WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 23-12-2020dbs

แม้วัคซีนมีมนต์ขลังแต่ยังต้องระวังการแกว่งตัว

  • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ---

# ภาวะตลาดวานนี้ : SET รีบาวด์ โดยปิด +22.61 จุดที่ 1424.39 แม้ในวันจะถอยลงไปต่ำสุดที่ 1388.23 เรียกได้ว่ามนต์ขลังของวัคซีนยังสามารถพยุงตลาดได้รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ & ของไทย และแรงซื้อ SSF, RMF ก็มาช่วยหนุนด้วย นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิต่อ 2.5 พันลบ. ส่วนต่างชาติซื้อสุทธิต่อ 2.0 พันลบ. รวมทั้งพอร์ตบล.และรายย่อยก็ซื้อสุทธิสมทบด้วย

# ปัจจัยและกลยุทธ์ : อย่าเพิ่งวางใจกับไวรัสโควิด-19 ตลาดยอมรับจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าผู้ติดเชื้อกระจายตัวไปหลายจังหวัดมากขึ้นและจำนวนพุ่งขึ้นมาก รวมถึงข่าวไวรัสที่กลายพันธุ์แพร่ออกนอกอังกฤษไปหลายประเทศ ตลาดก็อาจจะปรับลงอีกระลอก ดังนั้นเราอย่าเพิ่งวางใจ ต้องมีเงินสดเหลือในพอร์ตบ้าง สำหรับปัจจัยหนุน คือ การที่รัฐบาล Take action เร็วทั้งเรื่องการจัดการควบคุมการแพร่ระบาดและมาตรการเยียวยา (ล่าสุดของไทยมีมาตรการดูแลแรงงานที่ตกงานชั่วคราวจากโควิด-19 เช่น การให้ผลประโยชน์ทดแทน 50% ของค่าจ้างรายวันเป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน เริ่มตั้งแต่ 19 ธ.ค.63, ลดนำส่งเงินสมทบเข้าประกันสังคม, เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรและค่าคลอดบุตร เป็นต้น) รวมถึงการอาจมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม และความเชื่อว่าจะได้รับวัคซีนต้านโควิดจะแพร่หลายขึ้นในปี 64

กลยุทธ์การลงทุน : ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งช่วงราคาอ่อนตัว สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะกลับมาในช่วงสั้น คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโควิด-19 เช่น ถุงมือยางอนามัย, ยา เวชภัณฑ์ วิตามิน อาหารเสริมสุขภาพ, ปิโตรเคมีที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อนามัยและเครื่องมือทางการแพทย์, อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋องส่งออก, บรรจุภัณฑ์, สินค้าและบริการที่เกี่ยวกับ WFH และ Delivery, ไฟแนนซ์ ซึ่งหุ้นเด่น ได้แก่ AJ, STGT, SCGP, MEGA, MTC, SAWAD เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ถูกกระทบในช่วงสั้น คือ พลังงาน, ขนส่ง (สนามบิน สายการบิน รถไฟฟ้า รถใต้ดิน), โรงแรม, ให้เช่าพื้นที่ประชุมและแสดงสินค้า, นวดและสปา, โรงภาพยนตร์, ร้านอาหารและภัตตาคาร เป็นต้น

หุ้นพื้นฐาน Top pick วันนี้ เป็น SCGP (ราคาปิด 42 บาท) : แนวโน้มการเติบโตดี เพราะเป็นผู้ประกอบการครบวงจรในอาเซียน มีบรรจภัณฑ์หลากหลาย การขยายตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจ E-commerce ในไทยและอาเซียนช่วยหนุนการเติบโต โดยมีโควิด-19 เป็นตัวเร่ง บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์, บรรจุภัณฑ์สมรรถนะสูงและโพลิเมอร์, บรรจุภัณฑ์อาหาร รวมทั้งมีการเข้าซื้อกิจการด้วย ล่าสุดควบรวมกิจการกับ Bien Hoa Packaging Joint Stock ในเวียดนาม ผู้ผลิตกล่องลูกฟูกและลามิเนต (เข้าถือหุ้น 94.11% ใช้เงินลงทุน 2. 7 พันล้านบาท) เรียบร้อยแล้ว ราคาเป้าหมายระยะสั้น 44 บาท

# การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณกลับมาเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังมีโอกาสแกว่งลงได้ แนวต้านระยะสั้น 1430, 1440-1450 แนวตัดขาดทุนคือ ต่ำกว่า 1415 แนวรับย่อย 1390-1380, 1360 ส่วนหุ้นเทคนิคแนะนำวันนี้เป็น COTTO, JMART, IRPC, BGRIM, SAWAD, IVL, AJ, TVO

Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com

Inside Story

Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ

Company Update : MTC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 73.00)

SNC (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 15.00)

Key Drivers TODAY

ปัจจัยต่างประเทศ

+ สหรัฐ : คองเกรสอนุมัติข้อตกลงมาตรการกระตุ้น 9 แสนล้านUS$ และร่างกฎหมายงบประมาณปี 64

# สภาคองเกรสได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้สภาคองเกรสยังได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถเปิดดำเนินการต่อไปจนถึงวันที่30 ก.ย.2564

+/- สหรัฐ : จีดีพี 3Q63 เติบโตดีกว่าคาด แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและยอดขายบ้านมือสองร่วงในเดือนพ.ย.63

# ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2563 (ประมาณการครั้งที่ 3) ขยายตัว +33.4%YoY ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลกว่า 70 ปีก่อนหน้านี้ และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ +33.1%

# Conference Board เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 88.6 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 92.9 ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 97.0

# ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง -2.5% สู่ระดับ 6.69 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. หลังจากแตะระดับ 6.85 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.

+ อังกฤษ : จีดีพี 3Q63 ฟื้นตัว QoQ ดีกว่าคาด แต่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็เพิ่มขึ้นมาก

# สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของอังกฤษรายงานว่าเศรษฐกิจของอังกฤษฟื้นตัวจากความเสียหายเนื่องจากโควิด-19เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยจีดีพี +16%QoQ (จากที่คาด +15.5%)

# อังกฤษได้ทำการกู้ยืมเงินมากเป็นสถิติที่ 2.41 แสนล้านปอนด์ (3.23 แสนล้านดอลลาร์) ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณปีนี้ ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึงเกือบ 1.9 แสนล้านปอนด์

# หนี้สาธารณะอยู่ที่เกือบ 2.1 ล้านล้านปอนด์ หรือ 99.5% ของจีดีพี ซึ่งเป็นอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2505

- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA และ S&P 500 ร่วง แต่ดัชนี Nasdaq ปรับขึ้น

# ดัชนี DJIA ปิดที่ 30,015.51 จุด ลดลง 200.94 จุด หรือ -0.67% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.21% แต่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,807.92 จุด เพิ่มขึ้น 65.40 จุด หรือ +0.51% ปัจจัยกดดัน คือ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19

# หุ้นกลุ่มที่ร่วง คือ พลังงาน เพราะราคาน้ำมันดิบลดลง, สายการบิน, เรือสำราญ, โรงแรม แต่กลุ่มที่ปรับขึ้นคือ เทคโนโลยีหลังมีข่าวว่า แอปเปิล มีแผนที่จะผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในปี 2567

- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาลดลงต่ออีกราว 2%

# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 95 เซนต์ หรือ -2% ปิดที่ 47.02 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ลดลง83 เซนต์ หรือ -1.6% ปิดที่ 50.08 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะวิตกผลกระทบทางเศรษฐกิจ หลังจากพบไวรัสโควิด-19กลายพันธุ์ที่แพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิมในอังกฤษ ทำให้กว่า 40 ประเทศทั้งในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทางจากอังกฤษ

- ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ราคาทองปิดร่วง -0.66%

# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 12.5 ดอลลาร์ หรือ -0.66% ปิดที่1,870.3 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์

  • ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐปัจจัยจับตาที่เหลือของสัปดาห์นี้

# รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.

ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์

- 22 ธ.ค.63 พบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 427 ราย ยอดรวมล่าสุด 821 ราย

# เมื่อวานนี้ (22 ธ.ค.) มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ 427 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม 5,716 ราย ซึ่งหายป่วยแล้ว 4,078ราย เสียชีวิต 60 ราย อัตราเสียชีวิต 1.04% ซึ่งต่ำกว่าเฉลี่ยของโลกที่ 2.2% ต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้

+ ครม.ไฟเขียว 3 มาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19

# วานนี้ (22 ธ.ค.63) ครม.มีมติเห็นชอบ 3 มาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเพื่อดูแลประชาชนในระบบกองทุนประกันสังคมประมาณ 12 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วย 1) ลูกจ้างที่ว่างงานชั่วคราวเพราะโควิด-19 จะได้ผลประโยชน์ทดแทน 50% ของค่าจ้างรายวันเป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน เริ่มตั้งแต่ 19 ธ.ค.63, 2) ลดการจ่ายเงินสมทบสำหรับลูกจ้างและนายจ้างจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 3 เป็นเวลา 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) และ 3)จ่ายเงินเด็กแรกเกิดจาก 600 บาทเป็น 800 บาท และเพิ่มคาดคลอดบุตรจาก 13,000 บาทเป็น 15,000 บาท

  • ครม.ผ่านแผนคลังระยะปานกลางฟื้นศก.ดัน GDP ปี 68 โต 3.2-4.2% จาก 3-4% ปี 65

# ที่ประชุมครม.วานนี้ (22 ธ.ค.63) เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลางเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและรองรับสถานการณ์และความเสี่ยง พร้อมลดการขาดดุล และยังคงเป้าหมายระยะยาวที่จะจัดทำงบประมาณให้สมดุล

# สำหรับแผนคลังระยะปานกลาง ปี 65-68 ได้ประมาณการเศรษฐกิจ ดังนี้

* ปี 65 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 3-4% ประมาณการรายจ่าย อยู่ที่ 3,100,000 ล้านบาทรายได้รัฐบาล 2.4 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง 57.6% ต่อจีดีพี

* ปี 66 คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วง 2.7-3.7% ประมาณการรายจ่ายรัฐบาล 3,200,000 ล้านบาท รายได้ 2.49ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง 58.6% ต่อจีดีพี

* ปี 67 คาดว่า GDP ขยายตัว 2.9-3.9% ประมาณการรายจ่ายรัฐบาล 3,310,00 ล้านบาท รายได้ 2.619 ล้านล้านบาทหนี้สาธารณะคงค้าง 59.0% ต่อจีดีพี

* ปี 68 คาดว่า GDP ขยายตัว 3.2-4.2% ประมาณการรายจ่ายรัฐบาล 3,420,000 ล้านบาท รายได้ 2.75 ล้านล้านบาทหนี้สาธารณะคงค้าง 58.7% ต่อจีดีพี

ทั้งนี้ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 63 อยู่ที่ 7,848,156 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.3% ต่อ GDP

# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS : ตามแผนระยะกลางจะสังเกตได้ว่าปีงบประมาณ 64-65 เป็นช่วงเวลาที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นมาก คือ จาก 49.3% ในสิ้นปีงบประมาณ 63 เป็น 57.6% ในสิ้นปีงบประมาณ 65 เพราะรัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังเกิดโควิด-19 เป็นจำนวนมาก จึงต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ ส่วนปีงบประมาณ 66-67 หนี้สาธารณะต่อจีดีพียังเพิ่มขึ้นต่อ โดยไป Peak ที่ 59% ของจีดีพี (ใกล้กับเพดานของไทยที่ 60%) แล้วเริ่มลดลงในปีงบประมาณ 68 ซึ่งหากรัฐบาลบริหารระดับหนี้สาธารณะและการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในระดับ 3-4% ต่อปีได้ตามแผนก็ไม่น่ากังวลกับหนี้ที่เพิ่มขึ้นนัก

ทั้งนี้ประเทศต่างๆ ที่ประสบกับวิฤตโควิด-19 ก็มีการก่อหนี้เพิ่มทั้งสิ้น ล่าสุด อังกฤษระบุว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งขึ้นเป็น 99.5% สูงสุดในรอบ 58 ปี

  • ประชุมกนง.วันนี้ (23 ธ.ค.63) คาดคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5%

# คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุมนัดสุดท้ายของปี 63 ในวันนี้ (23 ธ.ค.63) ซึ่งตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5%

# ปัจจัยที่ติดตาม คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยใน 1Q64 อย่างไรก็ดี ถ้าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เร็ว ก็จะทำให้ผลกระทบไม่รุนแรง ขณะเดียวกันมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย (คนละครึ่งเฟส 2) ที่ทำงานต่อก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจใน 1Q64 อีกทางหนึ่ง

+ EA คาดปี 64 รายได้โต 20-30% หนุนโดยธุรกิจ EV

# ผู้บริหารระดับสูงของ EA เปิดเผยว่าในปี 64 บริษัทคาดมีรายได้เติบโต 20-30% มาจากการเติบโตจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยคาดจะสัดส่วนของธุรกิจ EV จะเพิ่มขึ้นเป็น 20-30% จากปี 63 มีรายได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และไม่มีโครงการใหม่ออกมา

# สำหรับธุรกิจ EV ของบริษัท ได้แก่ แบตเตอรี่ และยานยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่าจะสามารถผลิตรถ EV เฟสแรกในไตรมาส1/64 ส่วนเรือไฟฟ้าส่งมอบให้บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะเริ่มให้บริการ 3 ลำ และทยอยรับมอบให้ครบ 27 ลำในช่วงปลายไตรมาส 1/64 ถึงต้นไตรมาส 2/64 , รถเมล์ไฟฟ้า ขสมก.จำนวน 2,500 คันที่บริษัทจะเป็นซัพพลายเออร์ และรถแท็กซี่ไฟฟ้าจำนวน 5,000 คัน เลื่อนการส่งมอบหลังจากเกิดระบาดโควิด-19 บริษัทจึงปรับมาเป็นรถขนส่งสินค้า หรือรถรับส่งพนักงาน และรถโดยสารข้ามจังหวัดเส้นทางระยะสั้น

# นักวิเคราะห์ในตลาดคาดว่ากำไรปี 64 จะเติบโต 20-30% หลังจากทรงตัวในปีนี้ ทำให้ P/E จะลดลงเหลือ 20-25 เท่าจากปีนี้ที่กว่า 30 เท่า (ณ ราคาหุ้น 44.50 บาท) ส่วนราคาเป้าหมาย Median อยู่ที่ 46.50 บาท

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : arparporns@th.dbs.com

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!