป็นสัญญาณไม่ดีอีกครั้ง ให้ Stop Loss แนวรับคือ 1450-1430 จุด ส่วนปัจจัยที่น่าติดตามคือ 1) ประกาศหุ้น SET 50 SET 100 แล้วเป็นไปตามคาด มีการเก็งกำไรหุ้นเข้า และขายหุ้นออก แต่ต้องยอมรับว่ามีการทำไปล่วงหน้าบางส่วนแล้ว 2) ดัชนี FTSE ที่ปรับปรุงหุ้นเข้า-ออกใหม่ มีผลพรุ่งนี้ 18 ธ.ค.63 ติดตามรายละเอียดได้ใน Daily Focus เช้านี้ 3) DTAC จะมีการชดเชยให้กับผู้ใช้บริการที่สูญเสียโอกาสในการลงทะเบียนคนละครึ่งวานนี้ และก.การคลังอาจจัดให้มีการลงทะเบียนรอบพิเศษเพิ่มเพื่อเยียวยา และ 4) นักลงทุนระยะยาวอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างไปคือ ทยอยสะสมในช่วงปรับตัวระยะนี้ เพื่อการลงทุนสำหรับปีหน้าและปี 65 ที่เศรษฐกิจและกำไรบจ.จะมีการฟื้นตัวหลังมีวัคซีนออกมา ทั้งนี้ DBS มีเป้าหมาย SET ปี 64 และ 65 เป็น 1,500 และ 1,686 จุด ตามลำดับ ด้วย EPS ปี 64 ที่ 67.44 บาท (+40%) และปี 65 ที่ 84.31 บาท (+25%)
# Stock Pick Today: COM7 มีประเด็นเก็งกำไรมาก 1) ได้เข้า SET50 รอบใหม่ 2) บาทแข็งนำเข้าสินค้า Mobile & IT ในต้นทุนต่ำ และ 3) ได้ประโยชน์จากช็อปดีมีคืน อีกทั้งเน้นกลุยุทธ์การจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ ที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด และ iPhone ขายดี คาดการณ์กำไรหลักปีนี้โต 7% y-o-y เพราะชัตดาวน์ไปช่วงหนึ่ง แต่ปีหน้ากำไรกลับมาโตถึง 22% y-o-y กำหนดราคาพื้นฐานเป็น 46.00 บาท  ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 20%
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY :    ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus :     กลุ่มอาหาร : คาดส่งออกกุ้งปี 64 จะเติบโตได้ 15%
Company Update :     LPN    (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 3.60)
In The News :     SET50/SET100 : ตลาดหลักทรัพย์ประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าคำนวณในช่วง 1 ม.ค.-30 มิ.ย.63
Turnover List Watch :    ติดตาม SAK มีโอกาสติด Cash Balance แต่ยังยาก
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สหรัฐ: ตัวเลขยอดค้าปลีกและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นลดลง
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ย ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการที่ภาคครัวเรือนมีรายได้ลดลง เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากประสบภาวะตกงาน
# ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 56.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 56.7 ในเดือนพ.ย. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 55.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.4 ในเดือนพ.ย.
+ สหรัฐ: แกนนำในสภาฯมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
# ล่าสุดนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า แกนนำในสภาคองเกรสมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลอันเนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณ (ชัตดาวน์) ทั้งนี้ หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลเผชิญภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 19 ธ.ค. และชาวอเมริกันที่ตกงานจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากสวัสดิการว่างงานในวันที่ 26 ธ.ค.
•/+ ผลการประชุมเฟด: คงอัตราดอกเบี้ยและใช้ QE เหมือนเดิม
# ที่ประชุมเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมระบุว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2% ทั้งนี้ เฟดให้คำมั่นว่า จะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะดำเนินการไปจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายในการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา
-/+ ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดลบเล็กน้อย 45 จุด Nasdaq ทำนิวไฮรับผลประชุมเฟด
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศษฐกิจที่ซบเซา อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากนักลงทุนขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไปจนกว่าเฟดจะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อ
+ น้ำมัน: WTI ปิดบวก 20 เซนต์ รับสต็อกน้ำมันดิบลดลงเกินคาด
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) ขานรับตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
• ทองคำ: ปิดบวก 3.8 ดอลล์ ขานรับมาตรการกระตุ้นศก.คืบหน้า
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) ขานรับความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกที่ปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 2 อันเนื่องมาจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาด
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ย.จาก Conference Board
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ ลงทะเบียนคนละครึ่ง เฟส 2 สำเร็จ แต่อาจจะเปิดรอบพิเศษเยียวยา
# โครงการ "คนละครึ่ง" เฟส 2 ที่รัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนวันนี้เป็นวันแรกเพิ่มเติมอีก 5 ล้านสิทธิ ตั้งแต่เวลา 06.00 น.นั้น มีรายงานว่าเมื่อเวลา 08.06 น. มีผู้ลงทะเบียนครบจำนวน 5 ล้านสิทธิแล้ว แม้มีเหตุขัดข้องจากระบบลงทะเบียนของธนาคาร กรุงไทย (KTB) และโอเปอร์เรเตอร์มือถือเกิดขัดข้องชั่วคราว ทางกระทรวงการคลังอาจจะมีการเยียวยา เปิดรอบพิเศษให้ แต่เฉพาะผู้ที่มีรายชื่อเข้าลงทะเบียน แต่ไม่สำเร็จ
-/• DTAC: เตรียมส่ง SMS มาตรการชดเชยตรงหาลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ เริ่มวันนี้
# บริษัทพร้อมแสดงความรับผิดชอบให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสาเหตุระบบเครือข่ายล่มตั้งแต่ช่วงเช้า ทำให้ลูกค้าดีแทคไม่สามารถรับข้อความรหัส OTP ที่มาจากธนาคารกรุงไทย ในการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งได้ ด้วยการชดเชยมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 3,500 บาท ให้กับลูกค้าทั้งในระบบเติมเงิน และระบบรายเดือน อาทิ โบนัสเติมเงิน โทรฟรี เน็ตฟรี และส่วนลดเมื่อซื้อโทรศัพท์มือถือ โดยดีแทคจะติดต่อไปยังผู้ใช้บริการดีแทคที่ได้รับผลกระทบ ผ่านทางข้อความ SMS โดยเร็วที่สุด
# ผลกระทบ: เป็นลบ ที่เสียภาพลักษณ์ไป แต่การออกมารับผิดชอบ จะช่วยลดปัญหาการย้ายค่ายได้ คาดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยลบเพียงระยะสั้น ส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่จะมาชดเชยคาดว่าจะจำกัด เพราะเป็นการใช้เครือข่ายที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นต้นทุนคงที่  คำแนะนำคือ ซื้อ DTAC ราคาพื้นฐาน 40.00 บาท แต่ Upside ไม่มากราว 7%
+ การลงทุน: บีโอไอหารือตัวแทนหอการค้าตปท. ฟังข้อเสนอแนะหลังมีโรคระบาดโควิด-19
# บีโอไอจัดประชุมหารือร่วมกับตัวแทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอะแนะเกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ของนักลงทุน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมด้านการลงทุนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายและมีความชัดเจนเรื่องวัคซีน ไทยจึงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนการลงทุนด้วยการแก้ไขปัญหาอุปสรรค และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างประเทศ
# ผลกระทบ: เป็นบวก คาดว่าสถานการณ์ธุรกิจนิคมฯจะฟื้นตัวได้ดีในปี 64 หลังเปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาได้ เมื่อมีวัคซีนแล้ว ตั้งแต่มีเม็ดเงินไหลเข้า ตั้งแต่ต้น พ.ย.63 หุ้นหลักกลุ่มนิคมฯคือ AMATA, ROJNA, WHA ปรับตัวขึ้นดีในอัตรา 45%, 21% และ 38% ตามลำดับ แต่หากเปรียบเทียบกับราคาพื้นฐานแล้ว Upside เริ่มน้อยลงเป็น 6%,1% และ 1% ตามลำดับ แสดงว่าปรับขึ้นรับข่าวมาพอควร แต่ที่ยังมี Upside มากสุดคือ AMATA
+ สมาคมกุ้งฯ คาดส่งออกปี 64 พลิกฟื้นโต 15%
# นายกสมาคมกุ้งไทย คาดว่าในปี 2564 ปริมาณผลผลิตและส่งออกกุ้งของไทย จะพลิกฟื้นขึ้นมาเติบโตได้ 15% ตามปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.1 แสนตัน เพิ่มขึ้น 15% จากปีนี้ที่คาดผลผลิตกุ้งเลี้ยงโดยรวมอยู่ที่ 2.7 แสนตัน ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าจากปัญหาเรื่องโรคระบาด ความไม่มั่นใจในสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและสถานการณ์ราคา
# ผลกระทบ: เป็นบวก หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจกุ้งส่งออกที่จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวในปี 64 และแนะนำ ซื้อ คือ ASIAN, CPF และ TU
+/- ตลท.ประกาศหลักทรัพย์เข้า-ออก คำนวณ SET50, SET100 วานนี้หลังปิดตลาดฯ
# ตลาดหลักทรัพย์ประกาศหลักทรัพย์เข้า-ออก คำนวณ SET50, SET100 แล้ว มีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค.ถึง มิ.ย.64
# หุ้นที่จะเข้าคำนวณ (Inclusion) ใน SET50 เป็นบวก ได้แก่ DELTA, BAM, COM-7 ขณะที่หุ้นที่จะออก (Exclusion) SET50  เป็นลบ คือ BPP, IRPC และ WHA
# สำหรับ SET100 หุ้นจะได้เข้าคำนวณ (Inclusion) เป็นบวก ได้แก่ DELTA, BAM, MBK, JMART ขณะที่หุ้นที่จะออก (Exclusion) เป็นลบ คือ AAV, PSH, SGP และ SIRI
# ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่มีความโดดเด่นที่ได้รับคัดเลือกเข้าทั้ง SET50 และ SET100 คือ DELTA และ BAM ตามคาดอย่างไรก็ตามได้มีการเก็งกำไรไปบางส่วนล่วงหน้าแล้ว
+/- หุ้นถ่วงน้ำหนักดัชนี FTSE มีผลวันศุกร์ 18 ธ.ค.63 นี้
# ประกาศหุ้นถ่วงน้ำหนักดัชนี FTSE  หุ้นที่ถูกเพิ่มได้รับผลกระทบด้านบวก หุ้นที่ถูกถอดออกได้รับผลกระทบต้านลบ
# หุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) เพิ่ม (+) DELTA, SCGP ออก (-) TOP, DTAC
# หุ้นขนาดกลาง (Mid Cap) เพิ่ม  (+)  DOHOME, JMT, STGT, TOP, DTAC ไม่มีออก
# FTSE All World เพิ่มน้ำหนัก (+) BH, SAWAD และ TU  ถูกลดน้ำหนัก (-) PTT, CPALL, SCC, AOT, SCB, BDMS, ADVANC, GULF, CPN, PTTEP, KBANK-F และ BANPU      
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ  เอกวรรณพัฒนา : sombata@th.dbs.com

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!