WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“ยกเลิกเคอร์ฟิวบางพื้นที่...กระตุ้นท่องเที่ยว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PJW (จากถือเป็นซื้อ)
       • ภาพตลาดวันก่อน : ดัชนีปรับขึ้นต่อ 13.30 จุดมาปิดที่ 1454.24 มูลค่าซื้อขายเพิ่มเป็น 6 หมื่นกว่าล้านบาท ทั้งนี้นักลงทุนยังเลือกซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี หลังสถานการณ์การเมืองคลี่คลายลง และเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัวได้ตั้งแต่ 2H57 เป็นต้นไป นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 3.1พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 693 ล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อ-ขายใกล้เคียงกัน ส่วนรายย่อยขายสุทธิ 3.8 พันล้านบาท


        • ปัจจัยและกลยุทธ์ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้นในรอบ 14 เดือน เป็นบวกกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์, เช่าซื้อ, สื่อสาร, ค้าปลีก & ให้เช่าพื้นที่และที่พักอาศัย นอกจากนั้นการยกเลิกเคอร์ฟิวพื้นที่ท่องเที่ยวพัทยา-สมุย-ภูเก็ต ก็เป็นบวกโดยตรงกับกลุ่มสายการบิน โรงแรม & ท่องเที่ยว ซึ่งหุ้นเด่นคือ AOT, CENTEL, MINT และเป็น Sentiment ที่ดีกับกลุ่มอสังหาฯในพื้นที่ดังกล่าว โดยหุ้นเด่นเป็น CPN สำหรับปัจจัยที่ติดตาม คือ ผลของการเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่คสช.ได้ประกาศและมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆดำเนินการ, สถานการณ์บ้านเมือง, ผลการประชุม ECB ว่าจะลดดอกเบี้ยและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่

 

       และรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าอัตราว่างงานจะขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 6.4% กลยุทธ์การลงทุน : ในทางปัจจัยพื้นฐาน เรายังคงให้เลือกซื้อลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจมั่นคง ความสามารถในการทำกำไรดี และเติบโตได้ในระยะกลาง-ยาว สำหรับการลงทุนตามรอบโดยใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคมีกลยุทธ์ คือ โดยหลักเป็นการซื้อตามค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1460, 1480 จุด โดยแนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุดอยู่ที่ 1420 จุด สำหรับหุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจวันนี้ เป็น AOT

 

Fundamental Pick
AOT แนะนำซื้อปิด 194.50 บาท ราคาพื้นฐาน 237 บาท
        • กำไร 2Q57 ออกมาอ่อนตามคาดลดลง 18% y-o-y เป็น 3.7 พันล้านบาท เพราะผู้โดยสารต่างประเทศที่ลดลง 6% y-o-y ทำให้รายได้ในส่วนค่าธรรมเนียมผู้โดยสาร (PSC) ลดลงไป 5%ซึ่งรายได้ในส่วนนี้คิดเป็น 43% จากทั้งหมด แต่ยังถือว่าแข็งแกร่ง และเป็นไปตามที่เราและตลาดฯคาดไว้ก่อนหน้า เพราะแม้มีการชุมนุมในเขตกรุงเทพฯ แต่ธุรกิจการให้จอดเครื่องบิน(L&P) + 16% y-o-y รายได้จากสัมปทาน +10% y-o-y และจำนวนผู้โดยสารในประเทศ +12%y-o-y ก็ยังเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง แนวโน้มดีขึ้น หลังจากมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในปลายเดือนมี.ค.57 ตัวเลขผู้โดยสารต่างประเทศเดือนเม.ย.57 เป็น -5.9% ฟื้นตัวขึ้นจากเดือนมี.ค. และก.พ.57 ที่เป็น -10.1% และ -8.3% ตามลำดับ การยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่ท่องเที่ยวพัทยา, สมุยและภูเก็ต ก็จะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวได้อีกส่วนหนึ่งด้วย เราให้สมมุติฐานผู้โดยสารต่างประเทศเติบโต 2% ในปีนี้ ส่วนการเติบโตของกำไรหลักอยู่ที่ 23% ประเมินราคาพื้นฐานเท่ากับ 237.00บาท (วิธี DCF) แนะนำซื้อ ทั้งนี้ปัจจัยที่เป็น Catalyst ในระยะสั้น คือ ปัญหาการเมืองคลี่คลายส่วนปัจจัยหนุนระยะยาว ได้แก่ การเปิด AEC และการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่ 2

 

ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
•/+ ยูโรโซน : คาด ECB จะลดดอกเบี้ย &ออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มในการประชุม 5มิ.ย.นี้
•/+ นักวิเคราะห์คาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 5มิ.ย.นี้ (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.25%) และคาดการณ์ด้วยว่าธนาคารกลางยุโรปจะพิจารณาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม (QE) เพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ & ค่าเงินที่แข็งจนเกินไป รวมทั้งอัตราการขยายตัวที่ชะลอตัวในบางภาคส่วน โดยล่าสุดมีรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนลดลงแตะ 0.5% ในเดือนพ.ค.57 จาก 0.7% ในเดือนเม.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.6%

• จีน : คาดการณ์ว่าดัชนี CPI จะเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค.57
• เหลียน ปิง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ ออฟ คอมมูนิเคชั่นส์ คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) ของจีน จะขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้นในเดือนพ.ค.57 อันเนื่องมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร โดยประมาณการไว้ที่ 2.6%YoY ซึ่งสูงสุดในรอบ 6 เดือน สำหรับอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของจีนปี 57 อยู่ที่ไม่เกิน 3.5%

+ สหรัฐ : ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเพิ่มขึ้น0.7%MoM
+ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าที่ผลิตในโรงงานสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.7%MoMในเดือนเม.ย.57 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเดือนที่สามติดต่อกัน และดีกว่าคาดการณ์ที่ 0.5%MoM

- ตลาดหุ้นสหรัฐปิดอ่อนลงจากแรงขายทำกำไร
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,722.34 จุด ลดลง 21.29 จุด หรือ -0.13% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,234.08 จุด ลดลง 3.12 จุด หรือ -0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,924.24 จุดลดลง 0.73 จุด หรือ -0.04% โดยหลักมาจากแรงขายทำกำไรหลังทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่องรวมทั้งจับตัวตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานของเดือนพ.ค.ที่จะออกมาในวันศุกร์นี้ด้วย ซึ่งนักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราว่างงานอาจจะขยับขึ้นเป็น 6.4% ในเดือนพ.ค.จากระดับต่ำสุดในรอบห้าปีครึ่งที่ 6.3% ในเดือนเม.ย.

• สัญญาน้ำมันดิบอยู่ในกรอบแคบ
• สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 19 เซนต์ ปิดที่ 102.66 ดอลลาร์/บาร์เรลสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 1 เซนต์ ปิดที่ 108.82ดอลลาร์/บาร์เรล

• สัญญาทองคำ COMEX รีบาวด์เล็กน้อย
• สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ขยับขึ้น 50 เซนต์ปิดที่ 1,244.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่าเฟดจะทยอยลด QE อย่างต่อเนื่องและจะยุติโครงการในราวปลายปีนี้

ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
+ คสช.ยกเลิกคอร์ฟิวพื้นที่ท่องเที่ยวพัทยา-สมุย-ภูเก็ต ...เป็นบวกโดยตรงกับกลุ่มสายการบิน โรงแรม & ท่องเที่ยว หุ้นเด่น คือAOT, CENTEL, MINT และเป็น Sentiment ที่ดีกับกลุ่มอสังหาฯในพื้นที่ดังกล่าว หุ้นเด่นคือ CPN
+ หัวหน้าคสช.ได้ลงนามคำสั่งให้ออกประกาศฯ ยกเลิกเคอร์ฟิวในบางพื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี, พื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดภูเก็ต เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางท่องเที่ยว
ความเห็น Retail Research : นับเป็นข่าวบวกโดยตรงกับกลุ่มสายการบิน, โรงแรม &ท่องเที่ยว ซึ่งบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจสายการบินและโรงแรมที่เราทำการวิเคราะห์และแนะนำซื้อ ประกอบด้วย AOT (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 237 บาท), CENTEL (แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 38 บาท) และ MINT (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 30 บาท) นอกจากนั้นการยกเลิกเคอร์ฟิวยังทำให้บรรยากาศของธุรกิจให้เช่าพื้นที่ และที่พักอาศัยในแถบพัทยา, สมัยและภูเก็ตดีขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทที่มีโครงการในพื้นที่ดังกล่าวได้แก่ CPN (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 51.70 บาท), LPN (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย-Under Review), SIRI (แนะนำ FullyValued) เป็นต้น

+ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.ที่ 70.7 ดีขึ้นรอบ 14 เดือน...เป็นบวกกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์, เช่าซื้อ, สื่อสาร, ค้าปลีก & ให้เช่าพื้นที่ และที่พักอาศัย
+ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ค.57 อยู่ 70.7 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 60.0 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 64.2 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่87.1 ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นในรอบ 14 เดือน หลังจากมั่นใจว่าการเมืองมีเสถียรภาพและคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นในระยะอันใกล้

• ปัจจัยบวกต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค คือ การเข้ามาบริหารประเทศของคสช. ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นทั้งเศรษฐกิจและการเมือง, คสช.อนุมัติจ่ายเงินโครงการจำนำข้าว, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลง, ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย ด้านปัจจัยลบ ประกอบด้วยสภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 57 เหลือ 1.5-2.5% จากเดิมที่คาด 3-4%, การส่งออกในเดือนเม.ย.ลดลง 0.9%, ราคาพืชผลทางการเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ, ผู้บริโภคยังกังวลค่าครองชีพและราคาสินค้า และความกังวลเกี่ยวความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก

ความเห็น Retail Research : กลุ่มอุตสาหกรรม & หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้น คือ
# ธนาคารพาณิชย์ (ความต้องการใช้สินเชื่อและบริการทางการเงินของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น หุ้นเด่น คือ แบงค์ใหญ่ที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น BBL-ราคาเป้าหมาย 228 บาท, KBANK-ราคาพื้นฐาน 210 บาท, KTB-ราคาพื้นฐาน 23 บาท)# ธุรกิจเช่าซื้อ (ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการเช่าซื้อสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์สื่อสาร อิเลคทรอนิกส์ต่างๆ หุ้นเด่น คือ SINGER – ราคาพื้นฐานในSAA Consensus 23.6 บาท)

# สื่อสาร (การซื้อสินค้าและบริการในกลุ่มเทคโนโลยีมีมากขึ้น หุ้นเด่น ADVANC – ราคาพื้นฐานใน SAA Consensus 264 บาท, INTUCH – ราคาพื้นฐานใน SAA Consensus 100.6บาท)
# ค้าปลีก & ให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก (การจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันดีขึ้น หุ้นเด่น คือCPALL – ราคาพื้นฐาน 48 บาท, BIGC – ราคาพื้นฐาน 215 บาท, CPN – ราคาพื้นฐาน 51.7บาท)


# ที่พักอาศัย (ความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยมากเป็นอันดับต้นๆของผู้บริโภคนอกเหนือไปจากระดับของอัตราดอกเบี้ย เพราะเป็นการซื้อของใหญ่ที่ต้องใช้เงินมากและผ่อนชำระนานหลายปี ในช่วงที่เศรษฐกิจบูมมากๆ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง แต่คนก็ยังซื้อที่พักอาศัยกันจำนวนมากเพราะมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจและการมีงานทำ หุ้นเด่น คือ SPALI – ราคาพื้นฐาน 24 บาท, AP – ราคาพื้นฐาน 6.30 บาท, QH – ราคาพื้นฐานSAA Consensus 3.72 บาท)
+ MCS : อัตราค่าแรงงานในญี่ปุ่นมีแนวโน้มสูงขึ้น ... เป็นโอกาสดีที่บริษัทจะประมูลงานโครงสร้างเหล็กจากญี่ปุ่นได้มากขึ้นในระยะต่อไป
• กระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการญี่ปุ่น รายงานว่าอัตราค่าจ้างที่แท้จริงเฉลี่ยในเดือนเม.ย.57 ที่มีการปรับตามเงินเฟ้อปรับตัวลง 3.1%YoY แม้ว่าบริษัทต่างๆ พากันปรับเพิ่มค่าจ้างในฤดูใบไม้ผลิปี 57 นี้ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยกับการปรับตัวขึ้นของราคาหลังจากที่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีบริโภค (Sales Tax) จาก 5% เป็น 8% ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.57 ได้ทำให้อัตราค่าจ้างในญี่ปุ่นมีแนวโน้มว่าจะต้องเพิ่มขึ้นไปอีก โดยขณะนี้หลายบริษัทขนาดกลาง-ย่อมกำลังอยู่ระหว่างเจรจาเรื่องค่าจ้าง (ที่มา : อินโฟเควสท์)

        ความเห็นของ Retail Research : เราเห็นว่าอัตราค่าแรงงานในญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นผลดีกับ MCS ซึ่งเป็นผู้ผลิตโครงสร้างเหล็กส่งออกไปญี่ปุ่น (รายได้ประมาณ 90% มาจากญี่ปุ่น) โดยทำให้ความสามารถในการแข่งขันประมูลงานของ MCS เพิ่มขึ้นด้วยต้นทุนค่าแรงงานที่ต่ำกว่าในญี่ปุ่น เพราะโดยปกติแล้วคู่แข่งขันหลักของบริษัท คือ ผู้ประกอบการในประเทศญี่ปุ่นที่มีใบมาตรฐานงานระดับ H Grade และ S Grade โดยในส่วน H Grade มีผู้ประกอบการในญี่ปุ่นประมาณ 200 ราย ขณะที่ S Grade มีประมาณ 10 ราย (ในส่วนนี้เป็นโอกาสที่ดีมากของ MCS เพราะจำนวนคู่แข่งน้อย และเป็นงานที่มาร์จิ้นดี)


        เราประเมินว่าผลประกอบการของ MCS จะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H57 โดยคาดว่าปริมาณส่งมอบโครงสร้างเหล็กในกับลูกค้าในไตรมาส 3-4 ปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 8-10 พันตันต่อไตรมาส ขณะที่ในไตรมาส 1/57 ส่งมอบประมาณ 4 พันตัน และในไตรมาส 2/57 ประมาณ 2 พันตัน และในปี 58-59 มีโอกาสที่บริษัทจะได้งานใหม่เข้ามาเพิ่ม เนื่องจากญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพงานโอลิมปิคที่จะจัดขึ้นในปี 63 ซึ่งจะต้องมีการเปิดประมูลงานก่อสร้างล่วงหน้าเพื่อรองรับประมาณ 3-4 ปีนอกจากนั้นในปี 58 คาดว่าจะมียอดขายโครงสร้างเหล็กที่ลงทุนร่วมกับ POSCO เกาหลีเพื่อส่งออกเข้ามาราว 1.5-2.0 หมื่นตันด้วย ในเชิงกลยุทธ์ เราแนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนใน MCS เนื่องจากประเมินว่าธุรกิจและผลประกอบการมีแนวโน้มจะ Turnaround และราคาหุ้นปัจจุบันที่ 5.10 บาท ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 12.80 บาทถึง 60%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 arparporns@th.dbsvickers.com

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!