WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

G เอกนต นตทณฑประภาศสรรพากร ชงครม.ยืดแวต 7% หนุนเศรษฐกิจไทยโต เห็นชอบกรอบฐานะคลัง

     ไทยโพสต์ * "สรรพากร" ชงคลังขยายเวลาลดภาษีแวตต่ออีก 1-2 ปี ชี้เพื่อช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย รัฐบาลยืนยันไม่ปรับเพิ่มแวต แน่นอน ครม.เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง

     นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการเสนอให้กระทรวงการคลังขยายเวลาการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จาก 10% เหลือ 7% ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.2561 ออกไปอีก 1-2 ปี เมื่อกระทรวงการคลังสรุปได้แล้วก็จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนและนักลงทุน

         นอกจากนี้ การขยายเวลาการลดแวตออกไปอีก จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มีอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้เกิดการสะดุด และที่ผ่านมาไทยก็ขยายเวลาการลดแวตมาตลอดตั้งแต่ปี 2535 ที่เริ่มเก็บภาษีแวต ซึ่งในกฎหมายประมวลรัษฎากรให้เก็บในอัตรา 10% แต่ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาประกาศลดอัตราภาษีแวตให้เหลือ 7% มาโดยตลอด

        "กรมสรรพากรและกระ ทรวงการคลังไม่มีแนวคิดจะปรับเพิ่มแวตในตอนนี้ เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อเนื่องไม่ได้มีความร้อนแรงเกินไป หรือมีปัญหาการเก็บรายได้จนต้องขึ้นภาษีแวต" นายเอกนิติกล่าว

        ด้าน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 9-10% นับเป็นข่าวที่ออกมาวนเวียนเป็นประจำทุกปีที่การขยายเวลาใกล้ครบกำหนด ขณะที่กรมสรรพากรได้ชี้แจงในที่ประชุม ครม.ยังยืนยันคงภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบันยังดูแลเศรษฐกิจได้ นายกรัฐมนตรีจึง สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเร่งชี้แจงข้อมูลในส่วนที่รับผิดชอบ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน เช่น ปัญหาราคาพลังงานเพิ่มขึ้น รัฐบาลดูแลราคาน้ำมันดีเซลและราคาเบน ซินหลายชนิดไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ผ่านกองทุนน้ำมันและเชื้อเพลิงประมาณ 30,000 ล้านบาท ยังเพียงพอดูแลผลกระทบในช่วงนี้ได้ โดยเฉพาะราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนขนาดถัง 15 กิโลกรัม รัฐบาลอุดหนุน 50 บาท จึงทำให้ราคาปัจจุบันไม่เกิน 363 บาทต่อถัง

       พร้อมกันนี้ นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2562-2564 และกรอบการบริหารหนี้สาธารณะตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 หลังจาก พ.ร.บ.วินัยทางการเงินการคลังมีผลบังคับใช้ รัฐบาลจึงได้จัดทำแผนงานล่วงหน้า 3 ปี เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ หลังจากระยะสั้นเน้นฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตจากการขาดดุลงบประ มาณ สำหรับคลังระยะปานกลาง ตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจไทยปี 2561 ขยายตัว 4.2-4.7% ในปี 2562 ขยายตัว 3.9-4.9 ในปี 2563-2564 ขยายตัว 3.5-4.5% ขณะที่หนี้สาธารณะของรัฐบาลต่อจีดีพีในปีงบประมาณ 2561 กำหนดกรอบความยั่งยืนให้อยู่ 42.6% จากนั้นปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 47.3% โดยยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังที่ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี.

โฆษกฯ ยันรัฐบาลยังไม่มีแนวคิดปรับขึ้นภาษี VAT ยังคงไว้ที่ 7% ตามเดิม

      พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีมีการแชร์ข้อความและภาพระบุ "ประยุทธ์ขอประชาชนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% ถ้าไม่ขึ้นประเทศจะล้มละลาย" ในขณะนี้นั้น ข้อความและภาพดังกล่าวเป็นเรื่องเก่าเมื่อเดือน มี.ค. 60 ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่ได้เป็นเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการตีความที่คลาดเคลื่อน พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่าไม่มีนโยบายปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่อย่างใด

      นอกจากนี้ ยังมีประเด็นข้อกังวลว่า รัฐบาลจะปรับขึ้นภาษี VAT 9% (รวมภาษีท้องถิ่นอีก 1% อัตรารวมคือ 10%) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.61 ตามที่ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 2 ต.ค.60 นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า "ขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับขึ้นภาษี VAT ตามที่ระบุไว้กฎหมาย โดยยังคงไว้ที่อัตรา 7% เพราะไม่อยากผลักภาระให้ประชาชนเดือดร้อน จึงไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนกและหลงเชื่อ หรือนำไปวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดความสับสน"

      โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โดยหลักการแล้วรัฐบาลจะต้องขึ้นภาษี VAT อีก 3% เป็น 10% เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติประมวลรัษฎากร แต่รัฐบาลได้ออกกฎหมายลดอัตราภาษี VAT โดยให้จัดเก็บจริงที่ 7% ซึ่งเป็นอัตราคงที่ต่อเนื่องกันมาทุกปี

       ส่วนกรณีสื่อเผยแพร่ข่าวเพจเฟซบุ๊ก "ขอล้าน Like สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายก" ทำโพลสอบถามประชาชนในโอกาสครบรอบ 4 ปีว่ายังสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้บริหารบ้านเมืองต่อหรือไม่ โดย 1 วันมีผู้ตอบคำถาม 500,000 คน แบ่งเป็นผู้ที่สนับสนุน 11% และไม่สนับสนุน 89% นั้น นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว และไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อข้อมูลดังกล่าว เพราะที่ผ่านมามีผลโพลออกมาจากหลายสำนักหลายประเภท ซึ่งมีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่า "จะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ที่ดีสุด จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง จากนั้นประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง"

     อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!