Details
Category: EURO
Published: Thursday, 17 July 2014 18:45
Hits: 6023
อย่าลืม!...กดไลน์-แชร์กันด้วยนะครับ
ดร.ลาฟเฟอร์เปิดตัวหนังสือคู่มื อภาษียาสูบระหว่างประเทศ ช่วยรัฐบาลจัดทำโรดแมปในการเพิ่ มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
ลอนดอน--17 ก.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อิ นโฟเควสท์
- ชี้ “ไม่มียาสารพัดโรค” นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังตอกย้ำถึ งเหตุผลที่ว่า ทำไมประเทศต่างๆจำเป็นต้องรั กษาอำนาจทางการคลังเมื่อกำหนดอั ตราภาษีสรรพสามิต
เนื่องจากภาษีสรรพสามิตมี ความสำคัญมากยิ่งขึ้นทั่วโลก ดร.อาร์เธอร์ ลาฟเฟอร์ จึงได้เปิดตัวหนังสือคู่มือภาษี ยาสูบระหว่างประเทศ พร้อมกับชี้ว่า “ไม่มียาสารพัดโรค” สำหรับนโยบายภาษียาสูบ และนำเสนอตัวอย่างของรัฐบาลที่ มีผลการดำเนินงานที่ดีและกรณีศึ กษาเพื่อพิจารณาเรื่องการเพิ่ มรายได้จากภาษีสรรพสามิตบุหรี่
“ภาษียาสูบเป็นปัจจัยที่สำคั ญในฐานะแหล่งรายได้ที่สำคั ญจากภาษีของประเทศส่วนใหญ่ทั่ วโลก” ลาฟเฟอร์กล่าวในงานแถลงข่ าวการเปิดตัวหนังสื อของตนเองในชื่อ Handbook of Tobacco Taxation – Theory and Practice “รัฐบาลได้มีการเรียกเก็บภาษี สรรพสามิตจากยาสูบเพื่อให้บรรลุ จุดประสงค์ด้านการคลั งและสาธารณสุข เนื่องจากเป้าหมายในการลดการสู บบุหรี่เป็นเรื่องที่ไม่ สามารถจะมองข้ามได้เช่นกัน หนังสือเล่มนี้จึงเป็นคู่มื อสำหรับทุกคนที่สนใจเรื่ องการกำหนดนโยบายภาษียาสูบ เนื่องจากคู่มือได้พุ่งเป้าไปที ่การใช้ภาษีในการแก้ปัญหาการบริ โภคยาสูบ”
ลาฟเฟอร์พบว่า โครงสร้างภาษีและภาวะเศรษฐกิจที ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้ การใช้ระดับหรือระบบภาษีในแบบที ่ครอบคลุมทั้งหมดเป็นเรื่องที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แทนที่จะใช้วิธีดังกล่าว รัฐบาลควรจะปรับแก้ไขวิธีจัดเก็ บภาษีบุหรี่ตามความเหมาะสม โดยนำปัจจัยต่างๆเข้ามาร่วมพิ จารณาด้วย
“เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องคิ ดให้รอบคอบเกี่ยวกับการเพิ่ มแรงกดดันในระดับนานาชาติเพื่ อให้เกิดโครงสร้างและระดับภาษี ยาสูบที่ครอบคลุมสำหรับทุ กประเทศทั่วโลก” ลาฟเฟอร์กล่าวเสริม “กฎระเบียบและภาษีเกี่ยวกับบุ หรี่เป็นเรื่องซับซ้อนที่ต้องพิ จารณาปัจจัยด้านการเมือง เศรษฐกิจ และประชากรศาสตร์ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในเรื่ องโครงสร้างภาษีและระดับ และเช่นกัน เรื่องนี้เข้าทำนองที่ว่า”ไม่มี ยาสารพัดโรค”
กราฟเส้นโค้งลาฟเฟอร์แสดงให้เห็ นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอั ตราภาษีและรายได้จากภาษี หากมีการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ รายได้ของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้ นในเกือบทันที แต่อย่างไรก็ดี มีตัวอย่างของประเทศที่อั ตราภาษีได้เข้าสู่ช่วงของกราฟที ่เรียกว่า“ช่วงต้องห้าม” มากขึ้น ซึ่งรวมถึงสหราชอาณาจักรและไอร์ แลนด์
“เมื่อมีการกำหนดระดับของภาษีนั ้น การขึ้นภาษีอย่างมากอาจจะฉุดรั้ งผลผลิต” ลาฟเฟอร์กล่าว “เมื่อใดที่ระดับภาษีเข้าสู่ช่ วงต้องห้ามตามเส้นโค้ งของลาฟเลอร์ (Laffer Curve) รายได้จากภาษีจะลดลง หากผู้บริโภคหันไปบริโภคบุหรี่ ที่เก็บภาษีน้อยกว่าหรื อในตลาดมืด การปรับขึ้นภาษีก็อาจจะไม่ สามารถลดปริมาณการสูบบุหรี่ลงก็ เป็นได้”
หนังสือคู่มือของลาฟเฟอร์ แนะนำให้รัฐบาลจัดทำระบบภาษี บนพื้นฐานของหลักการ 4 ข้อ ดังต่อไปนี้:
1. แยกประเภทผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน – ดังนั้นรายได้จะไม่สูญเสียไปกั บผลิตภัณฑ์ที่ตกอยู่ในช่องโหว่ โดยกำหนดคำนิยามประเภทผลิตภัณฑ์ บุหรี่ที่เหมาะสมเมื่อมีการแก้ ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ ยวกับประเภทของผลิตภัณฑ์
2. โครงสร้างภาษีที่แข็งแกร่ง – โครงสร้างภาษีสรรพสามิตจะต้องส่ งเสริมเสถียรภาพด้านการจัดเก็ บภาษีและรับประกันว่า การปรับขึ้นภาษีหมายถึงการเพิ่ มขึ้นของรายได้จากภาษีของรั ฐบาลให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็ นไปได้
3. ระดับภาษีที่ถูกต้อง – เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคหั นไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกกว่ าในตลาดมืดภายหลังจากที่มี การปรับขึ้นภาษี, สร้างความเชื่อมั่นว่า ระดับภาษีที่ถูกต้ องจะสามารถนำไปใช้ได้กับทุ กประเภท
4. ระบบการจัดเก็บภาษีที่มีประสิ ทธิภาพ – เพื่อลดภาระด้านการบริหารเกี่ ยวกับผู้เสียภาษีและผู้เก็บภาษี และรับประกันประสิทธิ ภาพการชำระค่าภาษีบุหรี่โดยผู้ ผลิตและผู้นำเข้าทุกราย