WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บลจ.กรุงศรี ตอกย้ำความเป็นผู้นำกองทุนหุ้น ดัน KFSDIV ขึ้นแท่นกองทุนหุ้นที่มีขนาดใหญ่สุดของอุตสาหกรรม

    นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า “บริษัทประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล(KFSDIV) มียอดเงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกว่า 11,360 ล้านบาท ส่งผลให้กองทุน KFSDIV เป็นกองทุนรวมหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม (ข้อมูลจาก Morningstar 30 เม.ย. 57) สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อการบริหารจัดการกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของ บลจ.กรุงศรี” 

   “กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีความมั่นคง มีการจ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอ ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี พ.ศ.2550  ถือเป็นกองทุนดาวเด่นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีและสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ โดยกองทุน KFSDIV มีการจ่ายเงินปันผลรวม 21 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 11.55 บาท ถือเป็นกองทุนที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนการลงทุนในรูปของเงินปันผลที่ดีและสม่ำเสมอและต้องการโอกาสที่จะได้รับผลกำไรส่วนเกิน” 

     “นอกจากนี้ ในส่วนของกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นแวลู (KFVALUE) ที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกับกองทุน KFSDIV แตกต่างกันเพียงกองทุน KFVALUE ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นติดอันดับต้นๆของอุตสาหกรรม และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นแต่ไม่ต้องการรับเงินปันผล” 

   “ในส่วนของกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นก็มีผลการดำเนินงานที่ดีสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กองทุนกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล(KFLTFDIV) ที่มีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมและจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอทุกปีนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (พ.ย. 2547) จำนวนรวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 6.59 บาท และกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผลเพื่อการเลี้ยงชีพ(KFDIVRMF) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว โดยทั้งสองกองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี 5 ปีที่สูงกว่าเกณฑ์มาตราฐาน”

    “อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์ในการลงทุน โดยพิจารณาลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง  กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้ ที่สำคัญควรพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนอย่างน้อย 3 – 5 ปี โดยกองทุนที่ดีควรมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ  รวมทั้งควรลงทุนทั้งในส่วนของกองทุน LTFและกองทุน RMF ให้เต็มสิทธิลดหย่อนภาษีที่ตนเองได้รับ”นายฉัตรพี กล่าว

    นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน  บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า “บริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว  แม้ในระยะสั้นจะยังคงมีความผันผวนจากสถานการณ์ทางการเมือง  แต่ในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจเนื่องจากศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถึงแม้ต้องประสบกับปัญหาทั้งภายในและภายนอกประเทศในหลายๆเรื่อง แต่ก็สามารถมีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโดยค่าเฉลี่ยประมาณ 4% และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เติบโตประมาณ 10% ดังนั้น จากการที่ในปี 2559 เป็นต้นไปจะมีการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างสูงถึงประมาณ 6% น่าจะส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงที่มีความสะดวกสบายและกฎเกณท์ต่างๆที่จะเอื้อให้การดำเนินธุรกิจต่างๆมีการขยายตัวและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

   สำหรับสัดส่วนการจัดพอร์ตการลงทุนของปี2557 ก็ยังสามารถจัดพอร์ตการลงทุนในเชิงรุกได้ถ้าหากมีกรอบระยะเวลาในการลงทุนประมาณ 3-5 ปี เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นในปีนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ลงทุนที่จะได้มีต้นทุนในการลงทุนที่ต่ำและสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้

   ทั้งนี้ แนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้ เนื่องจากจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนในหุ้นราคาถูกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว  โดยอาจจัดสรรเงินลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยและบางส่วนในตลาดหุ้นต่างประเทศ  เพื่อสะสมหน่วยลงทุนและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนในช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว

   “สำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น ถือเป็นการลงทุนระยะยาวผู้ลงทุนสามารถทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average :DCA) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนและลดความเสี่ยงจากการลงทุนเพียงครั้งเดียวช่วงปลายปี  ทั้งนี้  ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงจะมีเงินเข้ามาลงทุนมากเป็นพิเศษ  ถือเป็นสัญญาณที่ดีซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจของผู้ลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!