WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SSI ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ชี้ Q1/57 EBITDA พลิกเป็นบวก พร้อมมองแนวโน้มตลาดเหล็กทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2557

·  ปริมาณขายเหล็กรวมรายไตรมาส 948 พันตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส

·  รายได้จากการขายและให้บริการรายไตรมาสรวม 19,011 ล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากไตรมาส 1/2556

·  งบการเงินรวมขาดทุน 1,397 ล้านบาท ขาดทุนลดลงร้อยละ 52 จากไตรมาส4/2556 EBITDA พลิกเป็นบวก 75 ล้านบาท

·  ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนมีกำไร 347 ล้านบาท ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ร้อยละ 38

·  ธุรกิจโรงถลุงเหล็กขาดทุน 1,701 ล้านบาท ยอดขายเหล็กแท่งแบนลูกค้าภายนอก 486 พันตันสูงสุดเป็นประวัติการณ์

   บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2557 ดังนี้

   งบการเงินเฉพาะบริษัท-บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 10,170 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 35 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 462 พันตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน และ ลดลงร้อยละ 35 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 38 ของปริมาณขายรวม  EBITDA 962 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 40 จากงวดเดียวกันปีก่อน)และมีกำไรสุทธิ 347 ล้านบาท(เพิ่มขึ้นร้อยละ 363 จากไตรมาส 4/2556 และลดลงร้อยละ 60 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

     งบการเงินรวม-บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 19,011 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) สูงเป็นอันดับสองรองจากไตรมาส 1/2556 จากปริมาณขายเหล็กรวมสูงถึง 948 พันตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส Group EBITDA 75 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 91 จากงวดเดียวกันปีก่อน)มีผลขาดทุนสุทธิ 1,397 ล้านบาท (ขาดทุนลดลงร้อยละ 52 จากไตรมาสก่อน และขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากงวดเดียวกันปีก่อน)  

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2557 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

·  ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 12,513 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 16 จากงวดเดียวกันปีก่อน) EBITDA ติดลบ 883 ล้านบาท (ติดลบน้อยลงร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 9 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 1,701 ล้านบาท(ขาดทุนลดลงร้อยละ 38 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

·   ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 67 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 42 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 57 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 71 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

·  ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 214 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 56 และมีกำไรสุทธิ 1.7 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 86  จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 90 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

·  ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 2,812 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันปีก่อน) ขาดทุนสุทธิ 109 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 2,548 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 187 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

    นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 1/2557 เราประสบความสำเร็จใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ EBITDA กลุ่มกลับมาเป็นบวก 75 ล้านบาท หลังจากติดลบมา 3 ไตรมาส ยอดขายรวมของกลุ่มสูงสุด 948 ล้านตัน และยอดขายเหล็กแท่งแบนให้แก่บุคคลภายนอกสูงสุด 486 พันตัน

     ธุรกิจโรงถลุงเหล็กมี EBITDA ติดลบลดลงกว่าครึ่งจากไตรมาสก่อน หลังจากความพยายามในการลดต้นทุนในด้านต่างๆของเราเริ่มปรากฏให้เห็นผล เราประสบความสำเร็จในด้านส่วนต่างของราคา(Slab Spread) ที่สูงขึ้นร้อยละ 36 จากความแข็งแกร่งของตลาดเหล็กแท่งในโลก ซึ่งได้แรงผลักดันจากความต้องการในตลาดอเมริกาเหนือ และภาวะวัตถุดิบล้นตลาด เรามียอดขายเหล็กแท่งแบนให้แก่บุคคลภายนอกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 31

   ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน ถึงแม้ว่ายังคงเผชิญปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศส่งผลให้ยอดขายลดลงร้อยละ 25 ต่ำกว่าระดับการขายปกติ แต่ในไตรมาสที่ผ่านมาเราสามารถเพิ่มยอดขายเติบโตขึ้นร้อยละ 9 เพิ่มค่าการรีด (HRC Spread) ขึ้นร้อยละ 4 และเพิ่ม EBITDA ขึ้นร้อยละ 31

   อย่างที่ผมเคยกล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า เราต้องมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านปฏิบัติการและขยายปริมาณการผลิตของเราให้สูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของเราที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่าตัวหลังจากการเชื่อมโยงธุรกิจต้นน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการประหยัดจากขนาด ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ต้นทุนลดลง  เราเริ่มเห็นประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้แล้วในปัจจุบัน เป้าหมายต่อไปของเราคือการบรรลุถึงปริมาณขาย 1 ล้านตันต่อไตรมาส ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของเราดีขึ้นไปอีก

   เรากล่าวได้อย่างมั่นใจว่าธุรกิจของกลุ่มเอสเอสไอได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว เรายอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจรในระดับโลกทำให้เราประสบความยากลำบาก แต่เรากำลังพลิกสถานการณ์การกลับมาและมุ่งมั่นที่จะสร้างตัวเลขผลการดำเนินงานที่ดีต่อไป

    “สำหรับแนวโน้มของธุรกิจไปข้างหน้า เรายังคงมีความระมัดระวังแต่ก็มองเห็นแนวโน้มในแง่ดี แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองไทยยังคงไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนและสถานการณ์ในยูเครน เราเห็นตลาดเหล็กทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและตลาดวัตถุดิบที่จะล้นตลาดมากขึ้น ซึ่งหมายความว่ายอดขายธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนของเราจะทรงตัวคงอยู่ในระดับต่ำในช่วงนี้ ในขณะที่ยอดขายของธุรกิจโรงถลุงเหล็กจะเติบโต และส่วนต่างราคาโดยรวมดีขึ้น เราจะยังคงเดินหน้าสร้างความเป็นเลิศด้านปฏิบัติการและมุ่งเน้นการสร้างแผนต่อเนื่องของโครงการต่างๆที่จะเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ ผ่านโครงการ AAA Projects ในขณะที่ในช่วงนี้เราเริ่มได้รับผลประโยชน์แล้วจากโครงการ AAA Projects แรก ๆ ของเราที่ได้ลงมือไปนายวินกล่าว

Sahaviriya Steel Industries Plc. reports Q1/2014 operating result

·   Steel Sales Volume at 948 thousand tons, highest quarterly record

·   Total Revenue from Sales and Services 19,011 million Baht, second highest record

·   Consolidated: Net Loss 1,397 million Baht, 52% smaller loss QoQ; Group EBITDA turned around to positive 75 million Baht

·   HRC Business: Net Profit 347 million Baht; Premium Value Products 38% ratio

·   Upstream Business: Net Loss 1,701 million Baht; 3rd party Slab Sales Volume 486 thousand tons, highest quarterly record

            Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI) reports its first quarter of 2014 result as follows:

            Standalone Financial Statement – The Company recorded sale and service revenues 10,170 million Baht (up 13% QoQ and down 35% YoY); HRC Sales Volume 462 k tons (up 9% QoQ and down 35% YoY); 38% Premium Value Products sales ratio of total HRC Sales Volume; EBITDA 962 million Baht (up 31% QoQ and down 40% YoY); and Net Profit of 347 million Baht (up 363% QoQ and down 60% YoY).

   Consolidated Financial Statements – The Company and its subsidiaries recorded sale and service revenues 19,011 million Baht (up 18% QoQ and down 5% YoY), the second highest record next to Q1/2013.  Steel Sales Volume was 948 thousand tons, highest quarterly record; Group EBITDA 75 million Baht (up 105% QoQ and down 91% YoY); and Net Loss 1,397 million Baht (smaller loss 52% QoQ and bigger loss 80% YoY).

Performance of Subsidiaries and Jointly-Controlled Entity in Q1/2014:

· Upstream Business recorded sale and service revenues 12,513 million Baht (up 9% QoQ and 16% YoY); EBITDA -883 million Baht (up 53% QoQ and up 9% YoY); with Net Loss of 1,701 million Baht (smaller loss 38% QoQ and smaller loss 4% YoY).

·  Port Business recorded total service revenues 67 million Baht (down 17% QoQ and down 42% YoY); and Net Profit was 13 million Baht (down 57% QoQ and down 71% YoY).

·  Engineering Business recorded total sale and service revenues 214 million Baht (down 7% QoQ and 4% YoY).Sale and service revenues to external customers, apart from the Company and its subsidiaries, was 56% of total.Net Profit was 1.7 million Baht (down 86% QoQ and down 90% YoY).

·  Cold Rolled Coil Business recorded total sale 2,812 million Baht (up 4% QoQ and down 12 YoY) and Net Loss 109 million Baht (down 2,548% QoQ and down 187% YoY).

   Mr.Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc.(SSI), stated that “In Q1/14, we made 3 major achievements.Group EBITDA positive 75 million baht, finally turned around after 3 quarters of EBITDA losses.Highest Group Sales Volume 948 thousand tons. Highest Slab Sales Volume to 3rd Parties 486 thousand tons.

    Upstream Business more than halved its EBITDA loss from the previous quarter, as our various cost reduction efforts started to bear fruit.We achieved 36% higher Slab Spread, thanks to robust global slab market largely driven by the North American market demand, and the exacerbating raw material oversupply situation.  Slab Sales Volume to 3rd Parties grew by 31%.

     HRC Business continued to be beset by Thai political situation, dropping our Sales Volume by 25% below normal.Despite that, from the last quarter we achieved 9% growth in Sales Volume, 4% improvement in HRC Spread, and 31% increase in EBITDA.

   As I have previously said, we need to achieve operational excellence and scale up our production volume, to match our asset size which had doubled since the upstream integration.Better economy of scale, better efficiency, and lower cost is the consequence.That is happening now. Our next target is to breakthrough the 1,000,000 tons quarterly volume mark which we expect will again deliver much better financial result.

  We can confidently say that the business has passed its worst moment.Indeed, the transformation to become a fully-integrated steel producer had been painful, but we are turning around and will deliver better numbers going forward.”

   “For the outlook, we are cautious yet optimistic.Though Thai political situation remains unresolved and there are risks related to China economy and Ukraine situation, we see the global steel market continuing to improve and raw materials market continuing to stumble. This means that our HRC Business sales will remain low for the moment while Upstream Business sales will thrive, and overall metal spread relatively healthy. We will continue to pursue operational excellence and also focus on building the value creation pipeline through the AAA Projects, while gradually starting to realize near-term benefits from our early AAA Projects.” Mr. Win added.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!