WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

BOAวรไท สนตประภพผู้ว่า ธปท.คาดเฟดขึ้นดบ.รอบนี้ไม่มีผลต่อตลาดเงินโลก ชี้มีเงินไหลกลับจากกาตาร์ทำเงินบาทแข็งค่าอีกแรง

    ผู้ว่า ธปท.คาด หากเฟดจะขึ้นดบ.ในรอบนี้ไม่มีผลต่อตลาดเงินโลก เหตุนลท.รับรู้ไปแล้ว ชี้เงินบาทแข็งค่าช่วงนี้ เหตุกังวลการเมืองสหรัฐฯ ส่วนในปท.มีศก.ฟื้นช่วยหนุน แถมได้เงินจากกาตาร์ไหลกลับมาสมทบ ยัน EARTH เบี้ยวหนี้ ไม่กระทบกับเสถียรภาพธนาคารพาณิชย์ ชี้เป็นเรื่องปกติ ที่ผู้กู้จะผิดนัดชำระหนี้ระยะสั้น

     นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่จะเสร็จสิ้นในวันนี้ จะไม่ทำให้ตลาดการเงินโลก รวมถึงไทย เกิดความผันผวนรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนรับรู้ปัจจัยดังกล่าวไว้แล้ว

     ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากมีเงินที่ไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น หลังนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนลง

     ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้น จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ส่งออกที่ปรับตัวดี การท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ามาในไทยจำนวนมาก ขณะเดียวกันกรณีที่ธปท. ปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น 3 และ 6 เดือน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีเงินทุนระยะยาวมากขึ้น จากเดิมที่เข้ามาเก็งกำไรในระยะสั้น ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างประเทศยังให้ความสนใจลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย

     นอกจากนี้ ยังมีเงินไหลกลับมาจากกรณีของกาตาร์ถูกหลายประเทศบอยคอต ที่มีเงินจากไทยไปลงทุนในประเทศดังกล่าวราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ส่งผลให้กองทุนที่ไปลงทุนมีความระมัดระวัง ทำให้เงินลงทุนดังกล่าวทยอยไหลกลับเข้ามา

      "ตลาดมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ถ้าเป็นไปตามคาด ก็ไม่น่าจะผันผวนรุนแรง และในช่วง 2-3 ครั้งหลัง ทางเฟดจะเน้นส่งสัญญาณและสื่อสารกับตลาด ไม่ต้องการที่จะทำอะไรให้เกิดการเซอร์ไพรส์ ตอนนี้ตลาดก็ยังนิ่งๆ ยังรอดูผลที่จะออกมา" นายวิรไท กล่าว

     นอกจากนี้ นายวิรไท ยังเปิดเผยถึงกรณีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ EARTH ว่าจะไม่กระทบกับเสถียรภาพธนาคารพาณิชย์ในภาพรวม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้กู้จะผิดนัดชำระหนี้ระยะสั้น ซึ่งการขายตั๋วบีอีดังกล่าวไม่ได้เปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป

      ขณะที่การพัฒนาธุรกรรมฟินเทค (Fintech) ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อภาคการเงินและการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการลดต้นทุนการบริหารงาน ซึ่งปัจจุบันไทยมีต้นทุนทางการเงินสุงกว่าประเทศอื่นในอาเซียนมาก โดยต้นทุนการทำธุรกรรม 1 ครั้ง อยู่ที่ 60-80 บาท /ต้นทุนการบริหารเงินสดรวม 20,000 ล้านบาท / รวมถึงต้นทุนทรัพย์สินหลัก จากการตั้งสาขา มีสูงมาก

      อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลมีการพัฒนาระบบการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะพร้อมเพย์ มีผู้มาลงทะเบียนรวม 28 ล้านบัญชี มีการทำธุรกรรวม 7 ล้านครั้ง มูลค่าการทำธุรกรรม 50,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะมีปริมาณการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้นแน่นอน เพราะพร้อมเพย์ทำให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ จะทำให้ต้นทุนของสถาบันการเงินดีขึ้นได้

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!