WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บลจ.ยูโอบี มองหุ้นไทยยังเติบโตดี ตามกำไร บจ.ที่คาดโตต่อเนื่องอีก 10% ในปีหน้า แนะกระจายลงทุนเพิ่มในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ

    บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) วิเคราะห์โอกาสการลงทุนส่งท้ายปี 2557 โดยยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยแม้ตลาดได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่กำไร บจ.ยังถือว่าเติบโตดี คาดปีหน้าโตต่อเนื่องอีก 10% พร้อมแนะนำกระจายการลงทุนต่างประเทศในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วโดยให้ความน่าสนใจต่อการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นขนาดเล็กและกลาง นอกจากนี้เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว การลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ (Healthcare) เป็นทางเลือกที่ดี โดยบริษัทส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้จะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ

    นางสาวศิริพรรณ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ได้ให้มุมมองสำหรับภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2557 และปี 2558 ว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงฟื้นตัวเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในสหรัฐฯ IMFได้ประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.4% ในปี 2557 และ 4.0% ในปี 2558 สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตได้ 3% ในปี 2558 โดยการบริโภค ภาคที่อยู่อาศัย และการจ้างงานที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักในการฟื้นตัว มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐน่าจะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้แต่ดอกเบี้ยนโยบายคงจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง เศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่น คาดว่าจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และธนาคารกลางของทั้ง 2 ภูมิภาคนี้จะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ปัญหาการว่างงานที่ยังสูงในยุโรปจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคในยุโรป สำหรับเศรษฐกิจจีนนั้น คาดว่าจะยังเติบโตประมาณ 7.1% ในปีหน้าตามเป้าหมายของรัฐบาลที่เน้นการเติบโตที่มีเสถียรภาพ ถึงแม้ราคาหุ้นจีนจะไม่แพงแต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูงและปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในภาคการเงินของจีนยังคงเป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อการลงทุนในหุ้นจีนเป็นระยะๆ

     สำหรับ ตลาดหุ้นไทย นับจากที่คณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ ได้เข้าบริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมานักลงทุนได้ให้ความสนใจกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในด้านต่างๆ เมื่อปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองลดลง ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและการบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ มีการคาดการณ์การลงทุนของภาครัฐและมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP ไทยน่าจะเติบโต 1.5 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ และอาจเติบโตถึง 5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี คาดการณ์การเติบโตของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยมากกว่า 10% ในปี 2558 โดยมูลค่าหุ้นไทยยังน่าจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีกอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการเติบโตดังกล่าว

    นางสาวศิริพรรณ กล่าวอีกว่า “ดังนั้นในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า บลจ.ยูโอบี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทย และให้กระจายน้ำหนักการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วด้วย เช่นญี่ปุ่นซึ่งราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกเนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง ดัชนี MSCI Japan Small and Mid Cap Index สำหรับหุ้นบริษัทขนาดกลางและเล็กในญี่ปุ่นมีอัตรา P/E ประมาณ 16 เท่าต่ำกว่าดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นซึ่งมี P/E ประมาณ 17.5 เท่าและค่าเฉลี่ยในอดีตที่เคยสูงถึง 37 เท่า

   นอกจากนี้ เพื่อการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ได้นำเสนอการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ (Healthcare) เนื่องจากธุรกิจนี้ยังคงขยายตัวต่อเนื่องและสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคตที่คนจะมีอายุยืนขึ้นและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสุขภาพสูงขึ้นตาม ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้จะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ

บลจ.ยูโอบี มองแนวโน้มหุ้นไทยยังโตตามกำไร บจ. แนะกระจายลงทุนไปญี่ปุ่น

    นางสาวศิริพรรณ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 57 และปี 58 ว่า  ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดี คาดการณ์การเติบโตของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยมากกว่า 10% ในปี 58 โดยมูลค่าหุ้นไทยยังน่าจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีกอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามการเติบโตดังกล่าว

    ทั้งนี้ นับจากที่คณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าบริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 นักลงทุนได้ให้ความสนใจกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในด้านต่างๆ เมื่อปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองลดลง ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและการบริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ มีการคาดการณ์การลงทุนของภาครัฐและมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่า GDP ไทยน่าจะเติบโต 1.5%ในปีนี้ และอาจเติบโตถึง 5%ในปี 58

    ขณะที่เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงฟื้นตัวเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในสหรัฐฯ IMF ได้ประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.4% ในปี 57 และ 4.0% ในปี 58 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตได้ 3% ในปี 58 ซึ่งการบริโภค ภาคที่อยู่อาศัย และการจ้างงานที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักในการฟื้นตัว มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐน่าจะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้แต่ดอกเบี้ยนโยบายคงจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะหนึ่ง

    ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซนและญี่ปุ่น คาดว่าจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และธนาคารกลางของทั้ง 2 ภูมิภาคนี้จะยังคงใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องปัญหาการว่างงานที่ยังสูงในยุโรปจะยังเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคในยุโรป

    ขณะที่เศรษฐกิจจีนนั้น คาดว่าจะยังเติบโตประมาณ 7.1% ในปีหน้าตามเป้าหมายของรัฐบาลที่เน้นการเติบโตที่มีเสถียรภาพ ถึงแม้ราคาหุ้นจีนจะไม่แพงแต่ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูงและปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในภาคการเงินของจีนยังคงเป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อการลงทุนในหุ้นจีนเป็นระยะๆ

   นางสาวศิริพรรณ กล่าวอีกว่า ในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า บลจ.ยูโอบี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทย และให้กระจายน้ำหนักการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วด้วย เช่น ญี่ปุ่นซึ่งราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกเนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง ดัชนี MSCI Japan Small and Mid Cap Index สำหรับหุ้นบริษัทขนาดกลางและเล็กในญี่ปุ่นมีอัตรา P/E ประมาณ 16 เท่าต่ำกว่าดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นซึ่งมี P/E ประมาณ 17.5 เท่าและค่าเฉลี่ยในอดีตที่เคยสูงถึง 37 เท่า

    นอกจากนี้ เพื่อการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ได้นำเสนอการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ (Healthcare) เนื่องจากธุรกิจนี้ยังคงขยายตัวต่อเนื่องและสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคตที่คนจะมีอายุยืนขึ้นและมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสุขภาพสูงขึ้นตาม ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ในธุรกิจนี้จะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ

   ขณะที่นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี(ประเทศไทย) คาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ปีนี้จะอยู่ในระดับ 1,630-1,650 จุด ก่อนที่จะปรับขึ้นไปสู่ระดับ 1,700 จุดในปีหน้า ในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตในปีนี้ที่ 1.5% และปี 58 จะเติบโตเป็น 5.5% เนื่องจากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังการรัฐประหาร ขณะที่รัฐบาลแสดงเจตนาที่จะลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทยอยผลักดันออกมาได้ในปลายปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ประเมินวงเงินเบิกจ่ายในปีหน้าราว 1-1.4 แสนล้านบาท

  ทั้งนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดจะเติบโตราว 10-12% และปีหน้าจะเติบโตเพิ่มเป็น 12-15% จากรัฐบาลอนุมัติโครงการต่างๆ ส่งผลดีต่อภาพรวมของบริษัทฯที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มองว่าน่าจะปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/58 ตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเช่นกัน โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับขึ้นราว 0.50-0.75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2%

   ส่วนแนวความคิดที่รัฐบาลจะยกเลิกสิทธิทางภาษีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มองว่ารัฐบาลคงมองหาทางเลือก โดยรูปแบบที่คาดว่าจะเป็นไปได้น่าจะมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขบางประการ เช่น ระยะเวลาการถือครอง หรือจำนวนเงิน ซึ่งหากมีการยกเลิกจริง ก็คงจะมีการลงทุนในรูปแบบอื่นเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน โดยปัจจุบันมีเงินที่หมุนเวียนใน LTF จำนวน 240,000 ล้านบาท

                อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!