เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สั่งให้พนักงานทบทวนกฎจริยธรรมของธนาคารกลางสำหรับกิจกรรมทางการเงินที่เหมาะสม หลังจากเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางหลายคนทำการซื้อขายหุ้นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ในปี 2563 ในขณะที่คนอื่น ๆ มีการลงทุนจำนวนมาก

   ข่าวการไต่สวนของพาวเวลล์ล้มเหลวหลังจากวุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรนส่งจดหมาย 12 ฉบับถึงประธานธนาคารระดับภูมิภาคของเฟดเพื่อเรียกร้องให้มีจริยธรรมที่เข้มงวดยิ่งขึ้นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางระดับสูงของประเทศ

พรรคเดโมแครตแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์เรียกร้องให้ประธานเฟดแต่ละคนสั่งห้ามการเป็นเจ้าของและซื้อขายหุ้นโดยเจ้าหน้าที่อาวุโสประจำสำนักงานภูมิภาคแต่ละแห่ง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินโดยประธานาธิบดีประจำภูมิภาค 12 คนของเฟดเปิดเผยว่าบางคนซื้อขายกันอย่างแข็งขันในปี 2020 ในขณะที่คนอื่นๆ ดำรงตำแหน่งทางการเงินมูลค่าหลายล้านดอลลาร์โดยไม่เปลี่ยนแปลงพอร์ตการลงทุน

โฆษกของเฟดบอกกับ CNBC ว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพาวเวลล์สั่งให้ ”ดูกฎจริยธรรมที่สดใหม่และครอบคลุมเกี่ยวกับการถือครองทางการเงินและกิจกรรมที่ได้รับอนุญาตโดยเจ้าหน้าที่อาวุโสของเฟด”

พาวเวลล์สั่งการให้ทบทวน “เพราะความไว้วางใจของประชาชนชาวอเมริกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธนาคารกลางสหรัฐในการดำเนินภารกิจสำคัญของเราอย่างมีประสิทธิภาพ” โฆษกกล่าว “การตรวจสอบนี้จะช่วยในการระบุวิธีการกระชับกฎและมาตรฐานเหล่านั้นเพิ่มเติม คณะกรรมการจะทำการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมและการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะถูกเพิ่มเข้าไปในหลักจรรยาบรรณของธนาคารกลาง”

เอกสารที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเปิดเผยว่านายโรเบิร์ต แคปแลนประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) แห่งดัลลาสทำการซื้อขายหลายรายการมูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐหรือมากกว่าในปีที่แล้วในหุ้นรายบุคคล ซึ่งรวมถึง Apple, Amazon และ Delta Air Lines

Eric Rosengren ประธานเฟดแห่งบอสตันถือหุ้นในทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์สี่แห่งและการซื้อและการขายยานพาหนะที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่คล้ายกันหลายครั้ง เขายังถือหุ้นใน Pfizer, Chevron และ AT&T การลงทุนของเขาอยู่ในหลักหมื่นถึงหลายแสนดอลลาร์

ประธานเฟดคนอื่นๆ เช่น Thomas Barkin ประธานเฟดแห่งริชมอนด์ เปิดเผยกิจกรรมการค้าเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่มีการถือครองทางการเงินหลายครั้งเกินกว่า 1 ล้านดอลลาร์

เงินเดิมพันของเขารวมถึงหุ้น Coca-Cola ที่มีมูลค่ามากกว่า 500,000 ดอลลาร์ แต่น้อยกว่า 1 ล้านดอลลาร์ การถือครองที่ใหญ่ที่สุดของ Barkin ซึ่งมีมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านเหรียญขึ้นไป รวมถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนและกองทุนรวมต่างๆ ที่ดูแลโดยผู้จัดการภายนอก

ตัวอย่างเช่น เขาถือหุ้นมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์ในกองทุนพลังงานของ Vanguard’s Admiral Shares ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในบริษัทด้านพลังงาน เช่น ConocoPhillips, Marathon Petroleum และ BP

แม้แต่การปรากฏตัวของการจัดการตนเองที่เฟดก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นปัญหาต่อสถาบันที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอย่างเป็นกลาง

การค้าขายได้รับการตรวจสอบอย่างรวดเร็วเนื่องจากบทบาทที่สำคัญของเฟดในการจัดการเศรษฐกิจสหรัฐตลอดจนอิทธิพลที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยและตลาดสภาพคล่อง

การระบาดใหญ่ของโควิด-19และภาวะถดถอยที่ตามมาได้ขยายอำนาจของเฟดในปี 2020 สภาคองเกรสอนุญาตให้เฟดโดยได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังเพื่อเริ่มดำเนินการตามมาตรการปล่อยกู้ฉุกเฉินที่หลากหลายเพื่อล้างเศรษฐกิจด้วยเงินสดในช่วงวิกฤต

Rosengren, Barkin และ Kaplan ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารระดับภูมิภาค 3 แห่งจาก 12 แห่งของ Fed ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ประธานธนาคารระดับภูมิภาคผลัดกันทำหน้าที่ในคณะกรรมการตลาดกลางแห่งสหพันธรัฐซึ่งเป็นหน่วยงานกำหนดนโยบายของเฟดที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยทั่วทั้งเศรษฐกิจ

ท่ามกลางกระแสต่อต้านในที่สาธารณะ ทั้ง Kaplan และ Rosengren ได้ตกลงขายการถือครองหุ้นของตน

นอกจากนี้ วอร์เรนยังได้ส่งจดหมายถึงประธานธนาคารระดับภูมิภาคของเฟดทุกคน เพื่อเรียกร้องให้มีข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับประเภทของกิจกรรมทางการเงินที่เจ้าหน้าที่สามารถมีส่วนร่วมได้

จดหมายแต่ละฉบับลงวันที่ 15 กันยายน มีความคล้ายคลึงกับจดหมายฉบับต่อไป ยกเว้นจดหมายทั้งสองฉบับที่ส่งถึง Kaplan และ Rosengren

“ในขณะที่เฟดได้ดำเนินการพิเศษเพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ การธนาคาร และระบบการเงินจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 คุณและเพื่อนร่วมงานของคุณ Eric Rosengren ทำการค้าอย่างกว้างขวางในหุ้นแต่ละตัวและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์” วอร์เรนเขียนในจดหมายของเธอ จดหมายถึง Kaplan

เธอเสริมว่าการค้าขายดังกล่าว ”ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายที่กว้างขวางและการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ไม่ธรรมดา”

เฟดมีบทบาทสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากภาวะถดถอยของ coronavirus ที่เลวร้ายที่สุด

นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าความเป็นอิสระทางการเมืองทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าสภาคองเกรส และการซื้อหนี้สหรัฐและหลักทรัพย์ค้ำประกันรายเดือนมูลค่า 120,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนช่วยค้ำจุนธุรกิจนับไม่ถ้วนที่ธุรกิจตกต่ำในปีที่แล้ว