WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

BOAวรไท สนตประภพผู้ว่าธปท.เชื่อจีดีพีปีนี้โต 3.8% เหตุพื้นฐานแกร่ง แม้การเมืองไม่ชัด

       นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา'จับชีพจรเศรษฐกิจโลก เจาะแนวโน้มเศรษฐกิจไทย' เชื่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังขยายตัว 3.8% เหตุพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง แม้การเมืองยังไม่ชัดเจน พร้อมยอมรับพบสัญญาณความผิดปกติของสินเชื่อรถยนต์ เตรียมเดินหน้าเข้าตรวจสอบ มีสาระสำคัญดังนี้

       เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังเชื่อว่า จะขยายตัวได้ 3.8% ในปีนี้ และ ปี 63 ขยายตัว 3.9% จากพื้นฐานเศรษฐกิจยังมีความแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเกินดุลอยู่ 3.4-3.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากปีก่อน 3.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แม้ขณะนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 4/61 ทั้งทางเศรษฐกิจยุโรป และ จีน ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวได้ โดยเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว จะมีผลกระทบผ่านมาที่ไทยเป็นหลัก เพราะไทยมีการนำเข้า และ ส่งออกสินค้าไปจีนมากกว่าประเทศอื่น และปัจจัยการเมืองที่ไม่ชัดเจน

        “เศรษฐกิจหลังการเลือกตั้งยังคงเติบโตได้ ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพราะเรายังมีดุลการค้าที่สูง และ การลงทุนภาคเอกชนยังมีต่อเนื่อง โดยเห็นได้จาก BOI ปีนี้สูงกว่าปีที่แล้ว ในขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของแต่ละพรรคไม่ได้สวนทางกับที่เป็นอยู่ ซึ่งเชื่อว่าไม่ว่าฝากไหนมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะโครงการต่างๆ ยังต้องเดินหน้าต่อ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ หรือ EEC ที่มีกฏหมายรองรับไว้แล้ว”นายวิรไท กล่าว

        ส่วนค่าเงินบาทยังมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ โดยผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงมากกว่าการคาดการกรอบค่าเงิน เพราะปัจจุบันความเสี่ยงมีมากขึ้น และ ยังคงผันผวนต่อเนื่อง

       "ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมากนง.มีการปรับดอกเบี้ย 1 ครั้ง มีหลายฝ่ายบอกว่าทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะในช่วงที่ผ่านมามีกระแสเงินทุนไหลออกไป 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการที่เงินบาทแข็งค่ามาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นแรงพยุงใต้ปีกของเศรษฐกิจไทย ทำให้เงินบาทยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่”นายวิรไท กล่าว

        สำหรับ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะให้ความสำคัญ 3 ประการ คือ 1. เงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในกรอบล่างที่ 1% และ ยังไม่เห็นสัญญาณของเงินฝืดที่เป็นตัวทำให้เศรษฐกิจชะงัก 2.การขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันยังขยายตัวตามศักยภาพ และ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของไทยสามารถขยายตัวได้ 4% ได้ติดต่อกัน 3. เสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งจากอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำทำให้เกิดการแสวงหาผลตอบแทน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ทำให้ธปท. ออกมาตรการคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หลังพบว่าเกิดสินเชื่อเงินทอนมากขึ้น และ พบหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL ) ที่เพิ่มสูงขึ้น

         และขณะนี้ ธปท.ได้เห็นถึงความผิดปกติของการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งมาในรูปแบบเดียวกับสินเชื่อบ้าน ในลักษณะ สินเชื่อเงินทอนทั้งรถยนต์มือหนึ่ง และ รถยนต์มือสอง และอยู่ระหว่างการเข้าตรวจสอบสถาบันการเงิน และ ผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ที่ทำธุรกรรมเกี่ยวข้องกับสินเชื่อรถแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม

        "ที่ผ่านมาพบว่ามีเอกชนรายใหญ่ การลงทุนในตลาดตราสารหนี้บางประเภทที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจนนำไปสู่การผิดนัดชำระในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่รายย่อยก็ไปลงทุนในสหกรณ์ออมทรัพย์ แม้จะให้ผลตอบแทนสูงเฉลี่ย 4-4.5% มีความเสี่ยงทำให้ ธปท. และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมาเข้ามาดูแล และ ออกกฏระเบียบเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้"

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!