WORLD7

BANPU2024

powertime 950x100pxsmed MTI 720x100

 

IAAสมบัติ

สมาคมนักวิเคราะห์ลดเป้าปีนี้ แต่คาดกำไรปี 67 โต 12% หนุน SET Index สิ้นปีนี้ฟื้นกลับ 1,606

          นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 4 ปี 2566 สรุปได้ดังนี้

          สมมติฐานหลัก 

          ● ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ ปรับขึ้นจากจาก 80.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 83.02 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 

          ● คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2566 จากเดิมที่ 3.38% (ก.ค.66) ลดลงมาเหลือ 2.85%

          ● GDP ปี 67 มองเป็นบวกที่ 3.56%

          ● Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.93% 

          ● Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 7.02%

          สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2566 แบ่งเป็น

          ปัจจัยบวก ที่มีผู้โหวตมาเกินกว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม นำมาโดย ผลประกอบการของบจ.ปี 67 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 100% เต็ม ปัจจัยรองลงมา ผู้ตอบ 81.48% โหวตให้เศรษฐกิจภายในประเทศ (ที่กำลังจะฟื้นตัว) ตามมาด้วย ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 73.08% และ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย มีผู้ตอบ 57.69% 

          ส่วนปัจจัยด้านลบ นำมาจาก ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศมีผู้ตอบ 80% รองลงมาคือเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา มีผู้ตอบ 68% ตามมาด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจของโลก มีผู้ตอบ 64% และทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ มีผู้โหวต 60% ตามลำดับ

          ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในปี 2567 มีนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ถึง 77.28% ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.50% รองลงมามี 9.09% ของผู้ตอบ มองว่าจะลงไปที่ 2.25% แต่มีผู้ตอบ 9.09% เท่ากันมองสวนว่ายังจะขึ้นต่อไปที่ 2.75% และมีผู้ตอบ 4.55% มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปอยู่ที่ 3% 

          ทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ของตลาดเฉลี่ยที่ 89.04 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 93.21 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2566 อยู่ที่ 6.51%

          ส่วนทางด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยจะขึ้นไปที่ 99.47 บาท และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.03% 

          สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วง ต.ค. - ธ.ค. 66 เฉลี่ยที่ระดับ 1,619 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,468 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2566 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,606 จุด ซึ่งลดลง 34 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 1,630 จุด 

          นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

          ● เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 14.80%

          ● กองทุนตราสารหนี้ 21.20% 

          ● หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 25.68%

          ● หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 24.12%

          ● ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.7%

          ● กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 6.5%

          โดยความเห็นต่อการลงทุนหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุน กองทุนเทคโนโลยี กองทุนรวมกลุ่มประเทศอาเซียนจากศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง 

          สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก พาณิชย์ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจ Finance (non-bank) ปิโตรเคมี

          รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป พร้อมประเด็นหลักสนับสนุน มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

          1. ADVANC โดยมองว่าแนวโน้มกำไรกลับมาเติบโตดีหลังการแข่งขันลด และได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว

          2. AOT มองว่าได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดประเทศ และจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ดังนั้น คาดว่าจะมีผลประกอบการกำไรแบบเต็มปีในปี 2567

          3. BDMS ได้ประโยชน์จากการเดินทางข้ามประเทศฟื้นตัวและการขยายตัวของคนไข้ทั้งในและต่างประเทศจากกลุ่มลูกค้าประกัน ประกันสังคม และต่างชาติ

          4. CPALL คาดกำไรฟื้นตัวใน 4Q23-2024 จากเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นภาครัฐ

          5. TOP ปัจจัยสนับสนุนจากกำไรฟื้นตัวตามแนวโน้มค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น มองครึ่งปีหลังของปี 66 จะมีค่าการกลั่นเฉลี่ยยืนเหนือ 8 USD/bbl จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น อุปทานน้ำมันในตลาดโลกตึงตัว และได้แรงหนุนจากความคืบหน้าแผนเพิ่มประสิทธิภาพตอบโจทย์ตลาดในอนาคต 

          สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เนื่องจาก ราคาเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก (ข้อมูลวันที่ตอบแบบสอบถาม 21-27 ก.ย.66) และกลุ่มหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและต้นทุนพลังงาน 

          ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Land Bridge ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ โปรโมตและกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาในอุตสาหกรรม New S Curve และตามมาด้วย เสนอนโยบายช่วยเหลือภาคประชนได้แก่ เร่งพัฒนาแรงงานไทย กระตุ้นการจ้างงาน ลดการแจกเงินทั่วไป เพิ่มการแจกเงินเฉพาะกลุ่มรวมถึงช่วยเหลือภาระหนี้ของเกษตรกร ข้าราชการ 

 

อ่าน IAA Survey ครั้งที่ 4/2566 สรุปผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ไตรมาส 4 ปี 2566

 

 

A10058

Click Donate Support Web 

Banner GPF720x100 PX

CKPower 720x100

MTL 720x100

kasat 720x100TOA 720x100

QIC 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100

iconmotor

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!