WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AIRA ตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้โต 15-20% จ่อปิดดีลซื้อกิจการ 2 แห่งปีนี้

    AIRA ตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้โต 15-20% จากปี 57 เผยล่าสุดกำลังเจรจาซื้อกิจการ 2 บริษัท คาดปิดดีลในปีนี้ พร้อมเล็งนำ 1 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นทันที เช่นเดียวกับบริษัทร่วมทุน 'ไอร่า แอนด์ ไอฟูล'ที่พร้อมรุกธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลกลางปีนี้ ก่อนแต่งตัวเข้า SET ภายใน 18 เดือน ด้านบล.ไอร่า ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้ 2% มองดัชนีแตะ 1,850 จุด ลั่นเห็น 2,000 จุด ในปี59

   นางนลินี งามเศรษฐมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้เติบโต 15-20% จากปีก่อน โดยจะมาจากการเติบโตในทุกธุรกิจในกลุ่มไอร่า ส่วนรายได้-กำไรปี 57 ยอมรับว่าจะต่ำกว่าปี 56 ที่ทำได้ 792.03 ล้านบาท และ 90.02 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศช่วงครึ่งปีแรกทำให้ปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ลดลงค่อนข้างมาก ซึ่งรายได้มากกว่า 50% มาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยสิ้นสุด ก.ย.57 มีรายได้ 594.10 ล้านบาท กำไรสุทธิ 32.55 ล้านบาท         

 ทั้งนี้ บริษัทฯ จะปรับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยสิ้นปีนี้ 50% จะมาจากธุรกิจโบรกเกอร์40% จะมาจากธุรกิจการโอน และรับโอนสิทธิเรียกร้องภายในประเทศ (แฟคตอริ่ง) 10% จะมาจากธุรกิจให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจแบบครบวงจรในประเทศสิงโปร์ และธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล    

 "ปีนี้ธุรกิจโบรกเกอร์คงเติบโตกว่าปีก่อน เพราะวอลุ่มกลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว ส่วนธุรกิจแฟคตอริ่งก็จะเดินหน้าต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปีนี้ 2.3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาท ด้านธุรกิจ IB ที่สิงคโปร์ ซึ่งรับทำดีล M&A ระหว่างประเทศ ปีนี้เรามีงานในมือ 6 ดีล จากปีก่อนเพียง 2 ดีล คาดว่าจะสำเร็จอย่างน้อย 2-3 ดีล โดยมีรายได้เฉลี่ยดีลละ 20-30 ล้านบาทนอกจากนี้ กลางปีจะเริ่มเดินหน้าธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้อีกพอสมควร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIRA กล่าว

    ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าลงทุน-ซื้อกิจการ 2 แห่ง คาดแล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน 1 บริษัท อีกหนึ่งบริษัทเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน อาทิ พลังงานทางเลือก อสังหาริมทรัพย์ อาหาร เป็นต้น มูลค่าการลงทุนมีตั้งแต่ต่ำกว่า2,000ล้านบาท และมากกว่า 2,000 ล้านบาท 

  ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่มีความกังวลด้านเงินทุน เพราะมีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.2 เท่า และยังมีเงินจากการขายหุ้น IPO รวมถึงยังมีเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ จากตลาดทุน แต่การเพิ่มทุนจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เพระไม่อยากให้กระทบต่อผู้ถือหุ้น    

  นางนลินี กล่าวต่อว่า  หากดีลทั้งสองสำเร็จ บริษัทฯ จะมีการพิจารณานำบริษัทใหม่ 1 แห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางด้านเงินทุนในการขยายธุรกิจ

  ขณะนี้บริษัทฯ เตรียมนำบริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟูล จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 18 เดือนข้างหน้า เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และ กลุ่ม ไอฟูล คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคลรายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 30% ซึ่งได้มีการตั้งเป้าขนาดพอร์ตสินเชื่อแตะ 15,000 ล้านบาท ในปี 2560และมีสาขาอย่างน้อย 120 แห่งทั่วประเทศ และตั้งเป้าสัดส่วนรายได้แตะ 40% เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นในธุรกิจโบรกเกอร์ โดยจะลดสัดส่วนเหลือราว 30% ส่วนธุรกิจแฟคตอริ่งจะมีสัดส่วน 20% ที่เหลือจะมาจากธุรกิจอื่นๆ

   นายไพโรจน์ เหลืองเถลิงพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไอร่า หนึ่งในบริษัทย่อยของ บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ AIRA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ปีนี้แตะระดับ 2% จากปีก่อนที่ 1.5% โดยจะเน้นพัฒนาการให้บริการรวมถึงจัดโครงการสัมมนาให้ความรู้กับนักลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างยั่งยืนมากกว่าการเพิ่มเพียงจำนวนบัญชี  

  ส่วนการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่จะมีโบรกเกอร์รายใหม่อีก 3 แห่งเพิ่มเข้ามาในปีนี้ บริษัทฯ ไม่กังวลมากนักเนื่องจากมั่นใจในศักยภาพและบริการ ขณะที่เชื่อว่าจะรักษาเจ้าหน้าที่ติดต่อกับผู้ลงทุน (IC) ที่มีอยู่กว่า 130 คน ไว้ได้อย่างแน่นอน ด้านค่าคอมมิชชั่นของบริษัทฯ ปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 0.17% ซึ่งคงรักษาไว้ในระดับดังกล่าวต่อไปและไม่มีนโยบายแข่งขันด้านราคา       

  สำหรับ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1850 จุด และมีโอกาสเห็นถึง 2000 จุดในปีหน้า เป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่แนวโน้มฟื้นตัว ขณะที่การอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางหลายแห่งน่าจะทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง

    "หากเศรษฐกิจฟื้นตัวจริงๆ เชื่อว่าความต้องการใช้พลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จะมากขึ้น ดังนั้นราคาน้ำมันจะกลับมาอยู่ในระดับสูงอีกครั้ง และเมื่อนั้นหุ้นกลุ่มพลังงานของเราจะกลับมา และจะดันดัชนีฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะตอนนี้ที่ราคาน้ำมันลดลง หุ้นกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก แต่ดัชนีฯ ยังยืนอยู่ระดับ 1600 ได้ เราจึงมองเห็น Potential ที่สำคัญในตลาดหุ้น" นาย ไพโรจน์ กล่าว     

  ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ กลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ เช่นรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง กลุ่มสื่อสาร ซึ่งเป็น DefensiveStock กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายDigital Economy

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!