WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“Selective Buy”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SALEE (จาก Fully Valued เป็นซื้อ)
       • ภาพตลาดวันก่อน : SET Index แกว่งตัวในแดนลบทั้งวัน แต่ถือว่าอ่อนตัวน้อยกว่าที่คาด ดัชนีปิดตลาดอยู่ที่ 1396.84 (-8.37 จุด) โดยต่ำสุดของวัน อยู่ที่ 1375.41 (-29.8 จุด) มูลค่าซื้อขายเพิ่มเป็น 5 หมื่นกว่าล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศเป็นกลุ่มที่ขายสุทธิ 6.8 พันล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศ ทั้งสถาบันในประเทศ พอร์ตบล. และรายย่อยซื้อสุทธิ 877 ล้านบาท, 358 ล้านบาท และ 5.6 พันล้านบาท ตามลำดับ
       • ปัจจัยและกลยุทธ์ : นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศหลายกลุ่มประเมินว่าปัญหาการเมืองไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ส่วนการฟื้นตัวทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจจากนี้ไป ขึ้นกับการบริหารของคสช.ว่าจะดำเนินการด้านการปฏิรูปประเทศควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นแค่ไหน แต่การที่คสช.เร่งกระทรวงการคลังให้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นด้วยการเร่งดำเนินการเรื่องสำคัญ
เช่น การทำงบประมาณปี 58, เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ่ายเงินชาวนาที่ติดค้างไว้จากโครงการรับจำนำข้าว (โดยจะเริ่มจ่าย 4 หมื่นล้านบาทใน
     วันนี้), พิจารณาเกี่ยวกับภาษีต่างๆ ทั้ง VAT, ภาษีรายได้นิติบุคคล ฯลฯ นับเป็นสิ่งที่ดี โดยหากบ้านเมืองและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว นักลงทุนต่างชาติที่ไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างไทยอย่างลึกซึ้งก็จะรู้สึกดีขึ้น ความเชื่อมั่นในไทยจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมาแม้ว่าจะยังไม่ได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้นก็ตาม สำหรับปัจจัยภายนอกวันนี้มีน้ำหนักค่อนไปทางบวก โดยยอดขายบ้านใหม่เดือนเม.ย.ของสหรัฐปรับขึ้นดีกว่าคาด ในทางปัจจัยพื้นฐาน เรา
ยังคงแนะนำทยอยซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาวในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาอ่อนตัว โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ AOT, BBL, KBANK, KTB, CPALL,ADVANC, DTAC, PTTGC, CPN, QH, SPALI, STEC, STPI, TTA เป็นต้น สำหรับการลงทุนตามรอบโดยใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคมีกลยุทธ์ คือ โดยหลักเป็นการซื้อตามค่าบวก กลยุทธ์รองคือซื้ออ่อนตัว โดย SET มีพื้นที่แนวรับ 1370-1360, 1340-1330 จุด และแนวต้านระยะสั้น 1400-1400, 1430+/- จุด
สำหรับหุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจวันนี้ เป็น TTA

 

Fundamental Pick
TTA แนะนำซื้อปิด 20.10 บาท ราคาพื้นฐาน 24.50 บาท
      • กำไรสุทธิ 2Q57 เป็น 183 ล้านบาท ฟื้นตัวดีขึ้นเทียบกับ y-o-y ที่เป็นขาดทุนสุทธิ 220 ล้านบาท ธุรกิจหลักๆฟื้นตัวดี เช่น เดินเรือ วิศวกรรมนอกชายฝั่งทะเล /บริการขุดเจาะ และปุ๋ยยกเว้นถ่านหินที่ธุรกิจยังอ่อน ธุรกิจเดินเรือมีค่าระวางเรือที่เพิ่มขึ้น และควบคุมต้นทุนได้ดี กำไรสุทธิ 1H57 คิดเป็น 45% เทียบกับประมาณการทั้งปี 57 แต่คาดว่าผลการดำเนินงาน ครึ่งปีหลังจะยิ่งสดใส จากอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นไปอีก และมีรายได้จากธุรกิจปุ๋ย คือ Baconcoมากขึ้น นั่นคือ กำลังการผลิตมากขึ้น เมื่อโครงการปุ๋ยชนิดเม็ด (granular) จะเริ่มผลิตตั้งแต่3Q57
       • ในภาพรวมธุรกิจ เห็นว่าธุรกิจเรือเทกองกำลังเข้าสู่วัฎจักรขาขึ้น โดยคาดว่ารายได้ของธุรกิจเรือเทกองของ TTA จะขยายตัวดีขึ้นในปี 57-58 สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 56 เป็น29% ในปี 57-58 เนื่องจากปริมาณการขนส่งสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และอัตราค่าระวางเรือปรับขึ้น บริษัทมีการขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจด้วยการทำสัญญาระยะยาวกับลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนเพิ่ม, การใช้กำลังการผลิตในระดับสูง และ Day Rate ที่สูงจะช่วยหนุนรายได้ในต่างประเทศ โดยรายได้ส่วนนี้คิดเป็น 40% ของรายได้รวมของกลุ่ม แนวโน้มธุรกิจปุ๋ยแข็งแกร่ง โดย Baconco จะทยอยขยายกำลังการผลิตเพื่อทำตลาดส่งออกให้มากขึ้น และทาง TTA จะนำบริษัท PM ThoresenAsia : PMTA ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน Baconco เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งผู้ถือหุ้น TTAจะได้สิทธิจองซื้อ PMTA ด้วย ด้าน TTA จะได้กำไรจากการนำหุ้น PMTA ขายใน IPO และมีกำไรที่ยังไม่รับรู้ (Unrealized Gain) เมื่อ PMTA เข้าจดทะเบียนในตลาดฯแล้ว
      • แนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 24.50 บาท (Sum-of-parts)

 

ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยออกมาดีกว่าคาด
       + กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่พุ่งสูงขึ้น 6.4% ในเดือนเม.ย. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน ที่ระดับ 433,000 ยูนิต ทั้งนี้ยอดขายบ้านใหม่ขยายตัวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 425,000 ยูนิต โดยหลักมายอดขายบ้านที่พุ่งสูงขึ้นแข็งแกร่งในแถบมิดเวสต์ปัจจัยหนุน คือ ต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงและสถานการณ์ด้านการจ้างงานที่ดีขึ้น

+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น...ดัชนี S&P 500สูงสุดเป็นประวัติการณ์
       + ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 63.19 จุด หรือ 0.38% ปิดที่ 16,606.27 จุด ดัชนีS&P 500 เพิ่มขึ้น 8.04 จุด หรือ 0.42% ปิดที่ 1,900.53 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 31.47จุด หรือ 0.76% ปิดที่ 4,185.81 จุด โดยดัชนี S&P 500 ปิดทะลุระดับ 1,900 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ปัจจัยหนุน คือ ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยออกมาดีกว่าคาด และรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดย ณ ขณะนี้ บริษัทที่คำนวณในดัชนี S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการไปแล้วทั้งหมด 97% หรือ 487 บริษัท ในจำนวนดังกล่าว 68.2% รายงานตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด

+ สัญญาน้ำมันดิบปรับขึ้น...ตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ที่แกร่งของสหรัฐหนุน
       + สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ในเดือนเม.ย.ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ ปิดที่ 104.35 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอนเพิ่มขึ้น 18 เซนต์ ปิดที่ 110.54 ดอลลาร์/บาร์เรล

- สัญญาทองคำ COMEX อ่อนลง 0.25%
       - สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 3.3ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ 1,291.7 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
      • DBS Group Research ปรับลดคาดการณ์GDP Growth ปี 57-58 เป็น 1.6% และ 3.8%ตามลำดับ
      • DBS Group Research ปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ของไทยปี 57-58 ลงเป็น 1.6%และ 3.8% จากเดิม 1.8% และ 4.8% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อน GDP ไตรมาส 1/57 ที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยการบริโภคหดตัวมาต่อเนื่อง 5 ไตรมาส และการลงทุนลดลงต่อเนื่องมาแล้ว 3 ไตรมาส รวมทั้งผลกระทบจากการทำรัฐประหารที่อาจทำให้ภาคท่องเที่ยว โรงแรมชะลอตัวลง การลงทุนภาคเอกชนอาจยังฟื้นตัวไม่เร็วนัก เพราะนักลงทุนต้องการเห็นภาพที่ชัดเจนของประเทศไทยหลังการปฏิรูปก่อน

        • ประเมินว่าทางการไทยจะยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายปานกลางด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% สำหรับค่าเงินบาทคาดว่าจะผันผวนน้อยลงในสัปดาห์นี้ หลังจากที่แกว่งตัวในสัปดาห์ก่อนที่มีการประกาศยึดอำนาจการปกครองโดยทหาร

• คาดว่าการปรับลดประมาณการ GDP Growth ปี 57 ของไทยลงเป็นต่ำกว่า 2% นั้นไม่กระทบต่อการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวเป็นที่กล่าวถึงในตลาดก่อนหน้านี้มาบ้างแล้ว แต่สิ่งที่จับตา คือ ประมาณการ GDP Growth ของปี 58 ซึ่งหลายสำนักวิจัยยังไม่ได้ปรับ เพราะรอดูทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจหลังมีรัฐบาลที่มีอำนาจเข้ามาบริหารงานก่อน

       • วันนี้ (26 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์จะรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นหัวหน้าคณะคสช. และแถลงเรื่องการออกรธน.มาใช้แทนรธน.ปี 2550

       • ในวันที่ 26 พ.ค. เวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯให้เป็นหัวหน้าคณะคสช.จากนั้นจะมีธรรมนูญปกครองชั่วคราว และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเพื่อบริหารประเทศ โดยจะมีสภานิติบัญญัติและสภาปฏิรูป ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จะแถลงรายละเอียดต่อสื่อมวลชนหลังรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เพื่อให้ทราบถึงขึ้นตอนการดำเนินการออกธรรมนูญชั่วคราวขึ้นมาแทนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยอาจมีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขึ้นมาดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญ

        + คสช.ให้สศค.เร่งรวบรวมมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ & ฟื้นฟูความเชื่อมั่นอย่างเร่งด่วน...เริ่มจ่ายเงินชาวนา 4 หมื่นล้านบาทวันนี้ (26 พ.ค.) ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำเลือกซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี เพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว

       + พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้าคสช.มอบหมายให้สศค.รวบรวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เช่น การทำงบประมาณปี 2558เพื่อให้ใช้ได้ทัน 1 ต.ค.2557 ก็จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจ ทำให้มีวงเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจต่อเนื่อง (แต่จะขาดดุลเป็นจำนวนเท่าไรต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง), การเร่งจ่ายเงินชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งในวันนี้ (26 พ.ค.) จะเริ่มจ่าย 4 หมื่นล้านบาทก่อนแล้วส่วนที่เหลือจะทยอยจ่ายตามมา, การเร่งพิจารณาอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่อัตราเดิม7% จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.2557 ว่าควรจะขยายเวลาออกไปอีกกี่ปี, การขยายเวลาการลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 20% ออกไปอีกระยะหนึ่ง เป็นต้น

       • ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นข่าวบวกที่คสช.เร่งเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเป็นรัฐบาลแต่งตั้งก็จะทำให้ความเชื่อมั่นของต่างชาติกลับมาไม่ได้ทั้งหมดโดยเร็ว และสิ่งที่ต้องระวังในช่วงสั้น คือ ความผันผวนในตลาดการเงินและค่าเงินบาท โดยหากมีเม็ดเงินไหลออกมากๆ ก็จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าเร็ว ซึ่งในส่วนนี้ทางการไทยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

      • สำหรับกระแสข่าวเรื่องการตั้ง 2 สภา คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปประเทศหากมีการเดินหน้าในแนวทางนี้ ก็บ่งชี้ว่าคสช.ต้องการเดินหน้าทั้งเรื่องการปฏิรูปและบริหารประเทศไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตอบโจทย์ได้ดีถ้าสามารถดำเนินการ 2 สภาไปพร้อมกันได้อย่างลงตัวและราบรื่น แต่ ณ ขณะนี้ยังมีประเด็นต้องติดตามต่อ คือ 1) รายละเอียดของแผนงานและแนวทางปฏิบัติ ซึ่งทางพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าคณะคสช.จะมีแถลงในวันที่ 26 พ.ค.57,2) ระยะเวลาในการดำเนินการและระยะเวลาที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่นอนว่าจะใช้ระยะเวลา 5-6 เดือน หรือจะเป็น 1-2 ปี ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่

       • เราเห็นว่าจุดสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ดีในช่วงนี้ คือ การจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมีอำนาจในการบริหารประเทศโดยเร็ว และรัฐบาลสามารถให้ความชัดเจนในเรื่องต่างๆ กับทั้งประชาชนไทยและต่างประเทศได้อย่างมีเหตุผลและโปร่งใส แสดงถึงความจริงจังที่เป็นไปได้ในการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศเรื่องสำคัญต่างๆ ให้ดีขึ้นและทำให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

      • ความเสี่ยง คือ การชุมนุมต่อต้านของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร และบางกลุ่มมีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ซึ่งจะกดดัน Sentiment อย่างไรก็ตาม คาดว่าทหารและตำรวจจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

      • ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน เรายังคงแนะนำทยอยซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาวหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาอ่อนตัว โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ AOT, BBL, KBANK, KTB, CPALL, ADVANC,DTAC, PTTGC, CPN, QH, SPALI, STEC, STPI, TTA เป็นต้น

       + ผอ.ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่สหรัฐและฝรั่งเศส ประเมินว่ารัฐประหารในไทยไม่กระทบการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐ & สหภาพยุโรป

      + นางสมจินต์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าสหรัฐจำเป็นต้องแสดงออกให้ประชาคมโลกรับรู้ว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ทางการสหรัฐจะแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ทางการค้ากับการเมืองว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ยอดส่งออกไปสหรัฐจะขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มที่ดี ขณะที่คู่ค่าที่เดินทางมาชมงานแสดงสินค้าในไทย ยังสั่งซื้อสินค้าตามปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกและสอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยแต่อย่างใด โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐปีนี้จะยังคงขยายตัวได้ที่ 3%ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้

       • นายประกายศักดิ์ สวัสดิ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กล่าวว่าผู้นำเข้าที่เชิญมาร่วมงานแสดงสินค้าอาหาร Thaifex-World ofFood 2014 ยังคงสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยตามปกติ และไม่ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยจากการสอบถามกลับไปยังสำนักงานการค้าระหว่างประเทศที่กรุงปารีส ยังไม่มีผู้นำเข้ารายใดสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยแต่อย่างใด จึงเชื่อมั่นว่าการค้าจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยคาดว่าปีนี้การส่งออกไปยังฝรั่งเศสจะขยายตัว 5%หรือคิดเป็นมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

       • ทั้งนี้ ตลาดสหรัฐมีสัดส่วนต่อการส่งออกของไทยถึง 10% ของการส่งออกทั้งหมด โดยมูลค่าการส่งออกเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 0.8% ส่วนตลาดสหภาพยุโรป (15) สัดส่วน 8.8% มูลค่าการส่งออกปีที่ผ่านมา 2.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น 2.7% (ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)

      • ฟิทช์ เรทติ้ง รอดูทิศทางของไทยใน 2H57หากรัฐบาลทหารมีเสถียรภาพและนำไปสู่การเลือกตั้งในที่สุดก็เป็นบวกต่อเครดิตระยะยาว

       • บริษัทฟิทช์ เรทติ้ง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศระบุว่าขณะนี้ปัจจัยสำคัญสำหรับเครดิตเรตติ้งประเทศไทยอยู่ที่ความเร็วในการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศแบบมีอำนาจเต็ม โดยที่ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองอีก

      • ฟิทช์ เรทติ้ง ประเมินว่าอย่างน้อยที่สุดการยึดอำนาจใดยทหารก็ช่วยยุติความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤตมาเป็นเวลานานหลายเดือน และน่าจะนำไปสู่กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพในไม่ช้า โดยถ้าการยึดอำนาจโดยทหารได้รับการยอมรับและนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลและการเลือกตั้งทั่วไปในที่สุด ทั้งหมดก็จะเป็นปัจจัยบวกในระยะยาวสำหรับเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยทั้งในเรื่องเสถียรภาพการเมืองและเศรษฐกิจ

      • แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าการยึดอำนาจไม่ได้รับการยอมรับและมีการต่อต้าน ก็จะเกิดผลลบในเรื่องความมั่นใจของนักลงทุนและผู้บริโภค ฟิทช์ฯหวังว่ากระบวนการนำการเมืองกลับสู่เสถียรภาพจะชัดเจนในครึ่งหลังของปี 57 มิฉะนั้นจะมีความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยและจะกระทบต่อสถานะอันดับเครดิตของประเทศในเชิงลบ

       + KTB : คาดว่าจะได้รับประโยชน์หลังมีรัฐบาลเข้ามาบริหาร การใช้จ่าย & ลงทุนภาครัฐมีโอกาสเดินหน้าได้ดีขึ้น...ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 23 บาท
       + คาดว่า KTB เป็นอีกธนาคารหนึ่งที่จะได้รับประโยชน์หลังจากมีรัฐบาลที่มีอำนาจเข้ามาบริหารประเทศ โดยการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัวไปในช่วงก่อนจะพลิกฟื้นได้ และมีแนวโน้มว่าจะรวดเร็วเพราะรัฐบาลมีนโยบายเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประมาณการว่าสินเชื่อธนาคารปี 57 จะขยายตัวเพียง 4.2% ซึ่งสะท้อนความซบเซาของการบริโภคและการลงทุนใน 1H57 ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คาดการณ์ว่าจะเติบโต 5.4% อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวมีโอกาสที่จะขยายตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย, การขยายตัวของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งมี room ที่จะทำได้อีกมากอันเนื่องจากฐานรายได้ส่วนนี้ที่ต่ำของธนาคาร ในด้าน Valuation น่าจูงใจ ณ ราคาปัจจุบัน18.10 บาท ซื้อขายที่ P/E ปี 57 ต่ำเพียง 7.1 เท่า และ P/BV เท่ากับ 1.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 10.1 เท่า และ 1.8 เท่า ตามลำดับ โดย ROE อยู่ที่ 17.4% เท่ากับเฉลี่ยของกลุ่มคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปีนี้ไว้ที่ประมาณ 5% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 23บาท

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 arparporns@th.dbsvickers.com

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!