WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

SCC เชื่อปี 58 กำไรดีขึ้น แม้เป้ายอดขายโตเล็กน้อย-รับผลราคาน้ำมันตกต่ำ

    บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)คาดกำไรปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น แม้ยอดขายอาจเติบโตได้เล็กน้อยมาที่กว่า 4.9 แสนล้านบาทหลังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างหนักจนกระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี แต่ส่วนต่าง(สเปรด)ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคาดว่าจะสูงขึ้นช่วยหนุนกำไร และชดเชยผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกที่อาจมีขึ้น ขณะที่ประมาณการณ์ความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศปีนี้จะกลับมาเติบโตได้ จากที่หดตัวไปในปีที่แล้ว

    นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC คาดการณ์ยอดขายปี 58 ที่กว่า 4.9 แสนล้านบาท ใกล้เคียงจาก 4.87 แสนล้านบาทในปี 57 แม้มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะเติบโตได้ระดับ 4% สูงกว่าหลายฝ่ายที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 3% เนื่องจากคาดว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งคิดเป็นราว 50% ของยอดขายรวมนั้นจะมีราคาลดลงมากตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ราคาแนฟทา ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของปิโตรเคมีปรับลดลงด้วย ส่งผลให้สเปรดผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HPDE กับแนฟทาในปีนี้จะสูงขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย 700 เหรียญ/ตัน จาก 682 เหรียญ/ตันในปีที่แล้ว รวมถึงการที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี ซิเมนต์ และกระดาษ ตลอดจนตลาดอาเซียนที่ขยายตัวสูงขึ้นจะข่วยหนุนกำไรได้

    "กำไรปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น มาร์จิ้นอยู่ในเกณฑ์ 700 เหรียญฯถือว่าดีมาก"นายกานต์ กล่าว

    อนึ่ง SCC แถลงผลประกอบการในปี 57  มีกำไรสุทธิ 3.36 หมื่นล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อนหน้า แต่มียอดขายเพิ่มขึ้น 12% มาที่ 4.87 แสนล้านบาท

   นายกานต์ มองว่า สเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นจะช่วยชดเชยผลขาดทุนจากสต็อกผลิตภัณฑ์ที่อาจเกิดขึ้นตามราคาน้ำมันที่ลดลงได้ โดยราคาน้ำมันที่ลดลงทุก 10 เหรียญ/บาร์เรล จะทำให้บริษัทมีผลขาดทุนจากสต็อกราว 700 ล้านบาท และคาดว่าในไตรมาส 1/58 บริษัทอาจต้องบันทึกขาดทุนจากสต็อกกว่า 1 พันล้านบาท หากราคาน้ำมันในเดือน มี.ค. อยู่ในเกณฑ์ 47-48 เหรียญ/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับแผนลดสต็อกผลิตภัณฑ์ลงเหลือระดับ 10-11 วัน จากเดิมที่เคยสต็อกไว้ถึงราว 3 สัปดาห์

    สำหรับ ธุรกิจซิเมนต์ปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ในประเทศจะเติบโต 6% จากที่หดตัว 1% ในปีที่แล้ว โดยความต้องการใช้ปูนในปีที่แล้วอยู่ที่เกือบ 40 ล้านตัน ซึ่งประเมินว่าปริมาณการใช้ปูนปีนี้น่าจะทำระดับสูงสุดใหม่บนความคาดหวังจากโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่จะมีผลผลักดันให้ภาคเอกชนลงทุนตามมาด้วย โดยเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตการใช้ปูนจากภาครัฐตังแต่ช่วงเดือน ธ.ค.57 และคาดว่าจะเติบโตชัดเจนจึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

    ปัจจุบัน บริษัทเดินเครื่องผลิตปูนเต็มที่ ซึ่งในปีที่แล้วมีการส่งออก 4.4 ล้านตัน แต่คาดว่าปีนี้จะส่งออกลดลงเหลือ 4 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับปีนี้จะมีผลผลิตเพิ่มจากโรงปูนซิเมนต์ในกัมพูชาและอินโดนีเซีย โดยโรงปูนแห่งที่ 2 ในกัมพูชาขนาดกำลังผลิต 9 แสนตัน/ปีจะเริ่มผลิตกลางปีนี้ ส่วนโรงปูนขนาด 1.8 ล้านตัน/ปีในอินโดนีเซียจะเริ่มผลิตช่วงครึ่งหลังของปีนี้

    ด้านความคืบหน้าการก่อสร้างโรงปูนในเมียนมาร์และลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 59 และ 60

    นายกานต์ กล่าวอีกว่า เครือ SCC คาดว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้มากกว่า 5 หมื่นล้านบาท สูงกว่า 4.52 หมื่นล้านบาทในปีก่อน ตามแผนการขยายงานในอาเซียน และมองโอกาสการซื้อกิจการและร่วมลงทุน(M&A)ในปีนี้มีมากขึ้น จากความพร้อมทางด้านการเงินและกำลังคนของบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจาอยู่หลายรายส่วนใหญ่เป็นกิจการในอาเซียน โดยงบลงทุนดังกล่าวจะรวมถึงงบด้านวิจัยและพัฒนาที่ตั้งไว้ราว 4.8 พันล้านบาท จากที่ใช้ไปกว่า 2.7 พันล้านบาทในปี 57

    ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม คาดว่าจะสรุปงบลงทุนและแผนทางการเงินได้ในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า จากเดิมที่คาดว่าโครงการนี้จะใช้เงินลงทุน ราว 4.5 พันล้านเหรียญ

    นายกานต์ กล่าวว่า เครือ SCC มองว่าตลาดอาเซียนยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่เศรษฐกิจในยุโรปคาดว่าจะทรงตัวและเศรษฐกิจสหรัฐอาจฟื้นตัวได้บ้าง โดยปีที่แล้ว SCC มีรายได้จากฐานการผลิตในอาเซียนและจากการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนราว 1 แสนล้านบาท คิดเป็น 21% ของรายได้รวม ขณะที่มีสินทรัพย์รวมในอาเซียนนอกเหนือจากไทย ณ สิ้นปีที่แล้วราว 8.49 หมื่นล้านบาท หรือ 18% ของสินทรัพย์รวม

                        อินโฟเควสท์

SCC ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 4.9 แสนลบ.หวังกำไรดีกว่าปีก่อน เล็งซื้อกิจการกลุ่มอาเซียน

   SCC ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 4.9 แสนลบ.หวังกำไรดีกว่าปีก่อน ยอมรับ Q1/58 ยังมีขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน   เผยเจรจาซื้อกิจการหลายแห่ง เน้นกลุ่มอาเซียน คาดสรุปเงินลงทุนปิโตรคอมเพล็กซ์เวียดนามใน 4-5 เดือนนี้  ส่วนโรงปูนฯในอินโด-กัมพูชา เริ่มผลิตปีนี้ ส่วนพม่า-ลาว เริ่มผลิตปีหน้า คาดจีดีพีปีนี้โต 4%มองปริมาณใช้ปูนฯในประเทศปีนี้โต 6%จากปีก่อนที่หดตัว 1% งบลงทุน5ปีที่ 2แสน-2.5แสนลบ.ล่าสุดบอร์ดอนุมัติออกหุ้นกู้ไม่เกิน3หมื่นล้านบาท

     นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC เปิดเผยว่าบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ประมาณ 4.9 แสนล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อยที่ทำได้ 4.8 แสนล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่เติบโตไม่มาก เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลง 10-20% โดยผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีสัดส่วนรายได้กว่า 50%จึงทำให้ฉุดรายได้รวมลดลง    

   อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังว่ากำไรสุทธิปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่ทำได้ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทฯจะพยายามรักษาต้นทุนเพื่อให้มีอัตรากำไรอยู่ในระดับที่จะสามารถสร้างกำไรให้ได้มากกว่าปีก่อน  ทั้งนี้ ยอมรับว่าในไตรมาส 1/2558บริษัทฯจะยังมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ แต่เชื่อว่าจะน้อยกว่าการขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาส 4/2557 ที่ 2.9 พันล้านบาท โดยประเมินว่าน่าจะอยู่ในระดับกว่า 1,000 ล้านบาท   

   อนึ่ง ทุกการปรับตัวลดลงของน้ำมันดิบที่ 10 เหรียญฯ จะทำให้บริษัทฯ ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 700 ล้านบาท

   นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ บริษัทฯจะมีการลดสัดส่วนการส่งออกปูนซิเมนต์เหลือ 4 ล้านตันจากปีก่อน4.4 ล้านตัน เพื่อรองรับดีมานด์ในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น  นอกจากนี้ คาดว่าสัดส่วนรายได้ในประเทศปีนี้ จะลดลงเล็กน้อยจากเดิมที่ราว 60% เนื่องจากมีกำลังการผลิตในประเทศอินโดนีเซียและกัมพูชาเพิ่มขึ้นมา  ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น จึงทำให้สัดส่วนรายได้ในประเทศลดลงเล็กน้อย  

    ในปีนี้บริษัทฯ จะเพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนาเป็ฯ 4,800 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ใช้ 2,700 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมที่มีคุณค่าต่อผู้บริโภคต่อไป สอดรับกับนโยบายภาครัฐที่มุ่งเน้นการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ

    นายกานต์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทฯ โดยจะเน้นกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม และพม่า แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อไร ส่วนเม็ดเงินลงทุนจะรวมอยู่ในงบประมาณการลงทุนของบริษัทฯปีนี้ที่ 5-6 หมื่นล้านบาท   

   ด้านโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปมูลค่าการลงทุนภายใน 4-5 เดือนนับจากนี้ ซึ่งเลื่อนจากกำหนดการเดิมที่คาดว่าจะสรุปช่วงต้นปีนี้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการประมูลผู้รับเหมา ซึ่งมีจำนวนที่ยื่นเข้ามาค่อนข้างมาก โดยบริษัทฯต้องใช้เวลาในการพิจารณาคัดเลือกให้เหมาะสมที่สุด

   ส่วนโรงปูนซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซียและกัมพูชา จะเริ่มผลิตสินค้าออกสู่ตลาดได้ภายในปีนี้ ขณะที่โรงงานปูนตืซีเมนต์ในประเทศเมียนมาร์และ สปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559 และ 2560 ตามลำดับ รวมถึงโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม มีความคืบหน้าตามแผนเช่นกัน ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของตลาดและรองรับความต้องการของลูกค้าในอาเซียน 

   SCC ยังได้คาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนของทั้งปี 2558 เป็นเงินประมาณ 50,000 - 60,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เอสซีจียังคงมุ่งดำเนินกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนในธุรกิจหลักไปยังภูมิภาคอาเซียน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ประมาณการรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนสำหรับปี 2558-2562เป็นเงินจำนวน 200,000 - 250,000 ล้านบาท

   นายกานต์ กล่าวว่า บริษัทประเมินจีดีพีของประเทศไทยในปีนี้จะเติบโตได้ระดับ 4% โดยราคาน้ำมันที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการลงทุน รวมถึงโครงการจากภาครัฐก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เข้ามาช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศในปีนี้            

   ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศปีนี้จะเติบโต 6% จากปีก่อนที่อยู่ราว 40 ล้านตัน โดยในจำนวนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนของ SCC 40% ซึ่งมองว่าในครึ่งปีหลังจะมีโครงการลงทุนของภาครัฐเข้ามาช่วยเพิ่มดีมานด์การใช้ปูนซิเมนต์ ขณะที่ดีมานด์ปกติก็น่าจะยังคงเติบโต โดยเฉพาะดีมานด์จากต่างจังหวัด             

   "ปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ดีจากปีก่อน เพราะความเชื่อมั่นเริ่มฟื้นตัว ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็ยังมีแนวโน้มที่ดี แม้จะมีปัญหาเรื่องราคาน้ำมันแต่จะส่งผลทางบวก เพราะประเทศไทยเป็นผู้นำเข้า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนลดลง"นายกานต์ กล่าว

   SCC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ว่า มีกำไรงวดปี 2557 ที่ 33,615 ล้านบาท ลดลง  8% จากปีก่อน เนื่องจากไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จากัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด จำนวน 1,527 ล้านบาท และกำไรจากการขายเงินลงทุนใน บริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด จานวน 174 ล้านบาท

   ประกอบกับในปีนี้มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือในไตรมาสที่ 4 ของธุรกิจเคมีภัณฑ์จำนวน 2,960 ล้านบาท รวมทั้งธุรกิจ PVC มีผลการดำเนินงานที่ลดลง 

   นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังอนุมัติออกหุ้นกู้ 2 ชุด (อายุ 3 และ 4 ปี)วงเงินไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาทเสนอขายประชาชนทั่วไป  พร้อมเพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้อีก 50,000 ล้านบาท รวมทุกชุดเป็น 250,000 ล้านบาท  พร้อมปันผลหุ้นละ 7 บาท  ขึ้นเครื่องหมาย  XD วันที่ 31 มีนาคม 2558

    ขณะเดียวกัน SCC แจ้งว่า บริษัททีซี เฟล็กซิเบิ้ล แพคเกจจิ้ง จำกัด (TCFP)ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม SCC ยังได้เข้าซื้อหุ้นใน บริษัทพรีแพค ประเทศไทย จำกัด (พรีแพค)เพิ่มเติมอีกร้อยละ 50 จาก ผู้ถือหุ้นเดิม ทำให้ TCFP มีสัดส่วนการถือหุ้นในพรีแพคเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 22 เป็นร้อยละ 72 โดยมีมูลค่ากิจการประมาณ 1,500 ล้านบาท

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!