WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

หอการค้าไทย คาด จีดีพีปีนี้โต 3.5-4% ได้อานิสงส์ลงทุนรัฐหนุน ชี้ค่าเงินผันผวนเป็นปัจจัยเสี่ยง เตรียมหารือผู้ว่า ธปท. หาทางรับมือ

     หอการค้าไทย คาด จีดีพี ปีนี้ โต 3.5-4% อานิสงส์ลงทุนรัฐหนุน ชี้ค่าเงินผันผวนเป็นปัจจัยเสี่ยง แนะจับตาใกล้ชิด เตรียมเข้าหารือผู้ว่า ธปท. หาทางรับมือ  พร้อมจี้ รัฐเร่งเจรจาFTA ไทย-อียู แทน GSP ด้านสินค้าได้รับผลกระทบหนักสุดกุ้งปรุงแต่ง - ยานยนต์สั่งภาคเอกชน เร่งเพิ่มขีดความสามารถ รองรับการแข่งขัน 

    นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้า และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้คณะกรรมการร่วม สถาบันภาคเอกชนคาดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีโต 3.5-4% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เงินงบประมาณที่ค้างจ่าย เป็นต้น

   สำหรับ ปัจจัยที่ต้องติดตามที่สำคัญ คือ อัตราแลกเปลี่ยนที่ผัวผวนเร็วมากกว่าสกุลอื่นๆในภูมิภาค อาจส่งผลให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมาก แม้จะเป็นข่าวที่ เพราะไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน แต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เนื่องจากปัจจุบันสินค้าหลายประเภทยังอยู่ในระดับสูง แม้ต้นทุนน้ำมันจะลดลง

    นอกจากนี้ ประเทศที่ส่งออกน้ำมัน เช่น รัสเซียได้รับผลกระทบมาก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวรัสเซียที่จะเดินทางมาไทยลดลง โดยปกติรายได้จากการท่องเที่ยวจากรัสเซียคิดเป็น 10% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด รวมทั้งต้องติดตามผลกระทบที่ไทยถูกตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือ GSP ด้วย

    นายอิสระ เปิดเผยว่า เร็วๆนี้หอการค้าฯจะนัดพบนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา หลังจากค่าเงินบาทมีความผันผวนเร็วเกินไป ซึ่งส่งผลต่อผู้ประกอบการทั้งนำเข้า และส่งออก  

    "ขณะนี้ยังไม่ได้มีการนัดหมายอย่างเป็นทางการแต่เชื่อว่าทาง ธปท.คงมีข้อมูลอยู่แล้ว ซึ่งหากข้อมูลและความคิดเห็นตรงกันคงต้องมีการหาแนวทางออกด้วย"นายอิสระ กล่าว  

    นอกจากนี้ ยังจะหารือถึงการร่วมมือกับการค้าชายแดน หากสามารถใช้เงินสกุลใดสกุลหนึ่งที่ชัดเจนได้ จะเพิ่มความคล่องตัวมากขึ้นในการซื้อขาย เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งไม่ได้มีการฝากเงินอยู่กับสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงมีการซื้อขายผ่านเงินสดมากกว่า ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะตกลงในสกุลใด

    นายอิสระ เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้คณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน หรือ กกร.เตรียมเร่งดำเนินการให้ภาครัฐดำเนินการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทยกับอียู เพื่อบรรเทาผลกระทบจากผลกระทบจากการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือ GSP แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า ไทยอาจไม่ได้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากประเทศคู่แข่ง ทั้ง จีน มาเลเซีย ตุรกี และแคนาดาถูกตัดสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกัน

   สำหรับ สินค้าที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น กุ้งปรุงแต่งที่จะต้องเสียภาษีเพิ่ม 7-20% คิดเป็นมูลค่า 25.6 ล้านดอลลาร์ ยานยนต์ เพิ่ม 3.5-22% มูลค่า 23.5 ล้านดอลลาร์ ยางรถยนต์เพิ่ม 4.5% มูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ เลนส์แว่นตาเพิ่ม 2.9% มูลค่าเกือบ 10 ล้านดอลลาร์เป็นต้น

   ด้านนายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการและโฆษกหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้เสนอแนะแนวทาง 4 ข้อให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับการแข่งขันและการส่งออกที่ยังชะลอตัวลง โดยอันดับแรกผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าทั้งในด้านคุณภาพและกระบวนการผลิตที่จะต้องให้เป็นที่ยอมรับ 2.พัฒนาผลิตภาพการผลิตเนื่องจากปัจจุบันผลิตภาพการผลิตของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะผลิตภาพของแรงงานในภาคเกษตรที่ยังต่ำกว่ามาเลเซีย และออสเตรเลีย 3.พัฒนาประสิทธิภาพห่วงโซ่คุณภาพ เพื่อรับกับการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ เช่น การแปรรูปสินค้าการเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตและ 4.พัฒนาและสร้างตราสินค้าของคนไทย ซึ่งเป็นการสร้างความยั่งยืนและการสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

หอการค้าไทยคาดปีนี้ส่งออกโต 3-4% เล็งร้อง ธปท.ดูแลค่าบาทสอดคล้องคู่แข่ง

    นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ด้านการส่งออกของไทยในปีนี้ โดยภาพรวมจะดีขึ้นจากปี 57 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกที่มีสัญญาณการฟื้นตัว โดยคาดว่าจะเติบโตได้ 3-4% แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 3 ประการที่ต้องเผชิญ ประกอบด้วย อัตราแลกเปลี่ยน, การถูกตัดสิทธิ GSP และ ราคาน้ำมัน

   กรณีของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น พบว่า ณ สิ้นปี 57 เงินบาทของไทยอ่อนค่าเล็กน้อยเพียง 0.49% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 56  หรือแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ค่าเงินของประเทศอื่นๆ อ่อนค่าลงไปมากกว่า เช่น ค่าเงินริงกิตมาเลเซีย อ่อนค่าลง 6.28% ดอลลาร์สิงคโปร์ อ่อนค่าลง 4.41% ค่าเงินวอนเกาหลีใต้ อ่อนค่าลง 4.23% และเงินเยนญี่ปุ่น อ่อนค่าลง 11.86% ขณะที่ค่าเงินยูโร อ่อนค่าลงถึง 13.07% และยังอ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อธนาคารกลางสวิสเซอร์แลนด์ยกเลิกกำหนดค่าเงินฟรังก์ต่อยูโร ซึ่งส่งผลให้เงินฟรังก์แข็งค่าขึ้นได้อย่างเสรี

   นอกจากนี้ ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียยังเคลื่อนไหวผันผวนมากจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ลดลง และวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้เงินรูเบิลอ่อนค่าไปถึง 43.33% ซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่เดินทางมาไทยที่มากเป็นอันดับ 3 รองจากนักท่องเที่ยวจีน และมาเลเซีย โดยนักท่องเที่ยวรัสเซียมีส่วนสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวไทยถึง 10%

   ส่วนกรณีที่ไทยถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกรกร(GSP) นั้น จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ในเบื้องต้นมีสินค้าที่ได้รับผลกระทบต่อการส่งออกเป็นมูลค่าประมาณ 6,700 ล้านดอลลาร์ โดยสินค้าไทย 5 อันแรกที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กุ้งปรุงแต่ง, ยานยนต์ขนส่ง, ยางรถยนต์, เลนส์แว่นตา และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งรัฐบาลควรเร่งผลักดันการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรปโดยเร็ว แม้ขณะนี้สหภาพยุโรปจะงดการเจรจาระดับนโยบายกับรัฐบาลของไทย แต่ในระดับเจ้าหน้าที่ก็ยังสามารถเจรจาข้อมูลด้านเทคนิคต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าได้

   ขณะที่กรณีสถานการณ์ราคาน้ำมัน แม้ราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลดีต่อต้นทุนการขนส่งสินค้า และลดต้นทุนการผลิตลงได้ในระดับหนึ่ง และทำให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ในทางกลับกันประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และมีรายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก จะมีกำลังซื้อที่ลดลง ดังนั้นผู้ประกอบการของไทยควรเร่งมองหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนตลาดปัจจุบันที่มีกำลังซื้อลดลง โดยเน้นกลุ่มประเทศที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ราคาน้ำมันลดลง เช่น ประเทศที่นำเข้าน้ำมัน เป็นต้น

   ด้านนายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และโฆษกหอการค้าไทย กล่าวว่า จากปัจจัยเสี่ยงทั้ง 3 ประการต่อการส่งออกไทย ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือใน 4 ด้านหลัก คือ 1.การพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้า ทั้งในด้านคุณภาพ กระบวนการผลิตที่ต้องเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อป้องกันการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTB) จากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมทั้งการให้ความสำคัญกับมาตรฐานแรงงาน สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนด้วย

   2.การพัฒนาผลิตภาพการผลิต ซึ่งพบว่าของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะผลิตภาพของแรงงานในภาคเกษตร เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม และใช้แรงงานคนจำนวนมาก ดังนั้นทิศทางการพัฒนาภาคเกษตรของไทยนับจากนี้จะต้องพัฒนาประสิทธิภาพการปลูก บำรุงรักษา และการเก็บเกี่ยวที่ทันสมัย และสามารถนำเครื่องจักรมาใช้ในการทำการเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 3.การพัฒนาประสิทธิถภาพห่วงโซ่คุณค่า เป็นการพัฒนาธุรกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตลอด Value Chain เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร โดยการแปรรูปวัตถุดิบหรือสินค้าเกษตรขั้นต้นให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้แก่เกษตรกรอีกทาง

   และ 4.การพัฒนาสร้างตราสินค้าไทย ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะเป็นการสร้างความยั่งยืนและสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจ ช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้แก่สินค้าไทย และให้แบรนด์สินค้าของไทยก้าวไปสู่ Thailand Brand, ASEAN Brand และ Global Brand ที่สามารถตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุกกลุ่มอย่างกว้างขวาง

   นายวิชัย กล่าวว่า ในเร็วๆ นี้ ประธานกรรมการหอการค้าไทยจะนำคณะไปพบกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อขอให้ช่วยบริหารจัดการในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความสอดคล้องกับประเทศคู่แข่งขัน โดยยืนยันว่าไม่ได้ต้องการไปขอให้แบงก์ชาติช่วยทำให้เงินบาทอ่อนค่าหรือแข็งค่าขึ้นแต่อย่างใด

   "เราไม่ได้ทิ้งหลักการเดิม คือไม่ได้บอกว่าจะให้อ่อนหรือแข็ง แต่ต้องบริหารให้อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพ ไม่หวือหวา และต้องดูเรื่องการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งด้วย โดยบริหารให้อัตราแลกเปลี่ยนของไทยมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศคู่แข่ง เรายังยืนอยู่ใน 2 หลักการว่า ไม่ได้ขอให้บาทอ่อนเพื่อช่วยผู้ส่งออก หรือขอให้บาทแข็งเพื่อช่วยผู้นำเข้า" นายวิชัย กล่าว

อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!