WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน
      Fund Flow กลับมาเป็นวันที่ 2 แต่การที่ดัชนีปรับตัวขึ้นเกือบ 6% ในช่วงกว่า 1 สัปดาห์ ทำให้มีโอกาสปรับฐานสูง ยังแนะนำกลยุทธ์ Laggard Play โดยเฉพาะหุ้นเกี่ยวกับท่องเที่ยว/การบิน หลังจากมีการยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่ท่องเที่ยวบางแห่ง จึงเลือก AOT(FV@B230) เป็น top pick โดยยังชื่นชอบ PTT(FV@B360) และ SEAFCO(FV@B6.03)

ลุ้น ECB ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ พรุ่งนี้
         เชื่อว่าประเด็นที่ตลาดให้น้ำหนัก น่าจะมุ่งไปที่เศรษฐกิจทางฝั่งสหภาพยุโรป และผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (ตามเวลาในยุโรป) โดยประเด็นที่ตลาดจับตามองคงหนีไม่พ้นเรื่องของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์จากบลูมเบิร์ก 90% ของจำนวนที่สำรวจทั้งหมด คาดหวังว่า ECB จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยปรับลดทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ปัจจุบันอยู่ที่ 0.25%) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (ปัจจุบันอยู่ที่ 0%) ลงราว 0.1-0.15% เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปยังคงอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงจากอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง 11.7% ในเดือน เม.ย. (ลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยที่ระดับ 11.8%) และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ 0.5% ในเดือน พ.ค. (ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 0.7% และต่ำกว่าคาดที่ระดับ 0.6%) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ ECB กำหนดไว้ที่ 2% อย่างมาก ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่จะหนุนตลาดหุ้นในระยะสั้น ๆ นี้

สถานการณ์ที่ผ่อนคลายลง หนุนเงินทุนไหลกลับระยะสั้น
       วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังกลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่ลดลงจากวันก่อนหน้า 25% เหลือราว 248 ล้านเหรียญฯ เริ่มจากไต้หวันที่กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง และซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 8 ราว 126 ล้านเหรียญฯ และเพิ่มขึ้นอย่างมากจากวันก่อนหน้าที่ซื้อเพียง 14 ล้านเหรียญฯ ตามมาด้วยไทย ยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ราว 94 ล้านเหรียญฯ (3.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากวันก่อนหน้า) เกาหลีใต้ แม้จะซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 15 แต่ยอดซื้อกลับลดลงถึง 79% เหลือเพียง 39 ล้านเหรียญฯ และ ฟิลิปปินส์สลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 10 ล้านเหรียญฯ ยกเว้น อินโดนีเซียที่สลับมาขายสุทธิราว 21 ล้านเหรียญฯ
หลังจากที่ต่างชาติซื้อหุ้นไทยอย่างหนัก 2 วันติดต่อกันรวม 5.8 พันล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อสุทธิตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2557 กลับมาเป็นบวกอีกครั้งราว 972 ล้านบาท ในทิศทางเดียวกับตลาดตราสารหนี้ที่นักลงทุนกลุ่มนี้พลิกกลับมาซื้อสุทธิราว 1.6 พันล้านบาท (หลังจากขายติดต่อกัน 7 วันรวม 2 หมื่นล้านบาท) เชื่อว่าในวันนี้ตลาดจะผ่อนคลายลงบ้างหลังจากการประเทศยกเลิกเคอร์ฟิวในบางพื้นที่ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น และน่าจะหนุนให้เงินทุนจากต่างชาติไหลเข้าประเทศไทยอีกครั้งในระยะสั้น และน่าจะมีแรงซื้อเข้ามาเพิ่มเติมจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันจาก Trigger Fund ของ Kring Sri AM ขนาดกอง 500 ล้านบาท ที่ปิดการขายไปเมื่อวานนี้

ท่องเที่ยวผ่อนคลาย เลิกเคอร์ฟิวบางพื้นที่: AOT เด่น
        หลังจากประกาศใช้กฎอัยการศึกมาตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. 2557 เป็นต้นมา พร้อมประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ในช่วงเวลา 22.00-5.00 น. และลดช่วงเวลาลงเหลือ 0.00-4.00 น. ในวันที่ 27 พ.ค. 2557 และวานนี้ได้ยกเลิกเคอร์ฟิวในบางพื้นที่ที่เป็นจังหวัดท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา และ อ.สมุย นอกจากนี้ คสช. ยังให้ความสำคัญกับการฟื้นภาคท่องเที่ยว โดยเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเพิ่มเติม เช่น พิจารณาให้วันที่ 11 ส.ค. เป็นวันหยุด (ช่วงวันแม่จะกลายเป็นวันหยุดยาว 4 วัน) ขณะที่ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุดในเดือน พ.ค. 2557 พบว่าเพิ่มขึ้นถึง 4.27% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน และเป็นระดับสูงในรอบ 4 เดือน ภาวะความตึงเครียดทางการเมืองที่ลดลง น่าจะสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งโรงแรม อุตสาหกรรมอาหาร การบิน และผู้ให้บริการสนามบิน จึงทำให้นักวิเคราะห์ ASP ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นโรงแรม-ท่องเที่ยว และขนส่งทางอากาศ จากเดิม น้อยกว่าตลาดเป็น เท่ากับตลาด

      กลุ่มท่องเที่ยว การประกาศใช้กฎอัยการศึกมาตั้งแต่ 20 พ.ค.2557 ประกอบกับการที่ตามปกติเป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่ Low Seasonของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 2 อยู่แล้ว ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือน พ.ค. และ มิ.ย.2557 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี จากบรรยายกาศที่ผ่อนคลายและการเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะทำให้เห็นการฟื้นตัวดีขึ้นใน 3Q57 และโดดเด่นใน 4Q57 ซึ่งเข้าสู่ช่วง High Season และหากเทียบกับรูปแบบการฟื้นตัวกับรัฐประหารเดือน ก.ย. 2549 พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนดังกล่าวอยู่ที่ 9.79 แสนคน ลดลง 20% จากเดือนก่อนหน้า ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในเดือน ต.ค. – ธ.ค. 2549 เช่นเดียวกับกรณีการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ช่วงเดือน เม.ย. 2552-2553 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง Low Season พบว่าทุกครั้งที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อนักท่องเที่ยวเดือนดังกล่าวลดลงแรง ก่อนจะใช้ระยะเวลาในการเรียกคืนความเชื่อมั่นด้านปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างน้อย 2 เดือน ก่อนกลับสู่ภาวะปกติ
       

       เชื่อว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวนับจากนี้ เชื่อว่าจะมีทิศทางดีขึ้น และส่งผลบวกต่อการดำเนินงานต่อกลุ่มโรงแรมทั้ง 3 บริษัท คือ MINT, ERW และ CENTEL ให้พ้นจากจุดต่ำสุดใน 2Q57 ก่อนฟื้นตัวดีขึ้นในลักษณะขั้นบันได โดยจะโดดเด่นสุด 4Q57 และพีคต่อเนื่องใน 1Q58 ซึ่งปกติจะเป็นไตรมาสดีสุดของกลุ่มโรงแรม เชื่อว่าสัญญาณดังกล่าวจะหนุนให้ Sentiment การลงทนหุ้นในกลุ่มโรงแรมกลับมามีความน่าสนใจลงทุนอีกครั้ง จึงปรับเพิ่มคำแนะนำกลุ่มฯ เป็น เท่ากับตลาด จากเดิม น้อยกว่าตลาด และเพื่อสะท้อนมุมมองเชิงบวกขึ้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐาน โดยเป็นการปรับเพิ่ม Terminal Growth Rate ภายใต้วิธี DCF จากเดิม 3% เป็น 4% ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่ของ ERW ที่ 5.0 บาท, CENTEL ที่ 40 บาท และ MINT ที่ 32 บาท มี upside 15%, 19% และ 20% ตามลำดับ จึงปรับเพิ่มเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ สำหรับหุ้นทั้ง 3 ตัว โดยเลือก MINT เป็น Top Pick จากธุรกิจกระจายตัวมากสุด ทำให้เป็นบริษัทเดียวที่จะเห็นการเติบโตของกำไรดีสุดในปีนี้ กอปรกับ PER ซื้อขายต่ำสุดในกลุ่มฯ และ upside มากสุด


       กลุ่มขนส่งทางอากาศ ผลกระทบของการยึดอำนาจ ต่อปริมาณผู้ใช้บริการน่าจะเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ โดยประเมินว่าเดือน มิ.ย. 2557 น่าจะเป็นจุดเลวร้ายที่สุดของปีนี้ และน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามลำดับ และหากพิจารณาสถิติผู้ใช้บริการในการปฏิวัติรอบปี 2549 ยืนยันว่าปริมาณผู้ใช้บริการจะทรุด 1-2 เดือนแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะฟื้นตัวสู่ระดับปกติ ดังนั้น เชื่อว่ากำไรกลุ่ม 2Q57 จะเป็นตกต่ำสุดของปี ก่อนฟื้นตัวเป็นขั้นบันไดหลังจากนั้น หากพิจารณาเป็นรายหุ้น คาดว่า THAI น่าจะมีผลประกอบการฟื้นตัวดีสุดในงวด 3Q57 อานิสงส์จากที่มีนักท่องเที่ยวชาวยุโรป เข้าสู่ช่วงท่องเที่ยว (หนีหนาวมาเที่ยวในช่วงปลาย 3Q57) และมีโอกาสลุ้นพลิกจากขาดทุนมามีกำไรใน 4Q57 ส่วนสายการบินอื่นๆ โดยเฉพาะ low cost ที่บินระยะทาง สั้น ๆ ในประเทศ และ ประเทศใกล้เคียง เช่น AAV คาดว่าผลกำไรใน 3Q57 น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับงวด 2Q57 เพราะเป็นงวดที่มีฐานกำไรสูงมากจากที่อยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่วน AOT ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการแก่สายการบินต่าง ๆ ยอมได้รับผลดีในลักษณะเดียวกัน โดยคาดว่างวด 2Q57 น่าจะงวดที่ต่ำสุดของปี และจะทรงตัวในงวด 3Q57 (ก.ค.-ก.ย.) แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้า แต่ต้องบันทึกโบนัสจ่าย และหลังจากนี้คาดว่าผลกำไรจะกลับมาเติบโตโดดเด่นใน 4Q57


      โดยสรุป ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มฯ เป็น เท่ากับตลาด จากเดิม น้อยกว่าตลาด เพราะได้ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐาน THAI มาที่ 15.3 บาท พร้อมเพิ่มคำแนะนำ เป็น “ถือ” และยังเลือก AOT (FV@B230) เป็น Top Pick



มีโอกาสปรับฐานหลัง SET แตะ Ex P/E 15 เท่า ใช้ Laggard Play
       ดัชนีฟื้นตัววันที่ 26 พ.ค. หลังจากปรับฐานอยู่เกือบ 2 สัปดาห์ (1,375-1,410 จุดระหว่าง 9 พ.ค. – 23 พ.ค. 2557) โดยเฉพาะหลังจากการประกาศใช้กฏอัยการศึกในวันที่ 20 พ.ค. 2557 พบว่าลดลงต่ำสุด 1,375 จุด (23 พ.ค.) โดยล่าสุดวานนี้ ดัชนีปิดที่ 1,454.24 จุด เพิ่มขึ้น 5.74% แต่หากพิจารณาดัชนีรายกลุ่ม พบว่าฟื้นตัวแตกต่างกัน ดังภาพข้างต้น (หน้าแรก)


        กลุ่มที่ปรับขึ้นได้มากกว่าตลาด เป็นกลุ่มอิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นแรงสุด 15.4% (แต่มีรายหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่ากลุ่ม คือ STPI 7.4%, SRICHA 6% และ BJCHI 2%) ตามมาด้วยอสังหาฯ 9.8% (หุ้นที่ขึ้นน้อยกว่าตลาด ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก) วัสดุก่อสร้าง 8.7% (SCC ขึ้นเพียง 8%) ค้าปลีก 8.7% (CPALL ขึ้นเพียง 7%) ตามมาด้วย ธ.พ. 7.8% (SCB ขึ้นเพียง 7.7%, BBL 7.2%, KBANK 6.7%) ท่องเที่ยว-โรงแรม และขนส่ง ขึ้นเท่ากันที่ 6.8% (AOT ขึ้นเพียง 6% และ BECL เพียง 4.5%)
กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด ยังเป็นหุ้นในกลุ่มอิงเศรษฐกิจโลก (Global Play) ได้แก่ พลังงาน โดยให้ผลตอบแทนเพียง 1.9% (รายหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่ากลุ่ม คือ PTT 0.3%, PTTEP 1.3%, BCP 1.7%) ปิโตรฯ 3.1% (PTTGC 2.2%) ชิ้นส่วนฯ 3.3% (KCE 0%, HANA 0%) และกลุ่ม Domestic Play บางกลุ่ม ได้แก่ ยานยนต์ 4.2% และบันเทิง 5%


กลยุทธ์ Laggard Play โดยเลือกหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดและน้อยกว่ากลุ่ม ดังนี้
        หุ้นกลุ่ม Big Cap มี Upside สูง, Dividend Yield ระดับน่าพอใจ และ Expected P/E ต่ำ ได้แก่ PTT (FV@B360) upside 20% yield 4.6% P/E 8.2 เท่า, PTTEP (FV@B195) upside 25% yield 4.4% P/E 9.2 เท่า, PTTGC (FV@B87) upside 26% yield 5% P/E 9.2 เท่า, SCC (FV@B520) upside 20% yield 3.7% P/E 13.2 เท่า
       หุ้นขนาดกลางปันผลสูง Upside สูง ได้แก่ BTS (FV@B11.2) แต่เนื่องจากวันนี้จะขึ้นเครื่องหมาย XD 5 เดือน มิ.ย. ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท(รายไตรมาส) upside 32% yield 6.9% และ TISCO (FV@B47.31) upside 13% yield 6.8%
       หุ้น Sentiment บวก ได้แก่ AOT (FV@B230) upside 21% และ SEAFCO (FV@B6.03) upside 22%

ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132ผู้ช่วยนักวิเคราะห์

พบชัย ภัทราวิชญ์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!