WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน
       แรงขายหุ้นแพง (ITD, CK, STEC, PS) ยังมีอยู่ และหุ้นพื้นฐานดีเช่น IRPC/PTTGC เจอข่าวร้ายกดดันระยะสั้น ขณะที่ TRUE(FV@B10.7 ก่อน XR แต่หลัง XR คือ B9) ได้ China Mobile เป็นพันธมิตร หนุนให้มีโอกาสชนะ 4G สูง ทำให้ปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นขึ้น และปรับเป็นซื้อ และเลือกเป็น Top pick



จีนตัดลด RRR และคาดจะมีการอัดฉีดเงินเพิ่มเติมเร็วๆ นี้
       หลังจากที่ก่อนหน้านี้ธนาคารจีนได้ประกาศปรับลดอัตราการดำรงเงินสดสำรอง (RRR) 2% ให้แก่ ธนาคารพาณิชย์ในชนบท และลดลง 0.5% แก่ธนาคารสหกรณ์ในชนบท ตามลำดับ (มีผลตั้งแต่ 25 เม.ย. 2557) เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมเกษตรในชนบท ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ล่าสุด ธนาคารกลางจีน ได้ประกาศลด RRR ลง 0.5% ให้กับธนาคารพาณิชย์ในเมือง (สัดส่วนราว 2 ใน 3 หรือคิดเป็น 80% ของธนาคารพาณิชย์ในเมือง และ 90% ของสหกรณ์ออมทรัพย์ในเมือง) เพื่อสนับสนุนการให้เงินแก่ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร ทั้งบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งจะมีผลใช้ในวันที่ 16 มิ.ย. นี้ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความกังวลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่าปี 2557 จะทำตามเป้าหมายที่ 7.5% ได้ยาก (งวด 1Q57 เติบโตเพียง 7.4%yoy ต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส และ ต่ำกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 7.7%yoy)


      ทั้งนี้ แม้ล่าสุด การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น กล่าวคือ การส่งออกในเดือน พ.ค. ขยายตัว 7%yoy (สูงกว่าคาดเล็กน้อยที่ 6.6% และสูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.9%) ซึ่งเป็นไปตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การนำเข้าหดตัว 1.6%yoy (สวนทางกับที่คาดว่าจะขยายตัว 6.1% และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.8%) จึงทำให้ดุลการค้าเพิ่มขึ้นราว 74.9% (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าราว 94% และสูงกว่าที่คาด 59%)


   อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์หลายแห่งต่างคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจำเป็นจะต้องอัดฉีดเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากการตัดลด RRR ดังกล่าวข้างต้น (นักเศรษฐศาสตร์จากค่ายโนมุระ ในฮ่องกง และ เวิลด์แบงค์ คาดว่า จีนจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเพิ่มเติมประมาณ 5.45 แสนล้านหยวน และ 5 หมื่นล้านหยวน ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นประเด็นบวกที่รออยู่ข้างหน้า และอาจหนุนตลาดหุ้นจีนระยะสั้น

ต่างชาติชะลอการซื้อ
      วานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคติดต่อกันเป็นเป็นวันที่ 5 ราว 117 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัวจากวันก่อนหน้า ทั้งนี้ยอดซื้อหลักมาจากไต้หวัน ที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 ราว 140 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่าเท่าตัว ขณะที่ประเทศที่เหลือซื้อเบาบาง กล่าวคือ เกาหลีใต้ (กลับมาเปิดทำการอีกครั้ง) ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 18 ราว 26 ล้านเหรียญฯ ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ สลับมาซื้ออีกครั้งราว 13 ล้านเหรียญฯ และ ไทย ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 ราว 4 ล้านเหรียญฯ (131 ล้านบาท) ลดลงจากวันก่อนหน้า 57% ยกเว้นเพียงแต่ อินโดนีเซียที่ยังคงขายสุทธิเป็นวันที่ 3 ราว 66 ล้านเหรียญฯ และ เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากวันก่อนหน้า
      เป็นที่สังเกตว่าต่างชาติ แรงซื้อต่างชาติในภูมิภาคมีแนวโน้มชะลอตัว เมื่อเทียบกับในช่วงเดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเฉลี่ยวันละกว่า 400 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ในประเทศไทย คาดว่าการเข้ามาซื้อเป็นเพียงการเก็งกำไรระยะสั้น ๆ เท่านั้น ปัจจัยสำคัญๆ ยังขึ้นกับการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือได้รับยอมรับจากเวทีโลก

 

China Mobile ร่วมทุนกับ TRUE พร้อมชนคู่แข่งอย่าง DTAC
      นอกจากจะมีข่าวร้าย ๆ กระทบตลาด จากกรณีของ IRPC แล้ว ยังมีข่าวบวกอื่นๆ เข้ามาเสริม กล่าวคือ TRUE ประสบผลสำคัญในการหาพันธมิตร โดยได้ข้อสรุปจากการที่ China Mobile (ผู้ประกอบการมือถือรายใหญ่สุดในจีน) จะเข้ามาร่วมทุน พร้อมกับสร้างขุมพลังในการต่อสู่กับคู่แข่งขันอีก 2 ราย ตลาดมือถือในประเทศไทย ทำให้วานนี้ประกาศเพิ่มทุน 2 ส่วน (ออกหุ้นใหม่รวม 1.0 หมื่นล้านหุ้น มี Dilution Effect 69%) คือ 1) RO ให้ผู้ถือหุ้นเดิม สัดส่วน 2.5725หุ้นเดิม : 1หุ้นใหม่ และ 2) PP ให้ China Mobile ที่ราคาใช้สิทธิ 6.45 บาท เท่ากัน
      ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าการเพิ่มทุนครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ TRUE เพราะสัดส่วนเงินเพิ่มทุนราว 80% หรือ 5.2 หมื่นล้านบาท TRUE จะนำไปจ่ายคืนเงินกู้ระยะยาวทั้งหมด จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้กว่า 4.0 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นการขจัดปัญหาหนี้สินเรื้อรัง และกดดันให้ TRUE ต้องประสบภาวะขาดทุนอย่างยาวนาน ทั้งนี้คาดจะเริ่มเห็นผลประกอบการกลับมาเป็นบวกครั้งแรกใน 4Q57 (คาดว่าการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น ส.ค.) นอกจากผลของดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงแล้ว ในงวด 4Q57 ยังได้รับผลดีจากภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลง จากการหยุดบันทึกค่าตัดจำหน่ายสิทธิใช้อุปกรณ์สัมปทานคลื่น 1800 (2G) ตั้งแต่วันสิ้นอายุบริการ 15 ก.ย. 57 (ไตรมาสละ 1.6 พันล้านบาท)
      พัฒนาการในเชิงบวกนี้ ทำให้ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มประมาณการ ในปี 2557-59 โดยคาดว่าปี 2557 จะขาดทุนลดลงราว 22% เหลือขาดทุน 8.6 พันล้านบาท ส่วนปี 2558 จะพลิกขึ้นมาเป็นกำไรปกติราว 3.9 พันล้านบาท และ จะกลับมาเติบโตก้าวกระโดดอีก 97% ในปี 2559 พร้อมกับปรับเพิ่ม Fair Value ใหม่หลังเพิ่มทุน อิง DCF 9 บาท (ก่อนเพิ่มทุน 10.7 บาท) มี Upside 21% จึงขอปรับเพิ่มเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ”
ทั้งนี้ หลังเพิ่มทุนและชำระหนี้ 80% ของเงินทุนที่ได้รับ คาด TRUE จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจากเดิม 12 เท่า เหลือ 0.6 เท่า ขณะเดียวกัน TRUE จะนำเงินที่เหลืออีก 20% หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาท เข้าประมูล คลื่น 1800 แข่งขันกับ DTAC (กสทช.เปิดประมูล 2 ใบ คาด ADVANC ได้แน่นอน 1 ใบ) เพื่อต่อยอดการให้บริการ 4G และขณะที่การที่ China Mobile ผู้ให้บริการมือถืออันดับ 1 เข้ามาเป็นพันธมิตรหลังเพิ่มทุน (โดยถือหุ้นสัดส่วน 18% หลังเพิ่มทุน) คาดส่งผลบวก Synergy ต่างๆ อาทิ งบลงทุนที่ลดลงในระยะยาว (สั่งซื้ออุปกรณ์ร่วมกัน) การต่อยอดธุรกิจจากฐานลูกค้าจำนวนมหาศาล 800 ล้านรายของ China Mobile ทั้งนี้ 2 ประเด็นดังกล่าวยังไม่รวมอยู่ในประมาณการปัจจุบัน (ขึ้นเครื่องหมาย XR 31 เดือน ก.ค. 2557)

 

IRPC/PTTGC เจอปัญหารุมเร้า แต่เป็นจังหวะสะสม
      นับว่ากลุ่ม PTT ถูกกระหน่ำซ้ำเติม ทั้งปัญหาการเมือง และอุบัติเหตุที่ไม่ได้คาดคิด โดยล่าสุด วานนี้ IRPC ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่หน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาเพื่อป้อนหน่วย cracker เพื่อผลิตสารโพรไพลีน ที่ จ.ระยอง แต่คาดว่ากระทบต่อประมาณการน้อย รายละเอียดคือ
 IRPC เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (9 มิ.ย.) เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่หน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาเพื่อป้อนหน่วย cracker เพื่อผลิตสารโพรไพลีน ที่ จ. ระยอง ของ IRPC เหตุจากการรั่วไหลของสารไฮโดรคาร์บอน และสามารถควบคุมและดับเพลิงได้หลังเกิดเหตุราว 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งทาง IRPC ได้แจ้งว่าโรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีโดยส่วนใหญ่ยังสามารถดาเนินการผลิตได้ มีเพียงแต่หน่วยที่เกิดเพลิงไหม้และหน่วยผลิตใกล้เคียงที่จะต้องหยุดดาเนินการชั่วคราว ประเมินว่ามีผลกระทบต่อการผลิตโดยรวมไม่มากนัก รวมทั้งได้ทำประกันภัยฯ วงเงินประกัน 1,200 ล้านเหรียญ ไว้แล้ว แต่อาจส่งผลกระทบต่อ sentiment การลงทุน โดยเฉพาะ PTT ที่ถือหุ้นใน IRPC ราว 38.5% และถือหุ้นใน PTTGC ราว 48.8%
      PTTGC นับตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ราคาหุ้น PTTGC ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องกว่า 4% สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ LPG ที่รัฐร้องขอให้ส่วนของวัตถุดิบก๊าซฯ LPG ที่ PTTGC ซื้อมาจาก PTT (ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดโลก) เปลี่ยนมาเป็นนำเข้าจากต่างประเทศแทน เนื่องจากต้องการให้ภาคครัวเรือนใช้ก๊าซฯ LPG ที่ผลิตในประเทศเองก่อน ส่วนภาคอุตสาหกรรมหากไม่พอใช้ให้นำเข้ามาเพิ่มเติม (ปัจจุบันไทยใช้ก๊าซฯ LPG 7.5 ล้านตัน/ปี ภาคอุตสาหกรรมใช้ 35% ภาคครัวเรือนและขนส่งใช้ 65% โดยจำนวนนี้มาจากแหล่งผลิตในประเทศ 85% ที่เหลือ 15% นำเข้า) โดย supply ก๊าซฯ LPG ที่ PTTGC ใช้ ในโรงงาน มาจาก PTT 60%, โรงกลั่น 20% และนำเข้า 20% ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นฝ่ายวิจัยคาดว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงตามคำเรียกร้องของรัฐ จะกระทบกำไรราว 7-10% จากประมาณการปี 2558 และกระทบมูลค่าพื้นฐานราว 10% อ่านรายละเอียดใน Equity talk วานนี้
   อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการ และ fair value ปี 2557 ที่ 87 บาท และยังแนะนำ ซื้อ ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาจากประเด็นข่าวลือต่างๆ เชื่อว่าจะเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุน รวมทั้งมี PER ปี 2557 ต่ำสุดในกลุ่มฯเพียง 8.8 เท่า (ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯในภูมิภาคที่ 13 เท่า) รวมถึงยังคาดหวัง Dividend Yield ได้เฉลี่ย 5-6% p.a.

ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
พบชัย ภัทราวิชญ์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!