WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

'เหล้า-บุหรี่'แห่ปรับราคา รีดภาษีบาปเข้ากองทุนกีฬาฯ มีผลแล้ว บุหรี่ขึ้น 1-2 บาท เหล้า-เบียร์ 5-10 บาท

รีดภาษีบาปเข้ากองทุนพัฒนากีฬามีผลแล้ว ส่งผล"เหล้า-เบียร์-บุหรี่"ขยับยกแผง เล็งเก็บเพิ่มอีกรอบของกระทรวงศึกษาฯ โปะกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้

รีดภาษีบาปเข้ากองทุนพัฒนากีฬาฯ

 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยถึงกรณีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การกีฬาแห่งประเทศไทย มีผลบังคับใช้ ต้องมีการจัดเก็บเงินจากสินค้าในกลุ่มสุรา เบียร์ ยาสูบ เข้ากองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติในสัดส่วน 2% จากฐานภาษีสรรพสามิตของสินค้าทั้ง 3 ชนิด ว่าการเก็บเงินเข้ากองทุนพัฒนากีฬาฯจะเริ่มทันทีวันที่ 27 มีนาคม เป็นการเก็บจากผู้ผลิตและผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าว คาดว่าจะเป็นเงินปีละกว่า 3,000 ล้านบาท การเก็บเข้ากองทุนไม่กระทบต่อภาษีของกรมที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากการเก็บเงินเข้ากองทุนจะคิดจากฐานของภาษีบาปจัดเก็บได้แต่ละปีในอัตรา 2% เป็นการเก็บเพิ่มจากผู้ประกอบการ สมมุติว่าภาษีปีนี้เก็บได้ 100 บาท ต้องเก็บเงินเข้ากองทุนจากผู้ประกอบการ 2 บาท ส่วนจะมีผลทำให้สินค้าดังกล่าวปรับขึ้นหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องของผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายต้องพิจารณาเอง เพราะสินค้าดังกล่าวไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม เป็นอำนาจผู้ประกอบการพิจารณาเองว่าจะผลักภาระไปยังผู้บริโภคหรือไม่

"เหล้า-เบียร์-ยาสูบ"ขยับยกแผง

รายงานข่าวจากวงการค้าปลีกค้าส่งแจ้งว่า ขณะนี้ทั้งผู้ผลิตเหล้า บุหรี่ เบียร์ ในไทยและนำเข้าต่าง ระบุว่าจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบุหรี่นั้นทั้งผู้นำเข้าและผู้ผลิตในไทยเตรียมปรับขึ้นสินค้าวันที่ 27 มีนาคมนี้ อัตรา 2% ปัจจุบันบุหรี่ขายอยู่มีราคาเฉลี่ย 30-40 บาท น่าจะต้องปรับขึ้นประมาณ 80 สตางค์-1 บาทต่อซอง ส่วนเบียร์ขายเฉลี่ยอยู่ 50-60 บาทต่อกระป๋องหรือขวด ปรับขึ้น 1-1.20 บาทต่อขวดหรือกระป๋อง ส่วนเหล้าถ้ามีราคา 100 บาท ปรับขึ้น 2 บาท แต่ละยี่ห้ออาจขึ้นไม่เท่ากัน เพราะต้องพิจารณาถึงภาวะแข่งขันด้วย ถ้าไม่สามารถขึ้นได้ทันที อาจจะขึ้นในช่วงที่มีโอกาส เพราะผู้ผลิตเองไม่อยากแบกภาระตรงนี้ไว้ ปัจจุบันผู้ผลิตเหล้า บุหรี่ เบียร์ ส่งเงินเข้ากองทุน สสส.ปีละ 3,000 ล้านบาท และไทยพีบีเอสปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท ถ้ารวมกองทุนกีฬาฯอีก 3,000 ล้านบาท ทำให้ต้องส่งเงินประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นเงินที่สูงมาก และไม่มั่นใจว่าเงินดังกล่าวนำไปใช้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพราะบางองค์กรถ้าดูย้อนหลัง 5 ปี ได้รับเงินถึง 17,000 ล้านบาท แต่ยังตรวจสอบได้ยากว่านำไปใช้อะไรบ้าง และถูกต้องหรือไม่ และนอกจากกองทุนกีฬาฯแล้ว ทางกระทรวงศึกษาธิการเตรียมผลักดันร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพการเรียนรู้ ก่อนหน้านี้กองทุนดังกล่าวคาดว่าจะมีรายได้จากภาษีบาปประมาณ 1.5% คิดเป็นรายได้ 2,000-3,000 ล้านบาท

บุหรี่ขึ้นทันทีซองละ1-2บาท

นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการอำนวยการ ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ กล่าวว่า โรงงานยาสูบประกาศขึ้นราคายาสูบไปแล้วประมาณ 1-2 บาทต่อซอง ใน 3 ยี่ห้อ มีผลวันที่ 27 มีนาคมทันที ปรับขึ้นกับกลุ่มเอเยนต์ และไม่สามารถขึ้นราคาได้ทั้งหมดทุกยี่ห้อ เพราะต้องคำนึงถึงการแข่งขันทางการตลาดด้วย คาดว่าจะมีผลกระทบต่อยอดขายลดลงประมาณ 30% ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า กระทบกำไรปีนี้ประมาณ 10-20% รู้สึกหนักใจมาก เพราะถ้ารวมการจ่ายเงินให้กองทุนกีฬาฯในครั้งนี้ โรงงานต้องจ่ายเงินให้กับกองทุนในลักษณะนี้ถึงปีละถึง 2,700 ล้านบาท แบ่งเป็นของ สสส. 1,000 ล้านบาท กองทุนกีฬาแห่งละ 1,000 ล้านบาท และไทยพีบีเอส 600-700 ล้านบาท 

แหล่งข่าวจาก ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ผู้นำเข้าบุหรี่จากต่างประเทศ กล่าวว่า บริษัทมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าให้สอดคล้องกับเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนกีฬา ขณะนี้กำลังพิจารณาปรับขึ้น รวมถึงช่วงเวลาว่าจะเป็นเมื่อใด บริษัทมีความเห็นเหมือนกันกับกระทรวงการคลัง มองว่าไม่ควรเรียกเก็บเงินในลักษณะนี้เข้ากองทุนกีฬา เนื่องจากขัดต่อวินัยทางการเงินการคลัง การใช้เงินนอกงบประมาณทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเงินดังกล่าวถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องหรือไม่

"ไฮเนเก้น"รอหารือก่อนปรับ

นายปริญ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กร บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เบียร์ไฮเนเก้น กล่าวว่า การเก็บภาษีของแต่ละยี่ห้อหรือสินค้าจะเก็บไม่เหมือนกัน ดังนั้น ราคาขายปลีกก็จะปรับขึ้นไม่เท่ากัน แต่คาดว่าราคาขายปลีกจะปรับขึ้นไม่มาก เพราะเก็บเพิ่มแค่ 2% ของภาษีสรรพสามิตที่แต่ละบริษัทต้องจ่าย ราคาขายปลีกสุราเบียร์จะปรับขึ้นเมื่อไหร่ ยังตอบได้ไม่แน่ชัด บริษัทยังอยู่ในขั้นตอนการปรึกษากันภายใน สำหรับภาษีสรรพสามิตที่บริษัทจ่าย ตอนนี้ฐานการเก็บภาษีมาจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย ต้องไปดูว่าจะตั้งราคาขายส่งเท่าไหร่ เพื่อคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายได้ถูก คงใช้เวลาสักพักหนึ่ง เพื่อเตรียมการ คาดว่าการปรับขึ้นราคาสุราเบียร์รอบนี้จะไม่กระทบกับปริมาณการขายมากนัก เพราะราคาไม่ได้ปรับขึ้นมาก 

เหล้า-เบียร์ขึ้นขวดละ5-10บาท

นายธนากร คุปตจิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) ในฐานะประธานสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทย กล่าวว่า การเก็บภาษีดังกล่าวจะเรียกเก็บจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย แน่นอนว่าผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องผลักภาระภาษีดังกล่าวให้ผู้บริโภคเป็นผู้จ่ายบางส่วน คาดว่าราคาสุราและเบียร์จะปรับขึ้นเฉลี่ยขวดละ 5-10 บาท ส่วนยี่ห้อใดและประเภทใดจะปรับขึ้นเท่าใดนั้นไม่สามารถระบุได้ เพราะขึ้นอยู่กับอัตราภาษีสรรพสามิตที่สินค้าชนิดนั้นจ่ายอยู่ สมาคมยินดีปฏิบัติตามกฎหมาย แต่การที่ภาครัฐประกาศกฎหมายโดยไม่สอบถามความคิดเห็นจากภาคเอกชน บริษัทบางแห่งไม่ได้เตรียมแผนปรับโครงสร้างภาษีภายในไว้ ทำให้ต้องผลักภาระให้ผู้บริโภค หากยังมีกฎหมายในลักษณะนี้ออกมาซ้ำ เกรงว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทยจะมีศักยภาพแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้น้อย และกระทบต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้มีคู่แข่งนอกระบบ เช่น สินค้าหนีภาษี สินค้าปลอม สินค้าเลียนแบบเกิดขึ้นในระบบมากขึ้น ทางบริษัทเตรียมแผนปรับโครงสร้างภาษีของปี 2558 ไว้แล้ว คาดว่าจะปรับขึ้นราคาในปีนี้ 

นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างหารือการปรับโครงสร้างราคาเครื่องดื่ม คาดว่าจะได้รับความชัดเจนภายในวันที่ 30 มีนาคมนี้ การไม่ปรับราคาสินค้าขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่อัตราการเก็บภาษีเข้ากองทุนที่ 2% นั้น หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าอัตราการเก็บจะสูงกว่า 2% เพราะมีสูตรการคิดคำนวณภาษีที่ซับซ้อน 


(ที่มา:มติชนรายวัน 28 มี.ค. 2558)

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8886 ข่าวสดรายวัน


จ๊าก!ขึ้นเหล้า-บุหรี่ รื้อใหญ่หวย 
บอร์ดกองสลาก เคาะ เลิกโควตา 48 ล้านฉบับ ให้ผู้ว่าฯทั่วปท.คุมแทน หวังขาย'80 บาท'ให้ได้!

     นักก๊ง-สิงห์อมควันจ๊าก ขยับขึ้นราคาขาย 2 บาท หลังกฎหมายกีฬาฉบับใหม่มีผล ดันราคาขายปลีกเหล้า-บุหรี่พุ่งอีก1-3 บาท แฉร้านค้าทยอยตุนขายทำกำไร ด้านบอร์ดสลากกินแบ่งรัฐบาล ยึดโควตาหวย 48 ล้านใบ ไฟเขียวต่อสัญญาผู้ค้ารายเดิม 1 ปี จัดสรรรายละ 5 เล่ม ย้ำต้องขายในราคา 80 บาท ถ้าพบตุกติกยึดคืนทันที พร้อมผนึกผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศควบคุม แจงใช้รูปแบบสาวยาคูลท์

      เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 27 มี.ค. ที่ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 26 มี.ค. มีมติเห็นชอบแนวทางจัดสรรสลากที่จะหมดอายุเดือนมิ.ย. จำนวน 48 ล้านฉบับ ที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางจัดสรร เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศในแต่ละจังหวัดเข้ามามีบทบาทในการกระจายและควบคุม ตามนโยบายที่ต้องการให้กระจายสลากไปยังส่วนภูมิภาค ให้รายย่อย คนพิการ สมาคม มูลนิธิ และนิติบุคคลนำไปจำหน่าย

     นายสมชัย กล่าวว่า แนวทางดังกล่าวจะทำให้สลากกินแบ่งรัฐบาล กว่า 75% กระจายไปสู่ภูมิภาค โดยมีผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดดูแล และในกรุงเทพฯอีก 25% สำนักงานสลากฯ จะเป็นผู้ดูแล ซึ่งการจัดสรรโควตา 48 ล้านฉบับครั้งนี้ สำนักงานสลากฯ จะให้โอกาสผู้ค้ารายเดิมต่อสัญญาระยะเวลา 1 ปี โดยจะเปิดให้เข้ามาลงทะเบียนเพื่อทำบัตรและแสดงตน ทั้งรายย่อย คนพิการ โดยเฉพาะมูลนิธิ สมาคม ต้องทำรายชื่อสมาชิก เพื่อแจ้งกับสำนักงานสลากฯว่าจำหน่ายสลากจริง และต้องควบคุมให้สมาชิกขายในราคาที่ 80 บาท ซึ่งจะได้รับการเฉลี่ยสลากฯ รายละ 5 เล่ม หรือ 500 ใบ (1,000 ฉบับ) ทำให้ผู้ค้าจะได้รับส่วนต่างในราคาใบละ 6 บาท ส่วนนิติบุคคลรายเดิม สำนักงานสลากฯ จะต่อสัญญา แต่จะคัดเลือกใหม่ โดยให้นิติบุคคลเข้ามายื่นลงทะเบียน หลังจากนั้นจะคัดเลือกในวิธีแรนดอม โดยเบื้องต้นคาดว่าแต่ละนิติบุคคลจะได้รับโควตารายละ 1,000 เล่ม และต้องกระจายให้กับรายย่อยที่อยู่ในการดูแล เพื่อนำไปขายในราคา 80 บาท 

     "การจัดสรรโควตาสลากในครั้งนี้ จะเข้มงวดมากขึ้นทั้งรายย่อย คนพิการ มูลนิธิ สมาคม นิติบุคคล ต้องมีบัตรประจำตัวที่เป็นตัวแทนขาย หากอยู่ภายใต้องค์กรจะต้องระบุว่ามาจากที่ใด รวมทั้งสำนักงานสลากฯ กำลังหารือที่จะทำเสื้อเพื่อเป็นสัญลักษณ์คล้ายกับเสื้อวินมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบว่าเป็นผู้ค้าจริง และขายในราคา 80 บาท ถือเป็นหลักการเดียวกับสาวยาคูลท์ที่มีจำนวนมาก แต่สามารถขายได้ในราคาเดียว" นายสมชัยกล่าว

     นายสมชัย กล่าวว่า หลังจากนี้สำนักงานสลากฯ จะเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาประชุมเพื่อกำหนดแนวทาง ในการตรวจสอบผู้ค้าในต่างจังหวัดว่าดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่อยู่ในภูมิภาคหรือไม่ รวมทั้งสำนักงานสลากฯ ที่ดูแลในส่วนของกรุงเทพฯ ที่ต้องดำเนินการเช่นกัน พร้อมทั้งจะสุ่มตรวจในต่างจังหวัด โดยยืนยันว่าผู้ที่ได้รับโควตาครั้งนี้ ห้ามขายต่อเป็นช่วงๆ เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะแบ่งทีมและลงตรวจสอบอย่างเข้มงวดในการตรวจพฤติกรรมผู้ค้าตลาด หากไม่มีการขายจริงในราคา 80 บาท จะยกเลิกสัญญาทันที

    ประธานบอร์ดสลากกินแบ่งรัฐบาลกล่าวว่า เบื้องต้นสำนักงานสลากฯ จะสรุปแนวทางทั้งหมดก่อนประกาศหลักเกณฑ์ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกันภายในเดือนเม.ย.นี้ เพื่อเปิดรับขึ้นทะเบียนผู้ค้าสลากฯ รายเดิมที่ได้รับการต่อสัญญา ภายในเดือนพ.ค. ซึ่งจะทันต่อการจำหน่ายสลากที่จะครบกำหนดภายในเดือนมิ.ย.นี้ นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป สำนักงานสลากฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหากพบว่าผู้ค้ารายใดมีสลากที่รวมชุด แต่ไม่ได้ขายปลีกตามเงื่อนไขสัญญาที่กำหนดไว้ จะตรวจสอบตัวเลขสลากเพื่อนำไปเทียบกับ ผู้ที่มีโควตาว่าเป็นของรายใด และจะทำการยกเลิกสัญญาคืนทันที

     นายสมชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้หารือกับบริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเท็ค หากรัฐบาลมีความชัดเจนด้านนโยบายให้ออกสลาก 6 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ (หวยออนไลน์) ทางบริษัทก็พร้อมที่จะถอนฟ้อง โดยไม่เอาผิดใดๆ และจะใช้เวลาเตรียมการอุปกรณ์ประมาณ 120 วัน โดยขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานสลากฯ ประเมินว่าสลาก 74 ล้านฉบับในปัจจุบันเพียงพอหรือไม่ หากพออยู่แล้วก็จะนำบางส่วนจัดสรรให้ผ่านออนไลน์ แต่หากไม่พอก็ต้องพิมพ์เพิ่มใหม่ พร้อมทั้งหาวิธีเยียวยาผู้ค้ารายย่อยและคนพิการอีกด้วย

     วันเดียวกัน น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการอำนวยการ ในฐานะรักษาการ ผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ เปิดเผยว่า โรงงานยาสูบได้ประกาศราคาขายส่งบุหรี่หน้าโรงงานผลิตใหม่ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. หลังพ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย 2558 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 20 มี.ค. โดยกำหนดให้นำเงินจากการจัดเก็บภาษีสุราและยาสูบส่งเข้าสมทบกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เพื่อใช้ในการสนับสนุน ส่งเสริมกีฬาประเภทต่างๆ โดยไม่ต้องนำส่งเข้าคลัง เหมือนการนำส่งเข้ากองทุน สสส.และไทยพีบีเอส มีผลบังคับใช้ โดยส่งผลให้โรงงานยาสูบต้องนำส่งเงินให้กองทุนดังกล่าวถึงปีละ 1.1 พันล้านบาท โดยการปรับราคาขายส่งใหม่ครั้งนี้ ทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นซองละ 1-2 บาท โดยบุหรี่ยี่ห้อดังเพิ่มราคา 2 บาท ส่วนบางยี่ห้อซึ่งกำลังออกใหม่เพื่อแข่งขันกับบุหรี่จากต่างประเทศ และเริ่มได้รับความนิยมอาจจะยังไม่ปรับเพิ่มราคา

     "ในช่วง 1-2 วันนี้ ราคาขายปลีกอาจยังไม่ปรับขึ้น เพราะยังเป็นสต๊อกสินค้าเดิมที่เสียภาษีอัตราเดิม แต่ร้านค้าโชห่วยรายย่อยบางรายอาจฉวยปรับราคาทันที เพราะไม่สามารถตรวจสอบและแยกแยะได้ว่าเป็นบุหรี่สต๊อกเก่าหรือใหม่ โดยมองว่าเมื่อราคาแพงขึ้นอาจทำให้มีผู้บริโภคลดจำนวนการสูบลง หรือหันไปสูบบุหรี่ที่ถูกกว่าแทน ส่งผลให้รายได้และกำไรของโรงงานอาจลดลงตามไปด้วย" น.ส.ดาวน้อย กล่าว

   ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า การปรับขึ้นภาษีสุรา เบียร์ และยาสูบอีก 2% จากฐานภาษี เดิมนั้น จะทำให้ราคาของสินค้าดังกล่าวขยับขึ้นตามไปด้วย แต่ไม่มากนัก เช่น บุหรี่ไทยอยู่ที่ 1-3 ซองบาทต่อซอง บุหรี่นอกอาจจะแพงกว่านี้ตามฐานของภาษีเดิม ส่วนเบียร์ปรับเพิ่มขึ้นไม่ถึงกระป๋องละ 1 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ เช่น เบียร์ไทยอยู่ 0.47 บาท เบียร์นอกอยู่ที่ 0.60 บาท ส่วนสุราขาวราคาจะเพิ่มขึ้น 0.79 บาท และสุราสีของไทยจะปรับขึ้นขวดละ 2.20 บาท ไปจนถึง 3.26 บาท ส่วนสุราต่างประเทศยี่ห้อดัง จะปรับขึ้นถึงขวดละ 5.23 บาท 8.49 บาท

     ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตได้สอบถามถึงราคาขายปลีกพบว่าล่าสุดผู้ประกอบการยังไม่ปรับราคาขายปลีกขึ้น โดยสุราขายยังอยู่ที่ขวดละ 99 บาท และเบียร์ยังคงขายในราคาเดิม จะมีเพียงสุราต่างประเทศที่ปรับราคาขายปลีกขึ้นขวดละ 10 บาท และ 20 บาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีสต๊อกสินค้าเดิมเหลืออยู่มากน่าจะประมาณ 1 สัปดาห์ กว่าจะเป็นสินค้าราคาใหม่ อีกทั้งเป็นเรื่องของการแข่งขันทางการตลาดที่ผู้ประกอบการรับภาระไว้เองไม่ผลักไปผู้บริโภค ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ค่อนข้างวิตกกังวลเกี่ยวกับกฎหมาย ดังกล่าว ทำให้ส่วนหนึ่งเริ่มมีการกักตุนสินค้า โดยเฉพาะบุหรี่ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเก็งกำไร ขณะที่บางส่วนมีการคาดการณ์ว่าหลังจากนี้จะมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ราคาขายปลีกสินค้าดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในระยะต่อไป

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!