แทบไม่น่าเชื่อว่าโลกเราซึ่งประกอบด้วยน้ำ 3 ใน 4 ส่วนจะมีน้ำจืดเพียง 2.5% ของปริมาณน้ำทั้งหมด และที่สำคัญกว่านั้นสัดส่วนของน้ำจืดที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั้นมีเพียงน้อยนิด (ไม่ถึง 1% ของปริมาณน้ำจืดทั้งหมด) ดังนั้น เมื่อโลกต้องประสบภาวะโลกร้อนก็ยิ่งทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำตามไปด้วย ซึ่งผลการสำรวจต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาก็ชี้ชัดว่า วันนี้ทั่วโลกตระหนักถึงการขาดแคลนน้ำมากกว่าภาวะโลกร้อนแล้ว

     โดยปัจจุบันมีกระแสให้ธุรกิจต้องวัดปริมาณการใช้น้ำและมีแผนลดการใช้น้ำ เช่น EU กำลังพัฒนาการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสินค้า (ซึ่งรวมถึงน้ำ), ISO ก็กำลังจะออกมาตรฐาน ISO 14046 เพื่อประเมิน water footprint จากวัฎจักรชีวิต (LCA) ของสินค้า, และ Sustainability Index เพื่อวัดความยั่งยืนในส่วนของ supplier ของ Walmart

     Water footprint จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ภาคส่วนต่างๆนำมาใช้วัดปริมาณน้ำจืดทั้งทางตรงและทางอ้อมของการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงองค์กร และประเทศ ตัวอย่างเช่น กาแฟ 1 ถ้วยมี water footprint 140 ลิตร แต่หากเป็นชา 1 ถ้วยจะมี water footprint 80 ลิตร 

   Water footprint ชั่วโมงนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่ภาคธุรกิจต้องติดตามเช่นเดียวกับเรื่อง carbon footprint