WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 1-3-2021May
INVESTMENT STRATEGY 
ย่อสร้างฐาน : 
เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเด่น
วันนี้คาด SET ย่อตัว ทดสอบแนวรับ 1,475 จุด และแนวต้าน 1,500 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “ICHI, M”
ICHI
คาดกำไรหลักปีนี้โตระดับ 30% จาก (1)การรับรู้รายได้น้ำวิตามินเต็มปี (2)การออกสินค้าใหม่และขยายช่องทางขายไปยัง Traditional Trade (3) รับ OEM กับลูกค้าใหม่อย่างน้อย 2-4 เจ้า และ (4) ประเทศในกลุ่มCLMV ฟื้นตัว
ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 14.8 บาท
M
เริ่มเห็นภาพการกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งจาก SSSG ที่ดีขึ้น ตั้งแต่เดือนก.พ.64 หลังจากโดนผลกระทบจาก COVID-19 ระลอก 2 ประกอบกับภาครัฐที่มีการปลดล็อกการทานอาหารในร้านมากขึ้น และมีพัฒนาการบวกของวัคซีนที่ชัดเจน จะช่วยหนุนการบริโภคมากขึ้น
ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 62.0 บาท
INVESTMENT THEME 
ย่อสร้างฐาน 
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1.6% ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯในวันศุกร์ที่ผ่านมาที่พบว่าตัวเลข PCE Core Deflator เดือนมกราคม ขยายตัว +1.5%YoY, +0.3%MoM มากกว่าตลาดคาดที่ +1.4%YoY, +0.1%MoM ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ตลาดมีความกังวลต่อต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกยังมีการปรับพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ดีจากความกังวลดังกล่าวเราเชื่อว่าอาจเป็นโอกาสที่ดีในการรอจังหวะการย่อสร้างฐานรอบนี้เพื่อเข้าไปสะสม เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากภาพเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ดังนั้นอุปสงศ์โลกจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเด่น ซึ่งจะช่วยชดเชยความกังวลด้านต้นทุนได้ นอกจากนี้ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนสหรัฐฯ ได้ผ่านร่างกฎหมายเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญ ด้วยคะแนนเสียง 219 ต่อ 212 เสียง (คนที่โหวตต้านคือ สส.รีพับลิกันทั้งหมด และสส. พรรคเดโมแครต 2 เสียง) ซึ่งในสัปดาห์นี้คาดจะส่งต่อไปยังวุฒิสภาสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิดในสัปดาห์นี้
SET 
ดัชนี ตลาดหลักทรัพย์ 
1,496.78    +5.67 
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 25 ก.พ. 64 
นักลงทุน                                   สุทธิ
สถาบัน                               1,855.53
บัญชี บล.                                -70.17
ต่างชาติ                              -7,446.15
ในประเทศ                           5,660.79
MARKET SUMMARY 
วันพฤหัสที่ผ่านมา SET ย่อตัวโดยมีแรงขายจากการปรับพอร์ทของ MSCI และแรงขายลดความเสี่ยงในระยะสั้น โดย SET ปิดที่ 1,496.78 (+5.67 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 1.24 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.6 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 7,446 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,856 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 17,760 สัญญา)
EYES ON 
-1 มี.ค. PMI ภาคการผลิตของไทย, US, Eurozone (ก.พ.), Caixin China PMI ภาคการผลิต (ก.พ.) 
-2 มี.ค. อัตราเงินเฟ้อ Eurozone (ก.พ.)
-3 มี.ค. Caixin China PMI ภาคบริการ (ก.พ.), PMI ภาคบริการของ US, Eurozone (ก.พ.), การจ้างงานภาคเอกชน US (ก.พ.), สต๊อกน้ำมันดิบ US รายสัปดาห์ 
-4 มี.ค. ประชุม OPEC, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทย (ก.พ.), ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน US (ม.ค.), ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน US
TOA Paint (Thailand) (TOA)
กำไร 4Q63 ชะลอตัว ต่ำกว่าคาด 11%
BUY
Share Price           THB 31.25 
12m Price Target      THB 40.00 (+28%)
Previous Price Target THB 40.00 
ผลประกอบการ 4Q63
TOA ประกาศผลประกอบการ 4Q63 มีกำไรสุทธิที่ชะลอตัวเหลือ 493 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 6%QoQ และ ปี่ก่อน -3%YoY ต่ำกว่าที่เราคาด 11% และ Bloomberg Consensus คาด 9%  เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังอยู่ในระดับสูง 899 ล้านบาท (+2%QoQ, -5%YoY)  และ อัตรากำไรขั้นต้นที่ชะลอตัวลงเหลือ 36.1% (เทียบกับที่เราคาด 36.6%) จาก 37.2% ในไตรมาสก่อน แต่ดีขึ้นจากปีก่อน 35.4%  ส่วนยอดขายเท่ากับ 4,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 4%QoQ จากผลของฤดูกาล ในขณะที่ลดลงจากปีก่อน 6%YoY ตามภาวะอุตสาหกรรม  รวมปี 2563 มียอดขายเท่ากับ 16,296 ล้านบาท ลดลง 4% และ มีกำไร 2,031 ล้านบาท ลดลง 6%  นับว่าประคองตัวได้ดีท่ามกลางปัจจัยลบ Covid-19 และ ภาวะทรุดตัวลดลงของเศรษฐกิจโดยรวมทั้งไทย และ ตลาดหลักคืออาเซียน  
แนวโน้มผลประกอบการ 
แนวโน้มปี 2564-2565 เราคาดหมาย TOA จะกลับมาเติบโตใหม่  มีการเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “MEGA PAINT Warehouse” ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและบริการจากทีโอเอครบวงจร แบบ One stop service  เพื่อต่อยอดผ่านคู่ค้าร้านขายสี 7,000 ร้านค้าทั่วประเทศ  สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ที่จะสร้างการเติบโตด้วยการใช้งานแบบครบวงจร (Total Solutions) ซึ่งโมเดลธุรกิจนี้ คาดจะสร้าง Synergy ให้แก่ Product Line อื่นๆ ของ TOA ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  บริษัทมีการพัฒนา นวัฒกรรมผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ โดยการ ยกระดับบริการงานช่างมาตรฐานใหม่ “WHO Service” ด้วยโซลูชั่นงานการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน รีโนเวตบ้าน ปรับปรุงโรงงานครบระบบ โดยทีมช่างผู้รับเหมามืออาชีพ  บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีจะมีร้าน “MEGA PAINT Warehouse” มากกว่า 50 สาขา ครอบคลุมในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ๆทั่งประเทศ  ทั้งนี้ในระยะสั้นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบ Titanium Dioxide ซึ่งคิดเป็น 20% ของต้นทุน ตามราคาน้ำมันจะกดดันผลประกอบการระยะสั้น  
คำแนะนำการลงทุน 
TOA มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดในมือ และ เงินลงทุนระยะสั้นสูง 6.6 พันล้านบาท  จ่ายปันผลกำไรครึ่งหลังปี2563อีก 0.26 บาท  รวมจ่ายปันผลกำไรปี 2563 เท่ากับ 0.53 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 1.6%  เราประเมินราคาเป้าหมาย 40 บาท บนฐาน Forward P/E เฉลี่ยประมาณ 35 เท่า คงแนะนำ ซื้อ 
ความเสี่ยง 
ภาวะเศรษฐกิจ ก่อสร้าง ในภูมิภาคและในประเทศ / ต้นทุนวัตถุดิบหลักเป็นไปตามราคาน้ำมัน / ภาวะการแข่งขันกับบริษัทคู่แข่ง 
Surachai Pramualcharoenkit
surachai.p@maybank-ke.co.th
(66) 2658 6300 ext 1470
Prima Marine (PRM)
กำไรโตดี ทว่าความเสี่ยงก็ต้องพิจารณา
BUY
Share Price           THB  7.90 
12m Price Target      THB 10.00(+27%)
Previous Price Target THB 10.90 
กำไรสุทธิปี 2563 ต่ำกว่าคาด 6% มี 2 หน่วย ขาดทุนในไตรมาสสุดท้าย
PRM รายงานกำไรสุทธิงวดปี 2563 ที่ 1533 ลบ. เพิ่มขึ้น +49.8% YoY เป็นไปในทิศทางที่มองไว้ว่าจะเป็นปีที่โดดเด่น แต่ทว่ากำไรสุทธิต่ำกว่าประมาณการของเราไป 6% โดยกำไรปกติงวดไตรมาส 4/63 ที่ 366 ลบ. พลิกหด -13.7% QoQ และ +33.7% YoY เพราะ (1) ธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศมีผลขาดทุนขั้นต้น 35 ลบ. โดยเรือ Aframax ที่เหลือ 1 ลำ มีการเข้าอู่แห้งระหว่างไตรมาส (2) ธุรกิจเรือให้บริการนอกชายฝั่ง (offshore) ขาดทุน 0.4 ลบ. เหลือให้บริการเพียง 1 ลำ (3) กลุ่มเรือ FSU ที่เป็นพระเอกในปี 2563 รายได้หด -4.1% QoQ เพราะค่าเงินบาทแข็งค่า โดยการบันทึกรายได้เป็นดอลล่าร์ จึงทำให้ได้รับผลกระทบเมื่อแปลงงบเป็นสกุลบาท 
แนวโน้มไตรมาส 1/64 คาดทรงตัว QoQ แต่ความท้าทายอยู่ที่ไตรมาส 2/64
การระบาดของ COVID-19 รอบที่ 2 คาดจะกดดันการขนน้ำมันในประเทศให้ฟื้นตัวล่าช้าต่อไป แต่อย่างไรก็ดีค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาอ่อนค่า คาดจะบรรเทาผลกระทบของกลุ่มเรือ FSU ได้บ้าง เราประเมินกำไรจะทรงตัว QoQ แต่ยังขยายตัวดี YoY จากฐานต่ำปีก่อน โดยประเด็นที่ต้องจับตาคือ ไตรมาส 2/64 ผบห.ตั้งเป้าจะขอปรับราคาค่าระวางเรือ FSU ขึ้นอีก และ PRM อยู่ระหว่างทำ deal diligence เพื่อซื้อหุ้น 100% ของ บจ.ไทยออยล์มารีน เพื่อขยายกองเรือ 18 ลำในเฟสแรก จากปัจจุบัน 40 ลำ และเป็นการการันตีรายได้ในระยะยาว (อ่าน PRM stock note 23 ธ.ค. 63) แต่ทว่าจากข้อมูลของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เราพบว่าในปี 2562 บจ.ไทยออยล์มารีน มีผลขาดทุน 216 ลบ. ในงบการเงินรวม ดังนั้นการเข้าซื้อนี้ แม้ดูจะเป็นราคาไม่แพงเพียง 346 ลบ. (หรือราว P/BV 0.4 เท่า) แต่ PRM มีความท้าทายสำคัญคือ ต้องรีบปรับปรุงกิจการ บจ.ไทยออยด์มารีนให้กลับมามีกำไรโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบกับงบของ PRM ใน 2H64 เราจะร่วมประชุม นวค. ในวันที่ 11 มี.ค. เพื่ออัพเดทประเด็นนี้
คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเหมาะสมลง 8% 
จากงบปี 2563 ที่ต่ำกว่าคาด และความเสี่ยงของผลการดำเนินงานใน 2H64 หลังการรวมงบของ บจ.ไทยออยล์มารีน ทำให้เราจึงต้องมอง valuation ในกรอบที่สั้นลงในปีนี้ เราจึงปรับวิธีประเมินมูลค่าจาก DCF เป็น P/E อิงค่าเฉลี่ยในปี 62 ที่ 14.4 เท่า ใช้เป็นจุดอ้างอิง เพราะเป็นโครงสร้างหลักของธุรกิจในปัจจุบัน ได้ราคาเหมาะสมปี 2564 ใหม่ที่ 10.00 บาท/ หุ้น คงเหลือ upside 30% 
ความเสี่ยง
สถานการณ์ที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นและแกว่งตัวในระดับราคาที่สูง พร้อมๆกับอุปสงค์ที่ฟื้น  เหล่านี้อาจทำให้ความต้องการ การกักเก็บน้ำมันลดลงได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของเรือ FSU 7 ลำ ซึ่งกินสัดส่วนถึง 77% ในปี 2563
Jaroonpan Wattanawong
jaroonpan.w@maybank-ke.co.th
(66) 2658 6300 ext 1404
Osotspa (OSP)
ยังเติบโตได้ในเกณฑ์ดี
BUY
Share Price           THB 34.75 
12m Price Target      THB 45.00(+29%)
Previous Price Target THB 45.00 
ประเด็นการลงทุน
การเติบโตปีนี้จะมาจากตลาดเครื่องดื่มชูกำลังฟื้นตัว การออกสินค้าใหม่ การขยายช่องทางขายของ C-Vitt โรงงานในเมียนมาร์เริ่มผลิต และมีการปรับกลยุทธ์การขายและการกระจายสินค้าใน CLMV อีกทั้งโครงการ Fit Fast Firm คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายมากกว่า 1,000 ล้านบาท OSP ยังมีการศึกษาและเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้กัญชงในเครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลซึ่งอาจเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการ เราคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย (DCF) 45 บาท
กำไร 4Q63 ชะลอตามคาด
กำไร 4Q63 เป็นไปตามคาดที่ 851 ล้านบาท ลดลง 8% QoQ จากส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม เนื่องจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจาก C-Vitt อยู่ในช่วงขยายช่องทางขาย แต่กำไรเพิ่มขึ้น 3% YoY จากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 151 bps YoY เป็น 36.6% จากโครงการ Fit Fast Firm ยอดขายลดลงแต่ส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มสูงขึ้น M-150 มีส่วนแบ่งตลาดเดือน ธ.ค. 40.3% สูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์กำไรปี 2563 เพิ่มขึ้น 8% เป็น 3,504 ล้านบาท ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ (Net cash)
แนวโน้มระยะสั้นอ่อนลง แต่ปีนี้ยังเติบโตในเกณฑ์ดี
คาด 1Q64 ผลประกอบการได้รับผลกระทบจากยอดขาย C-Vitt ผ่านทางร้านสะดวกซื้อที่ยังชะลอตัว การรัฐประหารในเมียนมาร์ และการปิดซ่อมเตาขวดแก้ว อย่างไรก็ดี คาดว่าการเติบโตของยอดขายปีนี้จะมาจากเมียนมาร์ซึ่งมี Strong demand ของเครื่องดื่ม Shark จากการเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 30% (อันดับ 1 ในเมียนมาร์) และหลังจากโรงงานเสร็จเมื่อ 2H63 ช่วยให้อัตรากำไรสูงขึ้น โครงการ Fit Fast Firm ตั้งเป้าปีนี้ประหยัดมากกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการใช้ Fit Fast Firm ในเมียนมาร์ การปรับสูตรเครื่องดื่มโดยลดปริมาณน้ำตาล การใช้ขวดน้ำหนักเบา และการบริหารจัดการด้านคลังสินค้าและกระจายสินค้า
ออกสินค้าใหม่ๆ และอาจมีสินค้าที่ใช้กัญชง
OSP มีการศึกษาการใช้กัญชงตั้งแต่ปี 2562 ทั้งในส่วนของเครื่องดื่มและสินค้าของใช้ส่วนบุคคล โดยมีหลายโครงการและมีความพร้อมในการผลิต แต่ยังรอข้อกฎหมายที่มีความชัดเจน ซึ่งอาจเป็นปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ส่วนกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มชูกำลัง OSP จะมีการออกสินค้าใหม่เน้นกลุ่มสมุนไพร และเน้นกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ขณะที่ C-Vitt ขยายช่องทางขายทาง Traditional trade มากขึ้น รวมทั้งทดลองขายไปกับ Kerry Express และปีนี้จะมีการออกสินค้าใหม่ 
ความเสี่ยง: ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น การเพิ่มภาษีเครื่องดื่ม เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ การขยายไปต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์
Suttatip Peerasub
suttatip.p@maybank-ke.co.th
(66) 2658 6300 ext 1430
Central Plaza Hotel (CENTEL TB)
หุ้นรับปัจจัยบวกแล้ว ลดน้ำหนักเป็น SELL
SELL 
Share Price           THB 33.25 
12m Price Target      THB 29.00(-13%)
Previous Price Target THB 29.00 
TP ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 29 บาท
เราปรับลดคำแนะนำ CENTEL จาก ซื้อ เป็น ขาย คง TP ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 29 บาท ราคาหุ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ขณะที่คาดว่าจะฟื้นตัว โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง 2564 ทว่า แนวโน้มยังคงท้าทาย สำหรับไตรมาส 4/2563 ผลขาดทุนหลักลดลง QoQ เหลือ 191 ล้านบาทจาก 766 ล้านบาทในไตรมาส 3/2563 ตามที่เราคาด นอกจากนี้ CENTEL กำลังเดินหน้าทำกำไร และคาดผลกำไรจะอยู่ที่ 225 ล้านบาทในปี 64 พลิกจากขาดทุน 1.4 พันล้านบาทในปี 63 โดย CENTEL เป็นโรงแรมไทยเพียงรายเดียวที่เราศึกษาที่สามาถพลิกมีกำไรได้ ขณะที่ผลประกอบการที่ดีใน 4Q63 ถือเป็นบวก แต่ราคาหุ้นที่พุ่งแรง 31% เมื่อเทียบกับ SET ในเดือนที่ผ่านมาถือว่าสูงเกินไป เราจึงลดคำแนะนำเป็น ขาย
อัตรากำไร EBITDA แข็งแกร่งในธุรกิจร้านอาหาร
สำหรับไตรมาส 4/63 อัตรากำไร EBITDA ของธุรกิจร้านอาหารฟื้นตัว QoQ เป็น 24% จาก 17% ในไตรมาส 3/63 เนื่องจากไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซัน และได้เปรียบจากต้นทุนคงที่ในการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม อัตรากำไร EBITDA ของธุรกิจโรงแรมยังคงอยู่ในแดนลบ -6% ใน 4Q63 แต่ดีกว่า -85% ใน 3Q63 เนื่องจากอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเป็น 27% ใน 4Q63 จาก 20.5% ใน 3Q63 เราคาดว่าอัตรากำไร EBITDA ของ CENTEL จะฟื้นตัวต่อในปี 64 เป็น 26.3% จาก 15.8% ในปี 63 เนื่องจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 30.2% YoY และประโยชน์จากต้นทุนคงที่ในการดำเนินงาน
แนวโน้มไตรมาส 1/64 ท้าทาย ฟื้นตัวช้าใน 2H64
จากการระบาดของโควิดระลอก 2 ในประเทศไทย ตั้งแต่ครึ่งหลังเดือนธันวาคม 63 เราคาดว่าแนวโน้มในไตรมาส 1/64 น่าจะยังไม่ค่อยดี โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม เนื่องจากพื้นที่ท่องเที่ยวหลายแห่งยังคงได้รับผลกระทบหนัก เราคาดว่าการฟื้นตัวจะแข็งแกร่งจากครึ่งปีหลัง 64 เป็นต้นไปจากการฉีดวัคซีนจำนวนมากในประเทศไทย
หุ้นซื้อขายด้วย P / E ปี 66 ที่สูงถึง 28 เท่า  
เราประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF, 6.5% WACC และการเติบโต 2% เราชอบที่ CENTEL พลิกมีกำไรในปีนี้และเชื่อว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวก แต่ที่ P / E ปี 66 ที่สูงถึง 28 เท่า ถือว่าราคาหุ้นสูงเกินไป ในขณะที่แนวโน้มยังไม่แน่นอน เราจึงแนะนำ ขาย อัพไซด์ที่สำคัญคือ การฉีดวัคซีนในประเทศไทยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ (ก่อนครึ่งปีหลัง 64) ซึ่งแปลว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
Yuwanee Prommaporn
Yuwanee.P@maybank-ke.co.th
              (66) 2658 5000 ext 1393
CP All (CPALL)
SSSG ชะลอใน 1Q64 แต่ฟื้นตัวใน 2Q64
BUY 
Share Price           THB 59.50 
12m Price Target      THB 69.00(+16%)
Previous Price Target THB 79.00 
ประเด็นการลงทุน
เราปรับลดประมาณการปีนี้ลงสะท้อนถึง SSSG ฟื้นตัวช้าจากการระบาดของโควิดรอบใหม่ และคาดว่ากำไร 1Q64 ชะลอตัวโดย SSSG ยังถูกกระทบจากมาตรการภาครัฐหลายอย่าง อีกทั้ง CPALL จะบันทึกดอกเบี้ยจ่ายจากเงินกู้ซื้อเทสโก้ฯ เป็นเวลาเต็มไตรมาส อย่างไรก็ดี เราคาดว่า SSSG จะฟื้นตัวใน 2Q64 จากฐานต่ำในปีก่อน และการระบาดของโควิดคลี่คลายลงทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวและบริโภคมากขึ้น แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายปรับลงจาก 79 บาท เป็น 69 บาท (DCF, WACC 7.2%, G.4%)  
กำไร 4Q63 ชะลอลงตามคาด
กำไรสุทธิเท่ากับ 3,573 ล้านบาท (-11% QoQ, -42% YoY) หากไม่รวมค่าธรรมเนียมการลงทุนในเทสโก้ฯประมาณ 500 ล้านบาท กำไรใกล้เคียงกับที่คาด โดย SSSG ติดลบมากขึ้นเป็น -18% (จาก -14.3% ใน 3Q63) จำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวลดลง ฝนตกบ่อยและอากาศหนาว อีกทั้งได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐ (คนละครึ่ง) อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 111 bps YoY เป็น 21.9% จากการเน้นขายสินค้าแพคใหญ่ซึ่งมีอัตรากำไรต่ำ และสัดส่วนยอดขายของ MAKRO (อัตรากำไรต่ำกว่าร้านเซเว่นฯ) มากขึ้น ค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น 34% QoQ และ 66% YoY จากค่าธรรมเนียมดีลเทสโก้และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น CPALL รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม 63 ล้านบาท จากการถือหุ้น 40% ในเทสโก้ฯ ตั้งแต่ 18 ธ.ค. ผ่าน CP Retail Development ซึ่งบันทึกค่าธรรมเนียมการซื้อเทสโก้ฯและดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ปรับลดประมาณการ
เราปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลง 11% สะท้อนถึง SSSG ฟื้นตัวช้ากว่าคาด  โดย SSSG เดือน ม.ค. ยังติดลบใกล้เคียง 4Q63 เนื่องจากการระบาดของโควิดรอบใหม่ และผลกระทบจากมาตรการภาครัฐ แต่คาดว่า SSSG จะฟื้นตัวใน 2Q64 จากฐานต่ำในปีก่อนที่มีการล็อกดาวน์ และการฉีดวัคซีนคาดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวในประเทศและการบริโภคกลับมาดีขึ้น โดยผู้บริหารคาด SSSG ปีนี้ใกล้เคียงกับ GDP
ขยายสาขาต่อเนื่อง ฐานะการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี
CPALL ยังคงตั้งเป้าหมายเปิดสาขา 700 สาขาในปีนี้ ส่วนสัญญาการเปิดสาขาในปั๊ม ปตท. ซึ่งจะครบในปี 2566 ผู้บริหารเชื่อว่ามีแนวโน้มต่อสัญญาได้ การลงทุนใน 40% เทสโก้ฯ คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินงาน และประหยัดต้นทุน การกู้เงินมาลงทุนในเทสโก้ฯ ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพิ่มจาก 0.9 เท่าในปี 2562 เป็น 1.6 เท่า ซึ่งยังอยู่ภายใต้ Bond Covenant 2 เท่า ผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่มีการเพิ่มทุน
ความเสี่ยง: โควิด-19 กลับมาระบาด SSSG ฟื้นตัวช้ากว่าคาด นักท่องเที่ยวลดลง
Suttatip Peerasub
suttatip.p@maybank-ke.co.th
(66) 2658 6300 ext 1430

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!